พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2025ตัวอย่าง
ดีกว่าการมีชื่อเสียงและความโด่งดัง
ผลการสำรวจคนรุ่นมิลเลนเนียล พบว่าเป้าหมายที่สำคัญของชีวิตคนหนุ่มสาว 50% คือการมีชื่อเสียง คนสมัยก่อนอยากมีชื่อเสียงเพื่อทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้คนดังกลายเป็นจุดสนใจ มีลักษณะเหมือนพระเจ้า ไม่เพียงแต่ผู้คนต้องการมีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังต้องการความยกย่องว่าเป็นคนดังอีกด้วย ความสนใจต่อบุคคลที่มีชื่อเสียงนี้เรียกอีกได้อีกว่าเป็น ‘ลัทธิของคนดัง’ ชื่อเสียงของคนทะเยอทะยานเหมือนกับการยื่นน้ำเกลือให้กับผู้กระหายน้ำ ยิ่งได้มากยิ่งต้องการมาก มาดอนน่าซึ่งเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกกล่าวว่า ‘ฉันจะไม่มีความสุขจนกว่าจะมีชื่อเสียงเทียบเท่าพระเจ้า’ การมีชื่อเสียงและความโด่งดังเป็นเพียงภาพสะท้อนของความรุ่งเรืองที่แท้จริงเท่านั้น ‘เกียรติสิริ’ คำนี้ถูกใช้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อแสดงถึงการเปิดเผยการทรงสถิตของพระเจ้า เกียรติสิริเป็นหนึ่งในคำที่พบบ่อยที่สุดในพระคัมภีร์ พระเกียรติสิริของพระเจ้า หมายถึงความสำคัญ ชื่อเสียง ความสง่างามและเกียรติยศของพระองค์ ไม่น่าแปลกใจที่สังคมถอยห่างจากการนมัสการ*พระเกียรติสิริ*ของพระเจ้า และหันไปสู่การนมัสการ ‘ความรุ่งโรจน์’ ของผู้มีชื่อเสียงและโด่งดัง เราถูกเรียกให้นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระเกียรติสิริ และสะท้อนพระเกียรติสิริของพระองค์ ไม่ว่าเราจะมีความไม่สมบูรณ์ในชีวิตอย่างไรสดุดี 26:1-12
จงแสวงหาพระเกียรติสิริของพระเจ้า
ดาวิดเขียนว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รักที่จะอยู่กับพระองค์ บ้านของพระองค์เปล่งประกายด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) กษัตริย์ดาวิดเป็น ‘คนมีชื่อเสียง’ ด้วยสิทธิ์ของพระองค์ (ดู 1 ซามูเอล 18:7) แต่พระองค์ไม่ได้แสวงหาเกียรติสิริเพื่อตัวเอง แต่พระองค์นำผู้คนถวายเกียรติแด่พระเจ้า ‘เท้าของข้าพระองค์เหยียบอยู่บนพื้นราบ ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ในที่ชุมนุมชน’ (สดุดี 26:12)
หากคุณต้องการสะท้อนถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า ให้ทำตามแบบอย่างของดาวิด พยายามดำเนินชีวิตอย่างไร้ตำหนิ (ข้อ 1) วางใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (ข้อ 1ข) พยายามรักษาใจให้บริสุทธิ์ (ข้อ 2) รับคำแนะนำจากความรักและความจริงของพระเจ้า (ข้อ 3) หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้คนที่อาจทำให้คุณผิดหวังมากเกินไป ทั้ง ‘คนหลอกลวง’; ‘อันธพาล’; ‘ชุมนุมคนทำชั่ว’; ‘คนเสแสร้ง’ (ข้อ 4–5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
แม้ว่าดาวิดจะพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะเดินในความสุจริต’ (ข้อ 11ก) แต่เขาก็พูดต่อไปว่า ‘ขอทรงไถ่ข้าพระองค์ และขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 11ข) เขาระลึกอยู่เสมอว่า แม้ตนจะพยายามดำเนินชีวิตไร้ซึ่งความบาปเท่าใดก็ไม่อาจไปถึงจุดนั้นได้ แต่เขาต้องการให้อภัยและพระเมตตาจากพระเจ้า แทนที่จะอ้างว่าเป็นคนไร้ที่ติ ดาวิดประกาศว่าเขาใช้ชีวิตอย่าง ‘ซื่อสัตย์’ (ข้อ 1,11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดย ผู้แปล) นั่นคือสิ่งที่ทั้งจริงใจและบริสุทธิ์ใจเพื่อพระเจ้า
