อะไรคือความจริง?ตัวอย่าง
คุณได้ยินมาว่า
คุณค่าที่เยี่ยมยอดที่สุดคือการฝึกที่จะสังเกตุแยกแยะได้ อันที่จริง กษัตริย์โซโลโมน บุคคลหนึ่งที่ฉลาดที่สุดในโลกนี้ได้บรรยายไว้ว่า การเสาะหาวิจารณญาณ และความเข้าใจนั้นเป็นความเฉลียวฉลาดของคนคนหนึ่งที่น่าทำอย่างยิ่ง
ดังนั้น วันนี้ขอเราเลือกที่จะเร่งทำปฏิบัติการสุดยอดนี้ และทดสอบ"ความจริงในวัฒนธรรม"บางอย่างบนความสว่างแห่งความจริงดียวนี้
พระเยซู (ความจริง) มักทำการพลิกคว่ำอุดมการณ์ทางวัฒนธรรมอยู่เป็นประจำ เนื้อหาสาระส่วนใหญ่ในคำเทศนาบนภูเขาเป็นการรวบรวมคำสอนของพระเยซูเพื่อแก้ไขความเข้าใจที่ผิด ๆ ของเราเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าพอพระทัย ตัวอย่างการบันทึกของมัทธิวที่พระเยซู สอนว่า
ท่านได้ยินคำสอนที่ว่า "จงรักเพื่อนบ้านของท่านและเกลียดชังศัตรูของท่าน" แต่เราบอกท่านว่า "จงรักศัตรู และอธิษฐานเผื่อบรรดาคนที่ข่มเหงท่าน" มัทธิว 5 ข้อ 43-44
ท่านได้ยินอีกว่า......แต่เราว่า เราจะนำถ้อยคำเหล่านี้ไปใช้ได้ที่ไหน นี่เป็นการทดสอบชีวิตของเราในวันนี้
เราอาจได้ยินมาว่า เราทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้เรามีความสุข ฟังดูก็ดีอยู่ ใช่หรือไม่ ในเมื่อพระเจ้าทรงห่วงใยฉัน ฉันก็น่าจะทำทุกสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข แต่ในที่นี้ พระเยซูไม่เคยพูดว่า "จงทำทุกสิ่งที่จะทำให้ท่านมีความสุข" พระองค์ทรงสั่งให้เราบริสุทธิ์เหมือนพระองค์ทรงบริสุทธ์ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในการตระเตรียมเราด้วยคำสอนนั้นในโลกนี้ เราอาจต้องประสบกับความทุกข์ยาก แต่อย่าวิตกเลย เพราะพระองค์ทรงมีชัยต่อโลกแล้ว เรื่องราวของเรามีจุดจบอยู่ที่ความสุข แต่ถ้าองค์พระเยซูทรงทำแต่สิ่งที่ทำให้พระองคเป็นสุขแล้ว พระองค์ก็คงไม่อุทิศตนไปรับความทุกข์ทรมานบนกางเขน และเราก็จะไม่มีความหวังใด ๆ ฉะนั้น ความจริงไม่เป็นการเรียกร้องให้เราทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเอง แต่เรียกร้องให้เราตามหาเอกลักษณ์ของความบริสุทธิ์
นี่ก็อีกอย่างหนึ่ง คุณอาจเคยได้ยินมาว่า จงมุ่งหมายสู่การเป็นที่หนึ่ง แลคุณจะต้องทำทุกอย่างที่นำหน้าเสมอ และก็อีกน่ะแหละ คุณอาจถูกล่อให้มีความคิดแบบนี้ ที่สุดแล้ว พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองเท่านั้น ใช่หรือไม่ จริง ๆ แล้ว พระเยซูและผู้ติดตามพระองค์อย้างใกล้ชิดที่สุด มักท้าชวนให้เราปฏิบัติในทางตรงกันข้าม เปโตรกล่าวไว้ว่า
"เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมตัวลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะทรงยกพวกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร" 1 เปโตร 5 ข้อ 6
และเปาโลเขียนไว้ว่า
"อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย" ฟิลิปปี 2 ข้อ 3-4
ฉะนั้น ความจริงจึงไม่ได้อยู่ที่ชีวิตที่เรา และการผลักดันตนเองไปข้างหน้า แต่เป็นการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง แลtปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยใจถ่อม
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เราเห็นแล้วว่าเมื่อความเข้าใจของเราในเรื่องความจริงนี้หยั่งรากมั่นคงอยู่ในองค์พระเยซู เราก็
จะสามารถนำอุดมการทางวัฒนธรรมใดก็ตาม เข้าสู่ความสว่างของผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทั้งมั่นใจได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรยึดถือไว้ ก ารรู้จักความจริง รู้จักพระเยซูจะปลดปล่อยให้เราเป็นไท และมีชีวิตอยู่ในโลกด้วยหลักประกันพิเศษ ดังเช่นคำถามปีลาตในยามแก่เฒ่าว่า "ความจริงคืออะไร"
คุณค่าที่เยี่ยมยอดที่สุดคือการฝึกที่จะสังเกตุแยกแยะได้ อันที่จริง กษัตริย์โซโลโมน บุคคลหนึ่งที่ฉลาดที่สุดในโลกนี้ได้บรรยายไว้ว่า การเสาะหาวิจารณญาณ และความเข้าใจนั้นเป็นความเฉลียวฉลาดของคนคนหนึ่งที่น่าทำอย่างยิ่ง
ดังนั้น วันนี้ขอเราเลือกที่จะเร่งทำปฏิบัติการสุดยอดนี้ และทดสอบ"ความจริงในวัฒนธรรม"บางอย่างบนความสว่างแห่งความจริงดียวนี้
