ปฐมกาล 42:1-36

ปฐมกาล 42:1-36 TH1971

เมื่อยาโคบรู้ว่ามีข้าวในอียิปต์ จึงพูดกับพวกลูกของตนว่า <<มานั่งมองดูกันอยู่ทำไมเล่า>> ยาโคบพูดต่อไปว่า <<เราได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ไปซื้อข้าวจากที่นั่นมาให้เรา เพื่อเราจะได้มีกินไม่อดตาย>> พี่ชายของโยเซฟสิบคนก็ไปซื้อข้าวที่อียิปต์ แต่เบนยามินน้องชายของโยเซฟนั้นยาโคบไม่ให้ไปกับพี่ชาย ด้วยกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เขา ดังนี้บรรดาบุตรชายของอิสราเอลก็ไปซื้อข้าว พร้อมกับคนทั้งหลายที่ไป เพราะการกันดารอาหารก็เกิดในแคว้นคานาอัน ฝ่ายโยเซฟเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านเป็นผู้ที่ขายข้าวให้แก่บรรดาราษฎร พวกพี่ชายของโยเซฟก็มากราบไหว้ท่าน ก้มหน้าลงถึงดิน เมื่อโยเซฟเห็นพวกพี่ของตนก็รู้จัก แต่ทำเป็นไม่รู้จัก และพูดจาดุดันกับเขา ท่านถามเขาว่า <<พวกเจ้ามาจากไหน>> เขาตอบว่า <<มาจากแคว้นคานาอันเพื่อซื้ออาหาร>> โยเซฟรู้จักพวกพี่ แต่พวกพี่หารู้จักท่านไม่ โยเซฟระลึกถึงความฝันที่เห็นแต่ก่อนถึงเรื่อง เขา ท่านกล่าวแก่พวกพี่ว่า <<พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม แอบมาดูความอ่อนแอของบ้านเมือง>> พวกเขาจึงตอบว่า <<นาย มิใช่เช่นนั้น ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านมาซื้ออาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน เป็นคนซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ของท่านมิใช่คนสอดแนม>> โยเซฟบอกเขาอีกว่า <<ไม่จริง พวกเจ้ามาดูความอ่อนแอของบ้านเมือง>> พวกพี่จึงตอบว่า <<ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านเป็นพี่น้องสิบสองคน เป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน อยู่ในแคว้นคานาอัน น้องสุดท้องยังอยู่กับบิดา แต่น้องอีกคนหนึ่งเสียๆแล้ว>> โยเซฟตอบเขาว่า <<ที่เราว่าพวกเจ้าเป็นคนสอดแนมนั้นจริงแน่ๆ เราจะทดลองพวกเจ้าดังนี้ โดยพระชนม์ฟาโรห์ พวกเจ้าจะไปจากที่นี่ไม่ได้ เว้นแต่น้องสุดท้องมาที่นี่ พวกเจ้าต้องอยู่ในคุกก่อน ให้คนหนึ่งในพวกเจ้าไปพาน้องมา เพื่อพิสูจน์ถ้อยคำของเจ้า ว่าเจ้าพูดจริงหรือไม่ มิฉะนั้นโดยพระชนม์ฟาโรห์ พวกเจ้าเป็นคนสอดแนมแน่>> แล้วโยเซฟก็ขังพวกพี่ชายไว้ด้วยกันในคุกสามวัน ในวันที่สามโยเซฟบอกเขาว่า <<ทำดังนี้แล้วจะรอดชีวิต เพราะเรายำเกรงพระเจ้า ถ้าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าถูกจำอยู่ในคุก คนอื่นนำข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า แล้วพาน้องสุดท้องมาหาเรา ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าพวกเจ้าพูดจริง