อพยพ 16:1-34

อพยพ 16:1-34 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

พวกเขา​เดินทาง​จาก​เอลิม และ​ที่​ชุมนุม​ทั้งหมด​ของ​อิสราเอล​ได้​เดินทาง​มา​ถึง​ที่​เปล่าเปลี่ยว​แห้งแล้ง​สีน ซึ่ง​อยู่​ระหว่าง​ตำบล​เอลิม​และ​ภูเขา​ซีนาย ใน​วันที่​สิบห้า​ของ​เดือน​ที่สอง หลังจาก​ที่​พวกเขา​ออก​จาก​ประเทศ​อียิปต์​มา ที่ชุมนุม​ทั้งหมด​ของ​อิสราเอล บ่น​ต่อว่า​โมเสส​กับ​อาโรน​ใน​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้ง พวกเขา​บอก​กับ​ทั้ง​สองคน​ว่า “ให้​มือ​ของ​พระยาห์เวห์​ฆ่า​พวกเรา​ตอน​ที่​นั่ง​อยู่​ข้าง​หม้อเนื้อ และ​กิน​จน​อิ่มหนำ​ใน​แผ่นดิน​อียิปต์ ยัง​จะ​ดีกว่า​ที่​พวกท่าน​นำ​ชุมชน​ทั้งหมด​นี้​ออกมา​อดตาย​ใน​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้งนี้” พระยาห์เวห์​พูด​กับ​โมเสส​ว่า “เรา​กำลัง​จะ​ทำให้​อาหาร​ตก​ลงมา​จาก​ท้องฟ้า ใน​แต่ละวัน​ให้​ประชาชน​ออก​ไป​เก็บ​อาหาร​นี้​ได้ เก็บ​ให้​พอกิน​สำหรับ​วันหนึ่งๆ​เท่านั้น เพราะ​เรา​จะ​ทดสอบ​ดู​ว่า พวกเขา​จะ​เชื่อฟัง​กฏ​ของเรา​หรือไม่ ใน​วัน​ที่หก​เมื่อ​พวกเขา​เตรียม​อาหาร​ที่​พวกเขา​เก็บมา อาหารนั้น​จะ​มี​มากขึ้น​เป็น​สองเท่า​ของ​อาหาร​ที่​พวกเขา​เก็บมา​ใน​แต่ละวัน” โมเสส​และ​อาโรน​จึง​พูด​กับ​ประชาชน​ชาว​อิสราเอล​ทั้งหมด​ว่า “เย็นนี้​พวกท่าน​จะได้​รู้​ว่า พระยาห์เวห์​ได้​นำ​พวกท่าน​ออก​จาก​แผ่นดิน​อียิปต์ และ​ใน​ตอนเช้า​พวกท่าน​จะ​เห็น​รัศมี​ของ​พระยาห์เวห์ เพราะ​พระองค์​ได้ยิน​เสียงบ่น​ของ​พวกท่าน ที่​บ่น​ต่อว่า​พระองค์​แล้ว ส่วน​เรา​สองคน​เป็น​ใครกัน พวกท่าน​ถึง​ได้​มาบ่น​ต่อว่า​เรา” โมเสส​พูด​ว่า “เพราะ​พระยาห์เวห์​ได้ยิน​เสียงบ่น​ของ​พวกท่าน ที่​ท่าน​บ่น​ต่อว่า​พระองค์ ดังนั้น​เย็นนี้ พระองค์​จะ​ส่ง​เนื้อ​มา​ให้กิน ส่วน​พรุ่งนี้ พระองค์​จะ​ส่ง​ขนมปัง​มาให้​จน​ท่านอิ่ม ส่วน​เรา​สองคน​เป็น​ใครกัน พวกท่าน​ถึง​ได้​มาบ่น​ต่อว่า​เรา พวกท่าน​ไม่ได้​บ่น​ต่อว่า​เรา​หรอกนะ แต่​บ่น​ต่อว่า​พระยาห์เวห์​ต่างหาก” โมเสส​พูด​กับ​อาโรน​ว่า “ให้​บอก​กับ​ที่ชุมนุม​ของ​ชาว​อิสราเอล​ทั้งหมด​ว่า ให้​เข้ามา​ใกล้​พระยาห์เวห์ เพราะ​พระองค์​ได้ยิน​เสียงบ่น​ของ​พวกเจ้า​แล้ว” เมื่อ​อาโรน​พูด​กับ​ที่ชุมนุม​ของ​ชาว​อิสราเอล​ทั้งหมด พวกเขา​ก็​หันหลัง​ไป​ทาง​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้ง และ​เห็น​รัศมี​ของ​พระยาห์เวห์​ปรากฏ​อยู่​ใน​เมฆ พระยาห์เวห์​พูด​กับ​โมเสส​ว่า “เรา​ได้ยิน​เสียงบ่น​ของ​ประชาชน​ชาว​อิสราเอล​แล้ว ให้​บอก​กับ​พวกเขา​ว่า ‘ใน​ตอนเย็น พวกเจ้า​จะได้​กิน​เนื้อ​และ​ใน​ตอนเช้า​พวกเจ้า​จะ​ได้​กิน​อาหาร​จนอิ่ม เพื่อ​เจ้า​จะได้​รู้ว่า เรา​คือ​ยาห์เวห์ พระเจ้า​ของ​พวกเจ้า’” ใน​ตอนเย็น​ฝูง​นกคุ่ม​บินมา​ปกคลุม​ค่าย ใน​ตอนเช้า​มี​น้ำค้าง​เกาะ​อยู่​รอบๆ​ค่าย เมื่อ​น้ำค้าง​หายไป​ก็​มี​เกล็ด​บางๆ​อยู่​บน​พื้นผิว​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้ง มัน​ละเอียด​เหมือน​เกล็ด​น้ำแข็ง​อยู่​บนพื้น เมื่อ​ประชาชน​ชาว​อิสราเอล​เห็น พวกเขา​ก็​ถาม​กัน​ว่า “นี่​อะไร” เพราะ​พวกเขา​ไม่รู้​ว่า​มัน​คือ​อะไร