กษัตริย์องค์อื่น ๆ ในเวลานั้นอาจคาดหวังให้ประชาชนนมัสการพวกเขาใน ‘สังคมแห่งลัทธิคนดัง’ แต่ดาวิดเป็นผู้นมัสการพระเจ้า เขาเขียนว่า ‘ข้าพระองค์ ... เดินรอบแท่นบูชาของพระองค์ พลางร้องเพลงขอบพระคุณ และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รักพระนิเวศอันเป็นที่พำนักของพระองค์ และเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์’ (ข้อ 6–8)
สำหรับคนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่สามารถพบพระเกียรติสิริของพระเจ้าได้ แต่พระเกียรติสิริของพระเจ้าที่แท้จริงได้เปิดเผยอย่างยิ่งใหญ่ทางพระเยซู (ยอห์น 1:14) พระเยซูทรงเป็นพระวิหารหลังใหม่ (2:10, 21)
นอกจากนี้ความจริงที่น่าอัศจรรย์ก็คือพระเกียรติสิริของพระเจ้าสถิตอยู่ในทุกคนที่วางใจในพระเยซูด้วย ทั้งในรายบุคคล (ดู 1 โครินธ์ 6:19) และในกลุ่มผู้เชื่อ (ดู 1 โครินธ์ 3:16) ผู้ติดตามพระเยซูถูกมองว่าเป็นพระวิหารของพระเจ้าที่พระวิญญาณสถิตอยู่ ‘พวกท่านก็กำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ’ (เอเฟซัส 2:22)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่สง่าราศีของพระองค์อาศัยอยู่ในหมู่คนของพระองค์ ข้าพระองค์จะประกาศคำสรรเสริญแด่พระองค์และบอกเล่าถึงพระราชกิจอันอัศจรรย์ทั้งหมดของพระองค์
มาระโก 9:2-32
จงสะท้อนพระเกียรติสิริของพระเยซู
เปโตร ยากอบ และยอห์น ได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อพระเยซูทรงจำแลงพระกายต่อหน้าพวกเขา การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหลังจากที่พระเยซูตรัสถามเหล่าสาวกว่า ‘คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร’ (8:27) เผยให้เห็นพระลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้า
ม่านแห่งกาลเวลาถูกดึงออก เหล่าสาวกก็เห็นโมเสส (เป็นตัวแทนของธรรมบัญญัติ) และเอลียาห์ (ตัวแทน ของผู้เผยพระวจนะ) ปรากฏตัวและอยู่ข้างพระเยซูอย่างชัดเจน เหล่าสาวกคงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโมเสสและเอลียาห์ ในโลกของชาวยิวคนเหล่านี้เป็นคนดังที่สุด แต่พระเจ้ากำลังบอกว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่า
เมื่อเหล่าสาวกมองดูอีกครั้งพวกเขาก็เห็นแต่พระเยซู (9:8) เปโตร ยากอบ และยอห์น เห็นพระเยซูเหมือนอย่างที่เราจะได้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์อย่างเปิดเผย
คำที่ใช้สำหรับ ‘การจำแลงพระกาย’ เป็นคำเดียวกับที่แปลว่า ‘เปลี่ยนรูป’ เมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนว่า ‘แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้วและมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง [เปลี่ยนรูป] ให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ’ (2 โครินธ์ 3:18)
