1พงศ์กษัตริย์ 3:6-28

1พงศ์กษัตริย์ 3:6-28 TNCV

โซโลมอนกราบทูลว่า “พระองค์ได้ทรงสำแดงพระกรุณาอย่างยิ่งต่อผู้รับใช้ของพระองค์คือดาวิดเสด็จพ่อของข้าพระองค์ เนื่องจากเสด็จพ่อทรงซื่อสัตย์ต่อพระองค์ มีใจชอบธรรมและซื่อตรง และพระองค์ยังคงสำแดงพระกรุณาเดียวกันนี้ต่อเสด็จพ่อสืบมาจนถึงวันนี้ โดยให้บุตรคนหนึ่งครองราชบัลลังก์ “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้ทรงโปรดให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้เป็นกษัตริย์สืบต่อจากเสด็จพ่อดาวิด แต่ข้าพระองค์ยังเป็นเพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่รู้วิธีปฏิบัติภาระหน้าที่ ผู้รับใช้ของพระองค์อยู่ท่ามกลางประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และมากมายเหลือคณานับ ฉะนั้นขอทรงโปรดให้ผู้รับใช้ของพระองค์มีความคิดฉลาดหลักแหลม เพื่อจะปกครองประชากรของพระองค์ และรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เพราะใครเล่าจะสามารถปกครองชนชาติที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์นี้ได้?” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพอพระทัยที่โซโลมอนทูลขอเช่นนี้ ดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสกับโซโลมอนว่า “เนื่องจากเจ้าขออย่างนี้ ไม่ได้ขอชีวิตยืนยาว หรือทรัพย์สมบัติสำหรับตัวเอง หรือชีวิตศัตรูของเจ้า แต่ขอให้มีความฉลาดหลักแหลมเพื่อผดุงความยุติธรรม เราจะให้ตามที่เจ้าขอ เราจะให้เจ้ามีสติปัญญาและความฉลาดหลัดแหลมอย่างที่ไม่เคยมี และจะไม่มีใครเสมอเหมือนเจ้า ยิ่งกว่านั้นเราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขออีกด้วย คือทรัพย์สมบัติและเกียรติ เพื่อที่จะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเสมอเหมือนตลอดชีวิตของเจ้า และหากเจ้าดำเนินในทางของเรา ปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของเราเหมือนดาวิดบิดาของเจ้า เราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว” แล้วโซโลมอนก็ตื่นบรรทมและตระหนักว่าได้ทรงฝันไป พระองค์เสด็จกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม ทรงยืนอยู่หน้าหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา จากนั้นทรงจัดงานเลี้ยงให้ข้าราชสำนักทั้งปวง มีหญิงโสเภณีสองคนมาเข้าเฝ้ากษัตริย์โซโลมอน คนหนึ่งทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ หม่อมฉันกับหญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน นางอยู่ด้วยเมื่อหม่อมฉันคลอดลูก พอลูกอายุได้สามวัน ผู้หญิงคนนี้ก็คลอดลูกด้วยเช่นกัน มีเพียงเราสองคนอยู่ในบ้าน ไม่มีคนอื่น “ลูกชายของหญิงคนนี้ตายไปตอนกลางคืนเพราะถูกนางนอนทับ แล้วนางตื่นขึ้นมากลางดึก ขณะที่หม่อมฉันหลับอยู่ นางเอาลูกชายของหม่อมฉันออกไปจากข้างตัว ไปนอนแนบอก และเอาลูกของนางที่ตายแล้วมาไว้แนบอกของหม่อมฉัน เช้าวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันตื่นขึ้นจะให้นมลูก ก็พบว่าลูกตายแล้ว พอสว่างหม่อมฉันเพ่งดู จึงเห็นว่าไม่ใช่ลูกของหม่อมฉัน” หญิงอีกคนพูดขึ้นว่า “นั่นแหละเป็นลูกของเธอ ส่วนเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของฉัน” แต่หญิงคนแรกยืนยันว่า “ไม่ใช่ ลูกที่ตายแล้วเป็นของเธอ ลูกที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นของฉัน” แล้วทั้งสองคนก็เถียงกันต่อหน้ากษัตริย์ กษัตริย์ตรัสว่า “คนนี้ก็ว่า ‘ลูกฉันยังอยู่ ลูกเธอตายแล้ว’ คนนั้นก็ว่า ‘ไม่ใช่ ลูกเธอตายแล้ว ลูกฉันสิยังอยู่’ ” แล้วกษัตริย์ตรัสว่า “เอาดาบมาให้เราสักเล่มสิ” ก็มีผู้นำดาบมาถวาย กษัตริย์ตรัสสั่งว่า “จงฟันเด็กคนที่ยังมีชีวิตอยู่ออกเป็นสองท่อน แบ่งให้ผู้หญิงสองคนนี้คนละท่อน” หญิงที่เป็นแม่ของเด็กนั้นจริงๆ สงสารลูกจับใจ จึงทูลกษัตริย์ว่า “อย่าเลยพระองค์เจ้าข้า ยกลูกให้นางไปเถิด อย่าฆ่าลูกเลย!” แต่อีกคนพูดว่า “ฟันเป็นสองท่อนเลย จะได้ไม่ต้องเป็นของเธอหรือของฉัน!” กษัตริย์จึงตรัสว่า “อย่าฆ่าเด็กนั้นเลย จงมอบเขาให้กับหญิงคนที่ต้องการให้เด็กมีชีวิตอยู่ เพราะเธอนั่นแหละเป็นแม่” เมื่อชนชาติอิสราเอลทั้งปวงได้รู้ถึงคำตัดสินของกษัตริย์ ก็ยำเกรงพระองค์ เพราะเห็นว่าทรงมีสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อผดุงความยุติธรรม