โมเสส​จึง​พูด​กับ​พวกเขา​ว่า “มัน​คือ​อาหาร​ที่​พระยาห์เวห์​ให้​กับ​พวกท่าน​กิน” พระยาห์เวห์​สั่ง​ไว้​อย่างนี้​ว่า “ให้​แต่ละคน​เก็บ​เท่าที่​ตัวเอง​จะ​กินได้ และ​ให้​เก็บ​เผื่อ​คน​ที่อยู่​ใน​เต็นท์​ของเขา​ด้วย โดย​เก็บ​ให้​คนละ​หนึ่ง​โอเมอร์” ลูกหลาน​ชาว​อิสราเอล​ก็​ทำ​ตามนั้น บางคน​ก็​เก็บ​มาก บางคน​ก็​เก็บ​น้อย แต่​เมื่อ​พวกเขา​ใช้​โอเมอร์​ตวง คน​ที่​เก็บ​มา​มาก ก็​ไม่ได้​เกิน คน​ที่​เก็บ​มา​น้อย ก็​ไม่ขาด แต่ละคน​ก็​เก็บ​เท่าที่​ตัวเอง​จะ​กิน​ได้หมด โมเสส​บอก​กับ​พวกเขา​ว่า “ห้าม​ไม่ให้​ใคร​เหลือ​อาหาร​ไว้​จนถึง​วันรุ่งขึ้น” แต่​พวกเขา​ไม่ฟัง​โมเสส บางคน​เหลือ​อาหาร​ไว้​จนถึง​วันรุ่งขึ้น มัน​ก็​เกิด​เป็น​หนอน​เน่าเหม็น โมเสส​จึง​โกรธ​พวกเขา ทุกๆ​เช้า​แต่ละคน​จะ​เก็บ​อาหาร​ตามที่​เขา​จะ​กิน​ได้หมด แต่​เมื่อ​แดดจ้า​แผดเผา มัน​ก็​ละลาย​ไป เมื่อ​ถึง​วัน​ที่หก พวกเขา​เก็บ​อาหาร​มาก​เป็น​สองเท่า คนละ​สอง​โอเมอร์ พวก​หัวหน้า​ทุกคน​ของ​ที่​ชุมนุมชน ได้​มา​รายงาน​โมเสส​เกี่ยวกับ​เรื่องนี้ โมเสส​จึง​บอก​กับ​พวกเขา​ว่า “นี่​คือ​คำสั่ง​ของ​พระยาห์เวห์ ‘พรุ่งนี้​คือ​วันหยุด​ทาง​ศาสนา เป็น​วันหยุด​พักผ่อน​อัน​ศักดิ์สิทธิ์​ให้กับ​พระยาห์เวห์ พวกท่าน​อยาก​อบ​อะไร​ก็​ไปอบ อยาก​ต้ม​อะไร​ก็​ไปต้ม และ​ให้​แยก​ส่วน​ที่เหลือ​เก็บไว้​จนถึง​พรุ่งนี้​เช้า’” พวกเขา​จึง​แยก​มันไว้ ตาม​ที่​โมเสส​สั่งไว้ อาหาร​นั้น​ก็​ไม่​เน่าเหม็น​และ​ไม่มี​หนอน​ด้วย โมเสส​พูด​ว่า “ให้​กิน​อาหาร​นั้น​ใน​วันนี้ เพราะ​วันนี้​เป็น​วันหยุด​ทาง​ศาสนา​ให้กับ​พระยาห์เวห์ วันนี้​พวกท่าน​จะ​ไม่​เจอ​อาหาร​ใน​ท้องทุ่ง พวกท่าน​จะ​เก็บ​อาหาร​ได้​หกวัน แต่​ใน​วัน​ที่เจ็ด ซึ่ง​เป็น​วันหยุด​ทาง​ศาสนา จะ​ไม่มี​อาหาร​ให้เก็บ” ใน​วัน​ที่เจ็ด ก็​ยัง​มี​บางคน​ออก​ไป​เก็บ​อาหาร แต่​ไม่พบ​อาหาร พระยาห์เวห์​พูด​กับ​โมเสส​ว่า “พวกเจ้า​จะ​ไม่​เชื่อฟัง​คำสั่ง​และ​กฎต่างๆ​ของเรา​ไป​อีกนาน​แค่ไหน ดูซิ พระยาห์เวห์​ได้​ให้​วันหยุด​ทาง​ศาสนา​กับ​พวกเจ้า นั่น​เป็นเหตุ​ที่ ใน​วัน​ที่หก พระองค์​ถึง​ได้​ให้​อาหาร​กับ​พวกเจ้า เพียงพอ​สำหรับ​สองวัน เพื่อ​ใน​วัน​ที่เจ็ด พวกเจ้า​แต่ละคน​จะได้​หยุด​พักผ่อน​อยู่​กับบ้าน ไม่ควร​มีใคร​ออก​จาก​บ้าน​ใน​วัน​ที่เจ็ด​นั้น” ประชาชน​ชาว​อิสราเอล​เรียก​อาหาร​นี้​ว่า “มานา” มัน​เหมือนกับ​เมล็ด​ผักชี สีขาว และ​รสชาติ​เหมือนกับ​ขนมปังแผ่น​ที่​ทำ​จาก​น้ำเชื่อม​ผลไม้ โมเสส​พูด​ว่า “นี่​คือ​สิ่ง​ที่​พระยาห์เวห์​ได้​สั่งไว้ คือ ‘ให้​เอา​มานามา​หนึ่ง​โอเมอร์ เก็บไว้​ให้​ลูกหลาน​ของเจ้า​ดู​ใน​อนาคต เพื่อ​พวกเขา​จะได้​เห็น​อาหาร​ที่​เรา​ได้​ให้​พวกเจ้า​กิน​ใน​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้ง ตอนที่​เรา​พา​พวกเจ้า​ออกมา​จาก​แผ่นดิน​อียิปต์’” โมเสส​พูด​กับ​อาโรน​ว่า “เอา​ภาชนะ​มา และ​เอา​มานา​หนึ่ง​โอเมอร์​ใส่​ไว้​ในมัน เอา​มัน​มา​วาง​ไว้​ตรงหน้า​พระยาห์เวห์ เพื่อ​จะ​เก็บไว้​ให้​ลูกหลาน​ของ​พวกท่าน​ดู​ใน​อนาคต” อาโรน​ได้​วาง​ภาชนะ​นั้น​ลง​ตรงหน้า​แผ่นหิน ตาม​ที่​พระยาห์เวห์​ได้​สั่ง​โมเสส​ไว้