แล้วพวกเจ้าจะไม่ตาย>> พวกพี่ชายก็ยอม พวกพี่ชายจึงพูดกันว่า <<ที่จริงเรามีความผิดเรื่องน้องเรา เพราะเราได้เห็นความทุกข์ใจของน้องเมื่อเขาอ้อนวอนเรา แต่แล้วมิได้ฟัง เพราะฉะนั้นความทุกข์ใจทั้งนี้จึงบังเกิดแก่เรา>> ฝ่ายรูเบนพูดกับน้องทั้งหลายว่า <<ข้าห้ามเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าอย่าทำบาปผิดต่อเด็กนั้น แต่พวกเจ้าไม่ฟัง เหตุฉะนั้นการพิพากษาเรื่องโลหิตของน้องจึงมาถึง>> พี่ชายไม่รู้ว่าโยเซฟฟังออก เพราะว่าเมื่อพูดกันมีคนเป็นล่าม โยเซฟก็ออกไปร้องไห้ แล้วกลับมาพูดกับเขาอีก ท่านเอาสิเมโอนออกมามัดไว้ต่อหน้าพวกเขา โยเซฟบัญชาให้ใส่ข้าวในถุงของพี่ชายให้เต็ม และใส่เงินของแต่ละคนไว้ในกระสอบของทุกคนด้วย และให้เสบียงไปกินกลางทาง คนใช้ก็ทำตาม เมื่อพวกเขาบรรทุกข้าวใส่หลังลาเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางไป ครั้นคนหนึ่งเปิดกระสอบออกจะเอาข้าวให้ลากิน ณ ที่หยุดพัก ก็เห็นเงินอยู่ที่ปากกระสอบนั้น ผู้นั้นจึงบอกแก่พี่น้องว่า <<แน่ะ เงินของฉันกลับคืนมาอยู่ที่ปากกระสอบของฉัน>> พี่น้องตกใจ ตัวสั่น หันหน้าเข้าหากันพูดกันว่า <<ที่พระเจ้าทรงกระทำดังนี้แก่เราจะเป็นอย่างไรหนอ>> เมื่อเขากลับไปพบยาโคบบิดาของเขาในแคว้นคานาอัน เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่ตนให้บิดาฟัง <<ท่านผู้นั้นเป็นเจ้านายของประเทศพูดจาดุดันกับพวกฉัน เหมาเอาว่าพวกฉันเป็นผู้สอดแนมดูบ้านเมือง พวกฉันเรียนว่า <ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นคนซื่อสัตย์ หาได้เป็นคนสอดแนมไม่ ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน มีพี่น้องสิบสองคนแต่น้องคนหนึ่งเสียๆแล้ว น้องสุดท้องยังอยู่กับบิดาในแคว้นคานาอัน> แล้วท่านผู้เป็นเจ้านายของประเทศนั้นตอบว่า <เพื่อจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ ให้ทำดังนี้ คือให้คนหนึ่งในพวกพี่น้องอยู่กับเรา พวกเจ้าเอาข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหาร ที่บ้านของเจ้า แล้วออกเดินทางไปเถิด จงพาน้องสุดท้องมาหาเรา เราจึงจะรู้แน่ว่าพวกเจ้ามิได้เป็นคนสอดแนม แต่เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วเราจะปล่อยพี่ชายไป พวกเจ้ายังจะได้ค้าขายในประเทศนี้> >> ครั้นพวกเขาแก้กระสอบข้าวออก ก็เห็นห่อเงินของแต่ละคนอยู่ในกระสอบของตน เมื่อเวลาพวกเขากับบิดาเห็นห่อเงินดังนั้น ก็ตกใจ ฝ่ายยาโคบบิดาจึงพูดว่า <<พวกเจ้าทำให้เราพลัดพรากจากลูกของเรา โยเซฟก็เสียไปแล้ว สิเมโอนก็เสียไปแล้ว แล้วยังจะเอาเบนยามินไปอีกคน เราต้องทนความทุกข์เหล่านี้ทั้งหมด>>

วิดีโอสำหรับ ปฐมกาล 42:1-36