คนมีชื่อเสียงในปัจจุบัน มักสนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงและการแสวงหาความเป็นบุคคลสาธารณะ พระเยซูไม่ได้แสวงหาการเป็นที่รู้จัก ตรงกันข้ามพระองค์ ‘ยืนยันว่าจะเก็บเป็นความลับ “อย่าบอกใครว่าคุณเห็นอะไร”’ (มาระโก 9:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นอกจากนี้พวกคนมีชื่อเสียงสมัยนี้มักเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและวิถีชีวิตที่หรูหรา แตกต่างกับชีวิตของพระเยซู ที่ความทุกข์ทรมาน และพระเกียรติสิริ เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ทันทีที่พระองค์ลงมาจากภูเขา พระองค์อธิบายให้สาวกฟังว่า ‘พระองค์จะต้องทรงทนทุกขเวทนาหลายประการและทรงถูกทอดทิ้ง’ (ข้อ 12) ‘เกียรติสิริ’ ของพระเยซูแตกต่างจากที่โลกคาดหวังตั้งแต่ในตอนนั้นและในทุกวันนี้
สิ่งหนึ่งที่พระเยซูแบ่งปันกับ ‘เหล่าคนมีชื่อเสียง’ ในปัจจุบันก็คือพระองค์ทรงดึงดูดฝูงชน (ข้อ 14) ‘ทันทีที่ฝูงชนทั้งหมดเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจอย่างมาก จึงวิ่งเข้ามาต้อนรับพระองค์’ (ข้อ 15)
เหล่าสาวกที่ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาไม่ได้มีความเชื่อมากพอในการรักษาเด็กชายที่ถูกผีร้ายเข้าสิง พระเยซูตรัสว่า ‘ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง’ (ข้อ 23) แต่โลกบอกเราว่า ‘ฉันต้องเห็นก่อนแล้วฉันจะเชื่อ’ แต่พระเยซูตรัสว่า ‘จงเชื่อก่อนแล้วคุณจะเห็น’ เซนต์ออกัสตินได้เขียนว่า ‘ความเชื่อคือการเชื่อในสิ่งที่เรามองไม่เห็น รางวัลแห่งความเชื่อคือการได้เห็นสิ่งที่เราเชื่อ’
บิดาของเด็กชายอุทานถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้กับเราทุกคนว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด!’ (ข้อ 24)
พระเยซูทรงรักษาเด็กชายโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองใด ๆ หรือแม้กระทั่งการวางมือ ไม่มีการต่อสู้ใด ๆ เกิดขึ้นนอกจากคำอธิษฐานด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซู การต่อสู้ชนะแล้วผ่านชีวิตการอธิษฐานของพระองค์ (ข้อ 29) เป็นอีกครั้งเราได้เห็นเสี้ยวหนึ่งในพระเกียรติสิริของพระเยซู
พระเยซูตรัสอย่างตรงไปตรงมาต่อไปเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของพระองค์ว่า ‘บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย และพวกเขาจะฆ่าท่าน หลังจากถูกประหารแล้วสามวันท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่’ (ข้อ 31)
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้เพื่อใช้เวลาต่อพระพักตร์ของพระองค์ และสะท้อนพระเกียรติสิริของพระองค์ในทุกสิ่งที่ข้าพระองค์พูดและทำ
อพยพ 39:1-40:38
รอคอยพระเกียรติสิริชั่วนิรันดร์
ดาวิดมองเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อเข้ามาในพระวิหาร เหล่าสาวกได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อพระเยซูถูกยกขึ้นไปต่อหน้าพวกเขา เมื่อคุณรวมตัวกับประชากรของพระเจ้าคุณ ควรจะได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า