แบ่งปัน
อ่าน อพยพ 16

อพยพ 16:1-34 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดเดินทางออกจากเอลิม และมาถึงถิ่นทุรกันดารสิน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง นับตั้งแต่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็พากันบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร คนอิสราเอลกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “เราตายเสียในแผ่นดินอียิปต์ด้วยพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ ขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและรับประทานอาหารอิ่มหนำก็ดีกว่า นี่ท่านทั้งสองกลับนำเราออกมายังถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อจะให้ชุมนุมชนทั้งหมดหิวตาย” แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เราจะให้อาหารตกลงมาเหมือนฝนจากท้องฟ้าสำหรับพวกเจ้า และทุกๆ วันก็ให้ประชาชนออกไปเก็บแต่พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า พวกเขาจะดำเนินตามบัญญัติของเราหรือไม่? ในวันที่หก เมื่อพวกเขาเตรียมมานาที่นำมา ก็ให้เก็บเพิ่มเป็นสองเท่าของที่พวกเขาเก็บในวันอื่นๆ” โมเสสกับอาโรนจึงบอกชนชาติอิสราเอลทั้งหมดว่า “ในเวลาเย็นพวกท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้นำพวกท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้เห็นพระสิริของพระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ยินคำที่ท่านบ่นต่อว่าพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นใครเล่า? พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา” โมเสสกล่าวว่า “ในเวลาเย็นพระยาห์เวห์จะประทานเนื้อให้พวกท่านรับประทาน และในเวลาเช้าจะประทานอาหารให้รับประทานจนอิ่ม เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ยินคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นใครเล่า? พวกท่านไม่ได้บ่นต่อว่าเรา แต่ได้บ่นต่อว่าพระยาห์เวห์” โมเสสจึงกล่าวกับอาโรนว่า “จงบอกชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า ‘จงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำบ่นของพวกท่านแล้ว’ ” ขณะที่อาโรนกล่าวกับชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น พวกเขามองไปทางถิ่นทุรกันดาร และนี่แน่ะ พระรัศมีของพระยาห์เวห์ปรากฏอยู่ในเมฆ พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้าเจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’ ” เมื่อถึงเวลาเย็น ฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างรอบค่าย เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว นี่แน่ะ มีเกล็ดบางละเอียดเหมือนน้ำค้างแข็งอยู่บนพื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ?” เพราะพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกพวกเขาว่า “นี่แหละ เป็นอาหารที่พระยาห์เวห์ประทานให้พวกท่านรับประทาน นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้คือ ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละสองลิตร ตามจำนวนคนที่พักอยู่ในเต็นท์ของตน’ ” ชนชาติอิสราเอลก็ทำตามนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย แต่เมื่อพวกเขาใช้เครื่องตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลน ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้ โมเสสสั่งพวกเขาว่า “อย่าให้ใครเหลือไว้จนรุ่งเช้า” แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสส บางคนเหลือไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็มีหนอนขึ้น และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น พวกเขาเก็บกันทุกๆ เช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้ แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป เมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสี่ลิตร ผู้นำทั้งหมดของชุมนุมชนจึงเข้ามารายงานโมเสส โมเสสบอกพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงบัญชาว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพัก เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมด จงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น’ ” เมื่อพวกเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้นตามที่โมเสสสั่ง อาหารนั้นไม่บูดเหม็นและไม่มีหนอนในนั้น โมเสสจึงบอกว่า “วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระยาห์เวห์ วันนี้พวกท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย จงเก็บอาหารหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย” ต่อมาในวันที่เจ็ด บางคนออกไปเก็บ แต่ก็ไม่พบเลย พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร? ดูสิ พระยาห์เวห์ประทานวันสะบาโตให้พวกเจ้า เพราะฉะนั้นในวันที่หกพระองค์ประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ในวันที่เจ็ดนั้นให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ใครออกจากที่พักเลย” เพราะฉะนั้นประชาชนจึงได้หยุดพักในวันที่เจ็ด คนอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้น ว่า มานา มันเหมือนเมล็ดผักชีแต่มีสีขาว และมีรสเหมือนขนมแผ่นผสมน้ำผึ้ง โมเสสกล่าวว่า “พระยาห์เวห์มีรับสั่งว่า ‘จงตวงมานาสองลิตร เก็บไว้ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงพวกเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’ ” โมเสสบอกอาโรนว่า “จงเอาไหลูกหนึ่ง แล้วตวงมานาให้เต็มสองลิตร วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ให้เก็บรักษาไว้ชั่วชาติพันธุ์ของพวกท่าน” อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบแห่งสักขีพยาน เพื่อรักษาไว้ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส

แบ่งปัน
อ่าน อพยพ 16

อพยพ 16:1-34 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

พวกเขายกไปจากเอลิม และในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง นับตั้งแต่เวลายกออกจาก แผ่นดินอียิปต์ ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งหมดก็มาถึงถิ่นทุรกันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมกับภูเขาซีนาย ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งปวงก็ พากันบ่นต่อโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร คนอิสราเอลกล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า <<พวกข้าพเจ้าตายเสียด้วยพระหัตถ์ของ พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในประเทศอียิปต์ ขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและ รับประทานอาหารอิ่มหนำจะดีกว่า นี่ท่านกลับนำพวกข้าพเจ้าออกมาในถิ่นทุรกันดารอย่างนี้ เพื่อจะให้ชุมนุมชนทั้งหมดหิวตายเท่านั้น>> แล้วพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า <<ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจาก ท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า เขาจะปฏิบัติตามโอวาท ของเราหรือไม่ ในวันที่หก เมื่อเขาเตรียมของที่เก็บมา อาหารนั้นก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าของที่เขาเก็บทุกวัน>> โมเสสกับอาโรนจึงบอกชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า <<ในเวลาเย็นท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงนำพวกท่านออกจากประเทศอียิปต์ ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้เห็นพระสิริแห่งพระเจ้า เพราะคำบ่นต่อว่าของพวกท่านต่อพระเจ้าทราบถึงพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นผู้ใดเล่า พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา>> โมเสสกล่าวว่า <<ในเวลาเย็นพระเจ้าจะประทานเนื้อให้ท่านรับประทาน และในเวลาเช้าพวกท่านจะมีอาหารรับประทานจนอิ่ม เพราะพระเจ้าทรงทราบคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นผู้ใดเล่า พวกท่านมิได้บ่นต่อว่าเรา แต่ได้บ่นต่อว่าพระเจ้า>> โมเสสจึงกล่าวแก่อาโรนว่า <<จงบอกชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า <เข้ามาใกล้พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสดับคำบ่นของท่านแล้ว> >> ขณะที่อาโรนกล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น เขาทั้งหลายมองไปทางถิ่นทุรกันดาร ก็เห็นพระสิริของพระเจ้าปรากฏอยู่ในเมฆ พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า <<เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่เขาว่า <ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้า เจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเจ้าของพวกเจ้า> >> ครั้นถึงเวลาเย็นฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างตกรอบค่ายที่พัก เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า <<นี่อะไรหนอ>> เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า <<นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวก ท่านรับประทาน นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ว่า <ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน> >> ชนชาติอิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี โมเสสจึงสั่งว่า <<อย่าให้ผู้ใดเก็บเหลือไว้จนรุ่งเช้า>> แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอน และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป อยู่มาเมื่อถึงวันที่หก เขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสองโอเมอร์ บรรดาหัวหน้าของชุมนุมชนจึงมารายงานต่อโมเสส โมเสสบอกเขาว่า <<พระเจ้าทรงพระบัญชาว่า <พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงาน เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น> >> เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ตามโมเสสสั่ง อาหารนั้นก็มิได้บูดเหม็นเป็นหนอนเลย โมเสสจึงบอกว่า <<วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระเจ้า วันนี้ท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย จงเก็บหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย>> อยู่มาเมื่อวันที่เจ็ด มีบางคนออกไปเก็บ แต่ไม่ได้พบ พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า <<พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร ดูซิ พระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หก พระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย>> เหตุฉะนั้นประชาชนทั้งปวงจึงได้พักงานในวันที่เจ็ด เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล เรียกชื่ออาหารนั้นว่ามานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง โมเสสกล่าวว่า <<พระเจ้ามีรับสั่งว่า <จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหาร ซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์> >> โมเสสบอกอาโรนว่า <<เอาไหลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของท่าน>> อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบพระโอวาท เพื่อรักษาไว้ตามพระดำรัสที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส

