ความหวังในความมืดมิดตัวอย่าง

จงเขียน

ถ้าเราปรารถนาให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งขึ้น เราไม่ควรหลีกหนีจากโอกาสที่ความเชื่อของเราอาจถูกทดสอบ และดังนั้น โดยผ่านการทดสอบนี้เอง ความเชื่อจึงเข้มแข็งขึ้น

—จอร์จ มุลเลอร์

คุณมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อชีวิตพังสลายลงต่อหน้าคุณ? อะไรคือปฏิกิริยาอัตโนมัติของคุณ สิ่งที่คุณวิ่งเข้าหาเพื่อปลอบโยน การบรรเทาทุกข์ หรือการหลีกหนี? 

การพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์จะยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลง เราจะยิ่งท้อแท้ใจมากขึ้น เพราะมันไม่เปลี่ยนอะไร เราอาจรู้สึกแย่ที่เข้มแข็งไม่พอที่จะรับมือกับหนามที่อยู่ในเนื้อของเรา เหนือสิ่งอื่นใด เราจะยิ่งวิ่งหนีไปไกลจากสิ่งเดียวที่สามารถช่วยเหลือเราได้อย่างแท้จริง 

จนกระทั่งเราพร้อมที่จะมีบทสนทนาที่ตรงไปตรงมากับพระเจ้า เราจะไม่มีวันที่จะรู้จักสันติสุข แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ? 

ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกช่วยนำทางพวกเราผ่านหุบเหวลึกด้วยการกระทำสามประการ หนึ่ง ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกตั้งคำถามถึงความอยุติธรรมที่ชัดเจนของพระเจ้า และเขาก็ตัดสินใจที่หยุดและฟังคำตอบของพระองค์ หลังจากนั้น เขาก็จดบันทึก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบผู้เผยพระวจนะฮาบากุกว่า “จงเขียนสิ่งที่เราเปิดเผยแก่เจ้าให้เห็นชัดเจนบนแผ่นจารึกเพื่อว่าทุกคนที่อ่านจะเข้าใจได้ทันที” (ฮาบากุก 2:2 TNCV)

ทำไมพระเจ้าต้องการให้เขาทำสิ่งนั้น? หลักๆ คือ พระเจ้าตรัสตอบผู้เผยพระวจนะฮาบากุก “จงเขียนมันลงไปเพื่อว่าเมื่อพระองค์ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์เที่ยงธรรมและเป็นจริง ทุกคนจะจำได้ว่าเราเป็นพระเจ้าแห่งสัจจะ” 

เมื่อพระเจ้าตรัสบางอย่างกับคุณ จดบันทึกไว้ เพราะศัตรูทางจิตวิญญาณเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขโมยเมล็ดแห่งความจริงที่พระองค์พยายามปลูกไว้ 

บางทีคุณอาจจะคิดว่า “ไม่เอาน่า เครก ฉันเชื่อในสิ่งที่คุณพูดนะ แต่ฉันไม่ใช่นักเขียนเลย มันก็เป็นความคิดที่ดีนะ แต่คุณหวังจริงๆ หรือที่ฉันจะไปที่มือถือ แท็บเล็ต—หรือที่บ้ากว่านั้น เอากระดาษและปากกาออกมา—และเขียนสิ่งที่ฉันคิดว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับฉัน?” 

คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว 

การบันทึกคำลงไปในหน้ากระดาษหรือบนจอสร้างหลักฐาน ปิดผนึกความทรงจำ และช่วยให้คุณรับผิดชอบ จงบันทึกข้อความของพระองค์ถึงคุณ 

ลงมือทำ: ออกแบบแผนการที่คุณจะบันทึกบทสนทนาของคุณกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และเริ่มทำมันเลยวันนี้