เมื่อพวกเขาสร้างพลับพลาเสร็จแล้ว (‘พลับพลา’, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) (ซึ่งอยู่หน้าพระวิหาร) เมฆปกคลุมเต็นท์นัดพบและ ‘พระเกียรติสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่’ (40:34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) โมเสสไม่สามารถเข้าไปในเต็นท์นัดพบได้เนื่องจากเมฆได้ปกคลุมไปทั่ว และ ‘พระเกียรติสิริของพระเจ้าเต็มไปทั้งพลับพลา’ (ข้อ 35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเกียรติสิริของพระเจ้าทรงพลังอย่างเป็นรูปธรรมในขณะนั้น จริง ๆ แล้วจะเห็นได้ว่า ‘ประทับ’ อยู่ในพลับพลา คำภาษาฮีบรูสำหรับการประทับ (เชกินาห์ shekinah) บางครั้งใช้เพื่ออธิบายความรู้สึกที่ทรงพลังหรือจับต้องได้ของการทรงสถิตและพระเกียรติสิริของพระเจ้า
เมฆเหนือพลับพลาซึ่งแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่กับผู้คนของพระเจ้าตลอดการเดินทางของพวกเขา และนำพวกเขาไปทั้งกลางวันและกลางคืน (ข้อ 36–38) ขณะนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงนำคุณ นี่คือภูมิหลังของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับกลุ่มเมฆ และการจำแลงพระกาย สิ่งที่เปโตร ยากอบ และยอห์น ประสบในครั้งนั้นคือการมองเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า (มาระโก 9:7)
โดยทาง ‘ความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์’ (2 โครินธ์ 4:4) คุณจะได้เห็นพระเกียรติ สิริของพระเจ้า ‘เพราะว่าพระเจ้าผู้ตรัสว่า “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด” ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์’ (ข้อ 6)
เป็นเวลาเพียงชั่วครู่และวันหนึ่งคุณจะเห็นความจริงเอง อัครสาวกเปาโลกล่าวว่านี่คือเหตุผลที่คุณไม่ควรท้อใจ แม้ในขณะที่คุณกำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ (ข้อ 17)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์กำลังเตรียมข้าพระองค์สำหรับช่วงเวลาที่พระองค์จะเปิดเผยพระเกียรติสิริของพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เห็น ‘ศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’
Pippa Adds
สดุดี 26:1–12
เพลงสดุดีนี้เป็นของดาวิด ฉันสนใจข้อ 1 ที่กล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้วางใจในพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะไม่หวั่นไหว’ ฉันหวังว่าจะพูดแบบเดียวกัน แต่ฉันรู้ว่าชีวิตของฉันห่างไกลจากความไร้ที่ติและมีความลังเลใจมากมายระหว่างทาง ปัญหาคือเรารู้ว่าชีวิตของดาวิดไม่ได้ไร้ที่ติ ทั้งที่เขาทำได้ดีมากและทำได้ไม่ดีอย่างที่คิด ในข้อ 11 กล่าวว่า ‘ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์’ ดาวิดรู้ว่าเขาต้องการความเมตตาจากพระเจ้าและฉันก็เช่นกัน
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)ข้อพระคัมภีร์
เกี่ยวกับแผนฯ
พระคัมภีร์ในหนึ่งปี เป็นแผนประจำวันซึ่งจะนำคุณอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มในเวลาเพียงหนึ่งปี สำหรับใครก็ตามที่มองหาวิธีอ่านพระคัมภีร์แบบง่าย ๆ และมีแบบแผน แต่ละวันจะมีการสำรวจหัวข้อที่แตกต่างกันผ่านข้อพระคัมภีร์ที่คัดสรรมาจากพระธรรมสดุดีหรือสุภาษิต ตลอดจนพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม พร้อมด้วยคำอธิบายประจำวันจากนิคกี้ และพิพพา กัมเบล เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ได้จริง
More
เราขอขอบคุณ Alpha International สำหรับการจัดทำแผนนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม bible.alpha.org/th