แบ่งปัน
อ่าน อพยพ 16

อพยพ 16:1-34 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

จากนั้นชุมชนอิสราเอลทั้งหมดออกเดินทางจากเอลิมถึงถิ่นกันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับซีนาย ถึงที่นั่นในวันที่สิบห้าของเดือนที่สองนับตั้งแต่พวกเขาออกจากอียิปต์ ในถิ่นกันดารนั้นชนอิสราเอลทั้งปวงบ่นว่าโมเสสกับอาโรน ชนอิสราเอลกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “เราน่าจะตายด้วยน้ำมือขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่อยู่ที่อียิปต์แล้ว! ตอนที่เราอยู่ที่นั่น เรานั่งล้อมวงหม้อเนื้อและกินอาหารทุกอย่างที่เราต้องการ แต่ท่านพาเราออกมาอดตายกันหมดในถิ่นกันดาร” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าแก่พวกเจ้า ให้ทุกคนออกไปเก็บอาหารแต่ละวันมากน้อยตามความต้องการในวันนั้น เราจะทดลองดูว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของเราหรือไม่ บอกพวกเขาว่าให้เก็บอาหารมากกว่าปกติเป็นสองเท่าในวันที่หก” ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่า “ในเวลาเย็นท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่นำท่านออกจากอียิปต์ และในเวลาเช้าท่านจะเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงได้ยินพวกท่านบ่นว่าพระองค์ แล้วเราทั้งสองเป็นใครกันเล่า ท่านจึงมาบ่นว่าเรา?” โมเสสกล่าวอีกว่า “ท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ประทานเนื้อให้ในเวลาเย็นและประทานอาหารทั้งหมดที่ท่านต้องการในเวลาเช้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินท่านบ่นว่าพระองค์แล้ว เราเป็นใครเล่า? ท่านไม่ได้ต่อว่าเรา แต่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วโมเสสบอกอาโรนว่า “จงกล่าวแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า ‘จงเข้ามาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะทรงได้ยินเสียงบ่นว่าของพวกเจ้าแล้ว’ ” ขณะอาโรนกำลังกล่าวแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งปวง พวกเขามองไปทางถิ่นกันดารเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏในเมฆ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราได้ยินคำบ่นของชนอิสราเอลแล้ว จงบอกพวกเขาว่า ‘ในเวลาพลบค่ำพวกเจ้าจะมีเนื้อกิน และในเวลาเช้าพวกเจ้าจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’ ” เย็นวันนั้นนกคุ่มบินมาตกเต็มค่าย และในเวลาเช้าตรู่บริเวณรอบค่ายมีน้ำค้างชุ่ม เมื่อน้ำค้างระเหยไปก็เหลือเกล็ดเล็กๆ เหมือนเกล็ดน้ำค้างแข็งตกอยู่ตามพื้นดินของถิ่นกันดาร ชาวอิสราเอลเห็นเข้าก็ถามกันว่า “อะไรกันนี่?” เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร โมเสสตอบว่า “นี่คืออาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พวกเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า ‘ให้แต่ละคนเก็บอาหารเท่าที่ตนต้องการ คนละประมาณ 2 ลิตร ตามจำนวนคนที่อยู่ในเต็นท์ของเจ้า’ ” ชนอิสราเอลจึงทำตามที่พวกเขาบอก บางคนก็เก็บมาก บางคนก็เก็บน้อย แต่เมื่อเขาตวงด้วยโอเมอร์ ผู้ที่เก็บมากก็ไม่มีเหลือและผู้ที่เก็บน้อยก็ไม่ขาด แต่ละคนเก็บได้พอดีตามที่ต้องการ แล้วโมเสสบอกพวกเขาว่า “อย่าเก็บอาหารเหล่านี้ไว้จนรุ่งเช้า” ถึงกระนั้นยังมีบางคนไม่เชื่อฟังโมเสส เก็บอาหารบางส่วนไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็บูดเหม็นเป็นหนอน โมเสสจึงโกรธพวกเขา ทุกเช้าทุกคนจึงเก็บอาหารตามความต้องการ และเมื่อแดดร้อนจัดอาหารนั้นก็ละลายหายไป ในวันที่หกพวกเขาเก็บเป็นสองเท่าของปกติ คือคนละประมาณ 4.5 ลิตร และบรรดาหัวหน้าของชุมชนอิสราเอลจึงมารายงานต่อโมเสส โมเสสตอบพวกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า ‘ให้พรุ่งนี้เป็นวันแห่งการหยุดพักคือวันสะบาโตอันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าฉะนั้นวันนี้จงปิ้งหรือต้มอาหารไว้ตามความต้องการ แล้วเก็บส่วนที่เหลือไว้จนรุ่งเช้า’ ” ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บอาหารไว้จนรุ่งเช้าตามที่โมเสสสั่งไว้ และอาหารนั้นก็ไม่เน่าเหม็นและไม่มีหนอน โมเสสกล่าวว่า “นี่เป็นอาหารของท่านสำหรับวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันสะบาโตแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าท่านจะไม่พบอาหารตามพื้นดินในวันนี้ ตลอดหกวันท่านจงเก็บอาหาร แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต จะไม่มีอาหารให้เก็บ” ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนออกไปเก็บอาหารในวันที่เจ็ด แต่ก็ไม่พบเลย แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟังคำบัญชาและคำสั่งของเราไปอีกนานเท่าไร? จงจำใส่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานวันสะบาโตไว้สำหรับเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นในวันที่หกพระองค์จึงทรงให้อาหารแก่พวกเจ้าเป็นสองเท่า จะได้เพียงพอสำหรับสองวัน ในวันที่เจ็ดทุกคนจงอยู่ในเต็นท์ที่พัก ไม่ต้องออกไปเก็บอาหาร” ดังนั้นเหล่าประชากรจึงหยุดพักในวันที่เจ็ด ชาวอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่ามานา ลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี มีสีขาว รสชาติเหมือน ขนมปังแผ่นผสมน้ำผึ้ง โมเสสกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าบัญชาว่า ‘ให้เก็บมานาไว้ประมาณ 2 ลิตร และเก็บรักษาไว้สำหรับคนรุ่นหลัง เพื่อเขาจะได้เห็นอาหารที่เราได้ให้พวกเจ้ากินในถิ่นกันดารเมื่อเรานำเจ้าออกมาจากอียิปต์’ ” ดังนั้นโมเสสจึงพูดกับอาโรนว่า “จงเอาไหมาบรรจุมานาไว้ประมาณ 2 ลิตร และเก็บรักษาไว้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อชนรุ่นหลัง” อาโรนทำตามคำบัญชาซึ่งโมเสสได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเขาวางมานาไว้หน้าศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการซึ่งอยู่ในหีบพันธสัญญา

