เฉลยธรรมบัญญัติ 32:19-52

เฉลยธรรมบัญญัติ 32:19-52 TNCV

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นเช่นนี้และทรงละทิ้งเขา เพราะว่าบุตรชายบุตรสาวของพระองค์ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ พระองค์ตรัสว่า “เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขา และดูว่าบั้นปลายของเขาจะเป็นเช่นใด เพราะเขาเป็นคนรุ่นที่นอกลู่นอกรอย ลูกหลานผู้ไม่ซื่อสัตย์ เขาทำให้เราอิจฉาสิ่งที่ไม่ใช่พระ และยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพอันไร้ค่า เราจะทำให้เขาอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ เราจะยั่วโทสะเขาด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ เพราะโทสะของเราจุดเปลวไฟ ซึ่งเผาถึงก้นบึ้งของแดนมรณา ไฟนั้นจะเผาผลาญโลกและพืชผลทั้งปวง และบันดาลให้ภูเขาทั้งหลายลุกเป็นไฟ “เราจะสุมหายนะลงเหนือพวกเขา และยิงธนูเข้าใส่พวกเขา เราจะส่งการกันดารอาหารมาต่อสู้พวกเขา ส่งโรคระบาดอันล้างผลาญและภัยพิบัติร้ายแรงมาเล่นงานพวกเขา เราจะส่งเขี้ยวเล็บของสัตว์ป่ามาทำร้ายพวกเขา ส่งพิษของงูร้ายซึ่งเลื้อยมาในผงคลี ตามท้องถนนมีคมดาบปลิดชีวิตลูกหลานของพวกเขา ภายในบ้านมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ชายหนุ่มและหญิงสาวจะพินาศ ทั้งทารกและคนสูงอายุ เราพูดแล้วว่าเราจะกระจายพวกเขาออกไป และลบพวกเขาให้เลือนหายไปจากความทรงจำของมนุษยชาติ แต่เราหวั่นคำถากถางของศัตรู เกรงว่าปฏิปักษ์จะเข้าใจผิด และพูดว่า ‘มือของเราพิชิตชัยชนะ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรเลย’ ” พวกเขาเป็นชนชาติที่ไร้ความคิด ขาดความฉลาดหลักแหลม ถ้าเพียงแต่พวกเขาฉลาดและเข้าใจ และมองออกว่าบั้นปลายของตนจะเป็นเช่นใด! คนคนเดียวจะไล่คนเป็นพันได้อย่างไร? หรือสองคนทำให้คนเป็นหมื่นหนีเตลิดได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะพระศิลาของพวกเขาได้ขายพวกเขาเสียแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพวกเขาไว้แล้ว เพราะศิลาของชนชาติอื่นๆ ไม่เหมือนพระศิลาของเรา แม้ศัตรูของเราก็ยอมรับเช่นนั้น เทือกเถาของพวกเขามาจากเทือกเถาแห่งโสโดม และจากท้องทุ่งแห่งโกโมราห์ ผลองุ่นของพวกเขาเต็มไปด้วยยาพิษ พวงองุ่นของพวกเขามีแต่ความขมขื่น เหล้าองุ่นของพวกเขาคือพิษงูร้าย เป็นพิษร้ายของงูเห่า “เราเก็บงำเรื่องนี้ และประทับตราเก็บไว้ในคลังของเราไม่ใช่หรือ? การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง เมื่อถึงเวลาเท้าของพวกเขาจะลื่นไถล วันแห่งหายนะของพวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว และความย่อยยับจะถาโถมเข้าใส่พวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์ และทรงสงสารเอ็นดูผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพละกำลังของพวกเขาเสื่อมลง และไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าทาสหรือไท พระองค์จะตรัสว่า “พระทั้งหลายของพวกเขาไปไหนเสียเล่า ศิลาที่พวกเขาลี้ภัยไปไหนเสียแล้ว ไหนล่ะพระที่กินไขมันของเครื่องบูชา และดื่มเหล้าองุ่นของเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา? ให้พระเหล่านั้นลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้าสิ! ให้พระเหล่านั้นมาให้ที่พักพิงแก่พวกเจ้าสิ! “จงดูเถิด เราเองนี่แหละคือผู้นั้น! ไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา เราทำให้ตายและเราให้ชีวิต เราทำให้บาดเจ็บและเราจะรักษาให้หาย และไม่มีผู้ใดช่วยให้พ้นมือของเราไปได้ เราชูมือขึ้นฟ้าและประกาศว่า เราดำรงอยู่นิรันดร์ฉันใด เมื่อเราลับดาบอันวาววับของเรา และเมื่อเรากุมการพิพากษาไว้ในมือ เราจะแก้แค้นศัตรูของเรา และตอบแทนผู้ที่เกลียดชังเราฉันนั้น เราจะทำให้ลูกศรของเราดื่มเลือดจนเมามาย ส่วนดาบของเราจะกินเนื้อ คือเลือดเนื้อของผู้ถูกสังหารและเชลย ศีรษะของบรรดาผู้นำของศัตรู” ประชาชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีร่วมกับประชากรของพระองค์เถิด เพราะพระองค์จะทรงแก้แค้นให้แก่โลหิตของผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์จะล้างแค้นศัตรูของพระองค์ และลบมลทินบาปให้แก่ดินแดนและประชากรของพระองค์ โมเสสมากับโยชูวาบุตรนูน กล่าวเนื้อเพลงทั้งบทนี้ให้ประชาชนฟัง เมื่อโมเสสท่องข้อความให้อิสราเอลทั้งปวงฟังจบแล้ว ก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “จงจำใส่ใจทุกถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านอย่างหนักแน่นในวันนี้ เพื่อท่านจะกำชับบุตรหลานให้ใส่ใจปฏิบัติตามทุกถ้อยคำในบทบัญญัตินี้ บทบัญญัตินี้ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่พูดไปเปล่าๆ แต่เป็นชีวิตของท่าน โดยบทบัญญัตินี้ท่านจะมีชีวิตอยู่ยาวนานในดินแดนซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปครอบครอง” ในวันเดียวกันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนภูเขาเนโบในเทือกเขาอาบาริม ในโมอับตรงข้ามเมืองเยรีโค และมองดูคานาอัน ดินแดนซึ่งเรายกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ชนอิสราเอล บนภูเขาที่เจ้าขึ้นไปนั้น เจ้าจะตายไปอยู่ร่วมกับญาติพี่น้องของเจ้า เช่นเดียวกับอาโรนพี่ชายของเจ้าซึ่งตายที่ภูเขาโฮร์และถูกรวบไปอยู่กับญาติพี่น้องของเขา เพราะเจ้าทั้งสองไม่ได้ให้เกียรติเราต่อหน้าชนอิสราเอลที่สายน้ำแห่งเมรีบาห์คาเดชในถิ่นกันดารศิน และไม่ได้เชิดชูความบริสุทธิ์ของเราในหมู่ชนอิสราเอล ฉะนั้นเจ้าจะเห็นดินแดนนั้นแต่ไกล เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในดินแดนซึ่งเราจะยกให้ประชากรอิสราเอล”