พระเยซู (ความจริง) มักทำการพลิกคว่ำอุดมการณ์ทางวัฒนธรรมอยู่เป็นประจำ เนื้อหาสาระส่วนใหญ่ในคำเทศนาบนภูเขาเป็นการรวบรวมคำสอนของพระเยซูเพื่อแก้ไขความเข้าใจที่ผิด ๆ ของเราเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าพอพระทัย ตัวอย่างการบันทึกของมัทธิวที่พระเยซู สอนว่า
ท่านได้ยินคำสอนที่ว่า "จงรักเพื่อนบ้านของท่านและเกลียดชังศัตรูของท่าน" แต่เราบอกท่านว่า "จงรักศัตรู และอธิษฐานเผื่อบรรดาคนที่ข่มเหงท่าน" มัทธิว 5 ข้อ 43-44
ท่านได้ยินอีกว่า......แต่เราว่า เราจะนำถ้อยคำเหล่านี้ไปใช้ได้ที่ไหน นี่เป็นการทดสอบชีวิตของเราในวันนี้
เราอาจได้ยินมาว่า เราทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้เรามีความสุข ฟังดูก็ดีอยู่ ใช่หรือไม่ ในเมื่อพระเจ้าทรงห่วงใยฉัน ฉันก็น่าจะทำทุกสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข แต่ในที่นี้ พระเยซูไม่เคยพูดว่า "จงทำทุกสิ่งที่จะทำให้ท่านมีความสุข" พระองค์ทรงสั่งให้เราบริสุทธิ์เหมือนพระองค์ทรงบริสุทธ์ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในการตระเตรียมเราด้วยคำสอนนั้นในโลกนี้ เราอาจต้องประสบกับความทุกข์ยาก แต่อย่าวิตกเลย เพราะพระองค์ทรงมีชัยต่อโลกแล้ว เรื่องราวของเรามีจุดจบอยู่ที่ความสุข แต่ถ้าองค์พระเยซูทรงทำแต่สิ่งที่ทำให้พระองคเป็นสุขแล้ว พระองค์ก็คงไม่อุทิศตนไปรับความทุกข์ทรมานบนกางเขน และเราก็จะไม่มีความหวังใด ๆ ฉะนั้น ความจริงไม่เป็นการเรียกร้องให้เราทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเอง แต่เรียกร้องให้เราตามหาเอกลักษณ์ของความบริสุทธิ์
นี่ก็อีกอย่างหนึ่ง คุณอาจเคยได้ยินมาว่า จงมุ่งหมายสู่การเป็นที่หนึ่ง แลคุณจะต้องทำทุกอย่างที่นำหน้าเสมอ และก็อีกน่ะแหละ คุณอาจถูกล่อให้มีความคิดแบบนี้ ที่สุดแล้ว พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองเท่านั้น ใช่หรือไม่ จริง ๆ แล้ว พระเยซูและผู้ติดตามพระองค์อย้างใกล้ชิดที่สุด มักท้าชวนให้เราปฏิบัติในทางตรงกันข้าม เปโตรกล่าวไว้ว่า
"เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมตัวลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะทรงยกพวกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร" 1 เปโตร 5 ข้อ 6
และเปาโลเขียนไว้ว่า
"อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย" ฟิลิปปี 2 ข้อ 3-4
ฉะนั้น ความจริงจึงไม่ได้อยู่ที่ชีวิตที่เรา และการผลักดันตนเองไปข้างหน้า แต่เป็นการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง แลtปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยใจถ่อม
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เราเห็นแล้วว่าเมื่อความเข้าใจของเราในเรื่องความจริงนี้หยั่งรากมั่นคงอยู่ในองค์พระเยซู เราก็
จะสามารถนำอุดมการทางวัฒนธรรมใดก็ตาม เข้าสู่ความสว่างของผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทั้งมั่นใจได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรยึดถือไว้ ก ารรู้จักความจริง รู้จักพระเยซูจะปลดปล่อยให้เราเป็นไท และมีชีวิตอยู่ในโลกด้วยหลักประกันพิเศษ ดังเช่นคำถามปีลาตในยามแก่เฒ่าว่า "ความจริงคืออะไร"
เกี่ยวกับแผนฯ
ความจริงของฉันเอง หรือเป็นความจริงหนึ่งเดียวนั้น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทั้ง 2 นี้ขัดแย้งกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบางสิ่งบางอย่างถูกต้องจริง ๆ มาพิจารณาร่วมกับเราใน 7 วันข้างหน้านี้ เกี่ยวกับสาระความจริงที่เป็นบุคคลจริง ไม่ได้เป็นแต่หลักการที่ไม่มีตัวตนใด ๆ แต่เป็นบุคคลหนึ่ง หน้าตาหนึ่ง คนคนหนึ่งที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ประทานชีวิต และความรักนิรันดร์ บุคคลที่มีชื่อว่า เยซู
More
เราขอขอบคุณ Life.Church สำหรับการแบ่งปันแผนการอ่านนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม: https://www.life.church/