แบ่งปัน
อ่าน อพยพ 16

อพยพ 16:1-34 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

พวกเขายกไปจากเอลิม และในวั​นที​่​สิ​บห้าเดือนที่​สอง นับตั้งแต่​เวลายกออกจากแผ่นดิ​นอ​ียิปต์ ชุ​มนุ​มชนชาติอิสราเอลทั้งหมดก็มาถึงถิ่นทุ​รก​ันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมกับภูเขาซี​นาย ชุ​มนุ​มชนชาติอิสราเอลทั้งปวงก็พากันบ่นต่อโมเสสและอาโรนในถิ่นทุ​รก​ันดาร คนอิสราเอลกล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า “พวกข้าพเจ้าตายเสียด้วยพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์​ตั้งแต่​อยู่​ในประเทศอียิปต์ ขณะเมื่อนั่งอยู่​ใกล้​หม้อเนื้อและรับประทานอาหารอิ่มหนำจะดี​กว่า นี่​ท่านกลับนำพวกข้าพเจ้าออกมาในถิ่นทุ​รก​ันดารอย่างนี้ เพื่อจะให้ชุ​มนุ​มชนทั้งหมดหิวตายเท่านั้น” แล​้วพระเยโฮวาห์​ได้​ตรัสกับโมเสสว่า “​ดู​เถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้​พลไพร่ออกไปเก็​บท​ุกวันพอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่าเขาจะดำเนินตามราชบัญญั​ติ​ของเราหรือไม่ ต่อมาในวั​นที​่​หก เมื่อเขาเตรียมของที่​เก​็บมา อาหารนั้​นก​็จะเพิ่มเป็นสองเท่าของที่เขาเก็​บท​ุกวัน” โมเสสกับอาโรนจึงบอกชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า “ในเวลาเย็นท่านทั้งหลายจะได้​รู้​ว่าพระเยโฮวาห์เป็นผู้ทรงนำพวกท่านออกจากประเทศอียิปต์ ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้​เห​็นสง่าราศี​แห่​งพระเยโฮวาห์ เพราะคำบ่นต่อว่าของพวกท่านต่อพระเยโฮวาห์ พระองค์​ทรงสดับแล้ว เราทั้งสองเป็นผู้ใดเล่า พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา” โมเสสกล่าวว่า “ในเวลาเย็นพระเยโฮวาห์จะประทานเนื้อให้ท่านรับประทานและในเวลาเช้าพวกท่านจะมีอาหารรับประทานจนอิ่ม เพราะพระเยโฮวาห์ทรงสดับคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นผู้ใดเล่า พวกท่านมิ​ได้​บ่นต่อว่าเรา แต่​ได้​บ่นต่อว่าพระเยโฮวาห์” โมเสสจึงกล่าวแก่อาโรนว่า “จงบอกชุ​มนุ​มชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า ‘​เข​้ามาใกล้​พระพักตร์​พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงสดับคำบ่นของท่านแล้ว’” ต่อมาขณะที่อาโรนกล่าวแก่บรรดาชุ​มนุ​มชนอิสราเอลอยู่​นั้น เขาทั้งหลายมองไปทางถิ่นทุ​รก​ันดาร แล​้วดู​เถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ปรากฏอยู่ในเมฆ พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่เขาว่า ‘ในเวลาเย็น พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้า เจ้​าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล​้วเจ้าจะรู้​ว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเจ้า’” ครั้นถึงเวลาเย็นฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็​มีน​้ำค้างตกรอบค่ายที่​พัก เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ดู​เถิด สิ​่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆเท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่​ที่​พื้นดินในถิ่นทุ​รก​ันดารนั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพู​ดก​ั​นว​่า “​นี่​คือมานา” เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า “​นี่​แหละเป็นอาหารที่พระเยโฮวาห์ประทานให้พวกท่านรับประทาน นี่​เป็นสิ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้​ว่า ‘​ให้​ทุ​กคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้​เก​็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน’” ชนชาติ​อิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็​บน​้อย แต่​เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวงคนที่​เก​็บได้มากก็​ไม่มี​เหลือ และคนที่​เก​็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุ​กคนเก็บได้​เท่าที่​คนหนึ่งรับประทานพอดี โมเสสจึงสั่งว่า “อย่าให้​ผู้​ใดเก็บเหลือไว้จนรุ่งเช้า” แต่​เขามิ​ได้​เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้​นก​็เน่าเป็นหนอนและบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น เขาเก็​บก​ันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่​พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้​นก​็ละลายไป อยู่​มาเมื่อถึงวั​นที​่​หก เขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสองโอเมอร์ บรรดาหัวหน้าของชุ​มนุ​มชนจึงมารายงานต่อโมเสส โมเสสบอกเขาว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระบัญชาว่า ‘​พรุ่งนี้​เป็​นว​ันหยุดงาน เป็นสะบาโต วันบริ​สุทธิ​์ของพระเยโฮวาห์ วันนี้​จะปิ้งอะไรก็​ให้​ปิ้ง จะต้มอะไรก็ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้จนถึงวั​นร​ุ่งขึ้น’” เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวั​นร​ุ่งขึ้นตามโมเสสสั่ง อาหารนั้​นก​็​มิได้​บูดเหม็นเป็นหนอนเลย โมเสสจึงบอกว่า “​วันนี้​จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็​นว​ันสะบาโตของพระเยโฮวาห์ วันนี้​ท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย จงเก็บหกวัน แต่​ในวั​นที​่​เจ​็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่​มี​เลย​” อยู่​มาเมื่อวั​นที​่​เจ​็​ดม​ีบางคนออกไปเก็บ แต่​ไม่ได้​พบ พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญั​ติ​และราชบัญญั​ติ​ของเรานานสักเท่าไร ดู​ซิ พระเยโฮวาห์ทรงกำหนดวันสะบาโตให้​เจ้า คือในวั​นที​่​หก พระองค์​จึงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ให้​ทุ​กคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้​ผู้​ใดออกจากที่พักในวั​นที​่​เจ​็ดนั้นเลย” เหตุ​ฉะนั้นพลไพร่ทั้งปวงจึงได้พักงานในวั​นที​่​เจ็ด เหล่​าวงศ์วานของอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้​นว​่า มานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มี​รสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง โมเสสกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์​มี​รับสั่งว่า ‘จงตวงมานาโอเมอร์​หนึ่ง เก​็บไว้ตลอดชั่วอายุของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้​เห​็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุ​รก​ันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดิ​นอ​ียิปต์’” โมเสสบอกอาโรนว่า “เอาหม้อลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์​หนึ่ง เก​็บไว้ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตลอดชั่วอายุของท่าน” อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบพระโอวาท เพื่อรักษาไว้ตามพระดำรัสที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่​โมเสส

แบ่งปัน
อ่าน อพยพ 16

อพยพ 16:1-34 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ชาว​อิสราเอล​ทั้ง​มวล​เดิน​ทาง​ต่อ​ไป​จาก​เอลิม และ​เมื่อ​ถึง​วัน​ที่​สิบ​ห้า​ของ​เดือน​ที่​สอง คือ​นับ​ตั้งแต่​เวลา​ที่​พวก​เขา​ไป​จาก​อียิปต์ พวก​เขา​ก็​ได้​มา​ถึง​ถิ่น​ทุรกันดาร​สีน​ซึ่ง​อยู่​ระหว่าง​เอลิม​และ​ซีนาย ชาว​อิสราเอล​ทั้ง​มวล​ก็​บ่น​ไม่​พอใจ​ต่อว่า​โมเสส​และ​อาโรน​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร และ​พูด​ขึ้น​ว่า “ถ้า​แม้ว่า​พวก​เรา​จะ​ตาย​ด้วย​ฝีมือ​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ที่​อียิปต์ เรา​ก็​ยัง​จะ​ได้​นั่ง​รับประทาน​เนื้อ​สัตว์​กับ​ขนมปัง​จน​อิ่มหนำ แต่​ท่าน​กลับ​พา​พวก​เรา​ออก​มา​อดอยาก​จน​ตาย​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร​แห่ง​นี้” พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​กับ​โมเสส​ว่า “ดู​เถิด เรา​จะ​โปรย​ขนมปัง​ลง​มา​จาก​ฟ้า​ดั่ง​เม็ด​ฝน​ให้​พวก​เจ้า และ​ผู้​คน​จะ​ออก​ไป​เก็บ​ให้​พอ​รับประทาน​ใน​แต่​ละ​วัน​ได้ ก็​เพราะ​เรา​จะ​ทดสอบ​พวก​เขา​ดู​ว่า​จะ​ปฏิบัติ​ตาม​กฎ​บัญญัติ​ของ​เรา​หรือ​ไม่ ใน​วัน​ที่​หก ให้​เขา​เก็บ​และ​เตรียม​อาหาร​มาก​กว่า​วัน​อื่นๆ เป็น​สอง​เท่า” ดังนั้น โมเสส​และ​อาโรน​จึง​บอก​ชาว​อิสราเอล​ทั้ง​ปวง​ว่า “ตอน​เย็น​พวก​ท่าน​จะ​รู้ว่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​ผู้​ที่​นำ​ท่าน​ออก​มา​จาก​แผ่นดิน​อียิปต์ และ​รุ่งเช้า​ท่าน​จะ​เห็น​พระ​สง่า​ราศี​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า เพราะ​พระ​องค์​ได้ยิน​ท่าน​บ่น​ไม่​พอใจ​ต่อว่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า เรา​ทั้ง​สอง​เป็น​ใคร​หรือ ท่าน​จึง​ได้​บ่น​ต่อว่า​เรา” โมเสส​พูด​ต่อ​อีก​ว่า “การ​ที่​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ให้​เนื้อ​สัตว์​แก่​พวก​ท่าน​รับประทาน​ใน​เวลา​เย็น​และ​ขนมปัง​ใน​เวลา​เช้า​จน​อิ่มหนำ ก็​เป็น​เพราะ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้ยิน​ท่าน​บ่น​ไม่​พอใจ​ต่อว่า​พระ​องค์ เรา​ทั้ง​สอง​เป็น​ใคร​หรือ เวลา​ท่าน​บ่น​ไม่​พอใจ​ก็​มิ​ใช่​เป็น​การ​ต่อว่า​เรา แต่​เป็น​การ​ต่อว่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” โมเสส​พูด​กับ​อาโรน​ว่า “บอก​ชาว​อิสราเอล​ทั้ง​มวล​ว่า ‘จง​มา​อยู่ ณ เบื้อง​หน้า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า เพราะ​พระ​องค์​ได้ยิน​ท่าน​บ่น​ไม่​พอใจ​แล้ว’” และ​ขณะ​ที่​อาโรน​กำลัง​พูด​อยู่​กับ​ชาว​อิสราเอล​ทั้ง​มวล พวก​เขา​มอง​ไป​ทาง​ถิ่น​ทุรกันดาร ดู​เถิด พระ​สง่า​ราศี​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ปรากฏ​อยู่​ใน​เมฆ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​กับ​โมเสส​ว่า “เรา​ได้ยิน​ชาว​อิสราเอล​บ่น​ไม่​พอใจ จง​บอก​พวก​เขา​ว่า ‘ใน​เวลา​โพล้เพล้​พวก​เจ้า​จะ​รับประทาน​เนื้อ​สัตว์ และ​เวลา​เช้า​เจ้า​จะ​รับประทาน​อาหาร​จน​อิ่ม แล้ว​พวก​เจ้า​จะ​รู้​ว่า​เรา​คือ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า พระ​เจ้า​ของ​เจ้า’” ครั้น​พอ​ตก​เย็น​จะ​มี​นก​กระทา​บิน​ลง​มา​อยู่​เต็ม​ค่าย และ​ใน​ยาม​เช้า​น้ำค้าง​ก็​จะ​ตก​อยู่​ราย​รอบ​ค่าย เมื่อ​น้ำค้าง​แห้ง​เหือด​ไป​แล้ว​ก็​มี​เกล็ด​บางๆ ละเอียด​ราว​กับ​น้ำค้าง​แข็ง​เกาะ​อยู่​บน​พื้น​ดิน​ทั่ว​ถิ่น​ทุรกันดาร เมื่อ​ชาว​อิสราเอล​เห็น​ก็​พา​กัน​ถามไถ่​ว่า “นี่​อะไร” เหตุ​เพราะ​ไม่​รู้​ว่า​สิ่ง​นั้น​คือ​อะไร โมเสส​จึง​บอก​พวก​เขา​ว่า “เป็น​อาหาร​เกล็ด​ที่​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ให้​พวก​ท่าน​รับประทาน พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​สั่ง​ไว้​ว่า ‘ทุก​คน​จง​เก็บ​อาหาร​เกล็ด​นี้​ไว้​ให้​พอ​ที่​พวก​เจ้า​จะ​รับประทาน คือ​ประมาณ​คน​ละ 1 โอเมอร์​และ​เก็บ​ได้​ตาม​จำนวน​คน​ใน​กระโจม​ของ​ตน’” ชาว​อิสราเอล​ทำ​ตาม​คำ​นั้น บาง​คน​เก็บ​มาก บาง​คน​เก็บ​น้อย แต่​เมื่อ​เขา​ใช้​โอเมอร์​ตวง​แล้ว คน​ที่​เก็บ​สะสม​มาก​ไม่​ได้​มี​เหลือเฟือ และ​คน​ที่​เก็บ​สะสม​เพียง​เล็ก​น้อย​ก็​ไม่​ขัดสน แต่​ละ​คน​เก็บ​ได้​พอ​เพียง​เท่า​ที่​ตน​จะ​รับประทาน แล้ว​โมเสส​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “อย่า​ให้​ใคร​มี​อาหาร​เกล็ด​เหลือ​ไว้​จน​รุ่งเช้า” แต่​พวก​เขา​ไม่​ฟัง​โมเสส บาง​คน​เก็บ​ไว้​จน​รุ่งเช้า จึง​เกิด​หนอน​ขึ้น​และ​ส่ง​กลิ่น​เหม็น โมเสส​จึง​โกรธ​พวก​เขา ทุก​เช้า​แต่​ละ​คน​เก็บ​อาหาร​เกล็ด​มาก​เท่า​ที่​ตน​จะ​รับประทาน​ได้ แต่​เมื่อ​แดด​ร้อน​จัด อาหาร​เกล็ด​ก็​ละลาย ใน​วัน​ที่​หก​พวก​เขา​เก็บ​อาหาร​เกล็ด​มาก​เป็น​สอง​เท่า คือ​คน​ละ 2 โอเมอร์ แล้ว​บรรดา​หัวหน้า​ของ​มวลชน​มา​รายงาน​แก่​โมเสส ท่าน​บอก​พวก​เขา​ว่า “พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​บัญชา​ว่า ‘พรุ่งนี้​เป็น​วัน​หยุด​พัก​ที่​แท้​จริง เป็น​วัน​สะบาโต​ที่​บริสุทธิ์​สำหรับ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า อะไร​ที่​ท่าน​จะ​อบ​หรือ​ต้ม​ก็​แล้ว​แต่ ท่าน​ควร​เก็บ​สิ่ง​ที่​เหลือ​ไว้​จน​ถึง​เช้า’” พวก​เขา​จึง​เก็บ​อาหาร​เกล็ด​ไว้​จน​ถึง​เช้า ตาม​ที่​โมเสส​สั่ง อาหาร​เกล็ด​ไม่​มี​กลิ่น​เหม็น​และ​ไม่​ขึ้น​หนอน โมเสส​กล่าว​ว่า “วัน​นี้​รับประทาน​อาหาร​เกล็ด​ที่​เหลือ​เก็บ​ไว้ เพราะ​เป็น​วัน​สะบาโต​สำหรับ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า วัน​นี้​ใน​ทุ่งนา​จะ​ไม่​มี​อาหาร​เกล็ด​ให้​พวก​ท่าน​หา​อีก ฉะนั้น​ท่าน​สามารถ​เก็บ​อาหาร​เกล็ด​ได้ 6 วัน ส่วน​วัน​ที่​เจ็ด​ซึ่ง​เป็น​สะบาโต​จะ​ไม่​มี​อาหาร​เกล็ด​ให้​เก็บ” ใน​วัน​ที่​เจ็ด​มี​บาง​คน​ออก​ไป​เก็บ​อาหาร​อีก แต่​ก็​ไม่​พบ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​กับ​โมเสส​ว่า “พวก​เจ้า​จะ​ยัง​ไม่​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​บัญญัติ​และ​กฎ​บัญญัติ​ของ​เรา​ไป​อีก​นาน​แค่​ไหน จง​ใส่ใจ​ว่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ให้​วัน​สะบาโต​แก่​เจ้า ฉะนั้น​ใน​วัน​ที่​หก พระ​องค์​ให้​อาหาร​เกล็ด​แก่​เจ้า​พอ​สำหรับ 2 วัน ทุก​คน​ใน​พวก​เจ้า​จง​อยู่​กับ​ที่​ของ​ตน​เอง อย่า​ให้​ใคร​ออก​ไป​จาก​ที่​ของ​ตน​ใน​วัน​ที่​เจ็ด” ดังนั้น​ผู้​คน​จึง​พักผ่อน​ใน​วัน​ที่​เจ็ด ชาว​อิสราเอล​เรียก​ชื่อ​อาหาร​เกล็ด​ว่า มานา ซึ่ง​มี​ลักษณะ​เหมือน​เมล็ด​ผักชี​สีขาว รสชาติ​เหมือน​อาหาร​เกล็ด​กรอบ​ผสม​น้ำผึ้ง โมเสส​พูด​ว่า “พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​สั่ง​ไว้​ว่า ‘จง​เก็บ​มานา​ไว้ 1 โอเมอร์​สำหรับ​ทุก​ชาติ​พันธุ์​ของ​เจ้า เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​รู้จัก​อาหาร​เกล็ด​ที่​เรา​ให้​พวก​เจ้า​รับประทาน​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร ใน​ช่วง​เวลา​ที่​เรา​พา​เจ้า​ออก​จาก​แผ่นดิน​อียิปต์’” โมเสส​พูด​กับ​อาโรน​ว่า “เอา​ภาชนะ​มา​ใส่​มานา 1 โอเมอร์ แล้ว​วาง​ไว้ ณ เบื้อง​หน้า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เพื่อ​เก็บ​ไว้​ให้​ทุก​ชาติ​พันธุ์​ของ​พวก​ท่าน” อาโรน​วาง​มานา​ไว้​ที่​หน้า​หีบ​พันธ​สัญญา​เพื่อ​เก็บ​ไว้​ตาม​คำ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ที่​สั่ง​ไว้​กับ​โมเสส

แบ่งปัน
อ่าน อพยพ 16