เยเรมีย์ 31:2-40

เยเรมีย์ 31:2-40 TH1971

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <<ชนชาติที่รอดตายจากดาบ ได้ประสบพระกรุณาคุณที่ในถิ่นทุรกันดาร เมื่ออิสราเอลแสวงหาการหยุดพัก พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า <เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป เราจะสร้างเจ้าอีก และเจ้าจะถูกสร้างใหม่ นะ อิสราเอลพรหมจารี เจ้าจะตกแต่งตัวเจ้าด้วยรำมะนาอีก และจะออกไปเต้นรำกับผู้ที่สนุกสนานกัน เจ้าจะปลูกสวนองุ่นที่บนภูเขาสะมาเรียอีก ผู้ปลูกก็จะปลูก และใช้ผลนั้น> เพราะว่าจะมีวันเมื่อคนเฝ้ายามจะร้องเรียก อยู่ในเขตแดนเทือกเขาเอฟราอิมว่า <จงลุกขึ้น ให้เราไปยังศิโยนเถิด ไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา> >> เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <<จงร้องเพลงด้วยความยินดีเพราะยาโคบ และเปล่งเสียงโห่ร้องเพราะประมุขของบรรดาประชาชาติ จงป่าวร้อง สรรเสริญ และกล่าวว่า <พระเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด คือคนที่เหลืออยู่ของอิสราเอล> ดูเถิด เราจะนำเขามาจากแดนเหนือ และรวบรวมเขาจากส่วนที่ไกลที่สุดของพิภพ มีคนตาบอดคนขาเขยกอยู่ท่ามกลางเขา ผู้หญิงที่มีครรภ์และผู้หญิงที่คลอดบุตรจะมาด้วยกัน เขาจะกลับมาที่นี่เป็นหมู่ใหญ่ เขาจะมาด้วยการร้องไห้ และเราจะนำเขากลับด้วยการเล้าโลมใจ เราจะให้เขาเดินข้ามลำธารน้ำ ในทางตรงซึ่งเขาจะไม่สะดุด เพราะเราเป็นบิดาแก่อิสราเอล และเอฟราอิมเป็นบุตรหัวปีของเรา <<บรรดาประชาชาติเอ๋ยจงฟังพระวจนะของพระเจ้า และจงประกาศพระวจนะนั้นในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป จงกล่าวว่า <ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา> เพราะพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว และได้ไถ่มาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน และเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดีของพระเจ้า เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมัน และเพราะลูกของแกะและโค ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป แล้วพวกพรหมจารีจะเปรมปรีดิ์ในการเต้นรำ และคนหนุ่มกับคนแก่จะรื่นเริง เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์ เราจะเลี้ยงจิตใจของปุโรหิตด้วยความอุดมสมบูรณ์ และประชากรของเราจะพอใจด้วยของดีของเราพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ>> พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <<ได้ยินเสียงในรามา เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ ราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับคำเล้าโลมในเรื่องบุตรทั้งหลายของตน เพราะว่าบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว>> พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <<ระงับเสียงร้องไห้คร่ำครวญไว้เสียเถิด และระงับน้ำตาจากตาของเจ้าเสีย เพราะว่าการงานของเจ้าจะได้รับรางวัลพระเจ้า ตรัสดังนี้แหละ และเขาทั้งหลายจะกลับมาจากแผ่นดินของศัตรู พระเจ้าตรัสว่า เรื่องอนาคตของเจ้ายังมีหวัง และลูกหลานของเจ้าจะกลับมายังประเทศของเขาเอง เราได้ยินเอฟราอิมคร่ำครวญว่า พระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์และข้าพระองค์ก็ถูกตีสอน อย่างลูกโคที่ยังไม่เชื่อง ขอทรงนำข้าพระองค์กลับ เพื่อข้าพระองค์จะได้กลับสู่สภาพเดิม เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะหลังจากที่ข้าพระองค์หันไปเสียข้าพระองค์ก็กลับใจ และหลังจากที่ข้าพระองค์รับคำสั่งสอนแล้ว ข้าพระองค์ก็ทุบตีต้นขาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อับอาย และข้าพระองค์ก็ขายหน้า เพราะว่าข้าพระองค์ได้ทนความหยามน้ำหน้า ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยังหนุ่มอยู่ พระเจ้าตรัสว่า เอฟราอิมเป็นบุตรชายที่รักของเราหรือ เขาเป็นลูกที่รักของเราหรือ เพราะเราจะพูดกล่าวโทษเขาตราบใด เราก็ยังระลึกถึงเขาอยู่ตราบนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงอาลัยเขา เราจะมีความกรุณาต่อเขาแน่ <<จงปักเสากรุยทางไว้สำหรับตน จงทำป้ายบอกทางไว้สำหรับตัว จงปักใจให้ดีถึงทางหลวง คือทางซึ่งเจ้าได้ไปนั้น อิสราเอลพรหมจารี จงกลับเถิด จงกลับมายังหัวเมืองเหล่านี้ของเจ้า ลูกสาว ผู้กลับสัตย์เอ๋ย เจ้าจะเถลไถลอยู่อีกนานสักเท่าใด เพราะพระเจ้าได้สร้างสิ่งใหม่บนพิภพแล้ว คือ ผู้หญิงล้อมผู้ชาย>> พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า <<เมื่อเราให้เขากลับสู่สภาพเดิม เขาจะใช้ถ้อยคำต่อไปนี้ในแผ่นดินของยูดาห์ และในหัวเมืองทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง คือ <โอ ที่อยู่แห่งความชอบธรรมเอ๋ยภูเขาบริสุทธิ์เอ๋ย ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรเจ้า> ยูดาห์และหัวเมืองทั้งสิ้นนั้น ทั้งบรรดาชาวนา บรรดาผู้ที่ท่องเที่ยวไปมาพร้อมกับฝูงแกะของเขา จะอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น เพราะเราจะให้จิตใจที่อ่อนระอานั้นอิ่ม และจิตใจที่ อ่อนระทวยทุกดวงเราจะให้บริบูรณ์>> เมื่อนั้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นและมองดู และการหลับนอนของข้าพเจ้าก็เป็นที่ชื่นใจข้าพเจ้า <<พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะหว่านพืชคนและพืชสัตว์ในประชา อิสราเอลและประชายูดาห์ และจะเป็นไปอย่างนี้ คือเมื่อเราเฝ้าดูเขา เพื่อจะถอนออกและพังลงคว่ำเสีย ทำลาย และนำเหตุร้ายมาฉันใด เราจะเฝ้าดูเหนือเขาเพื่อจะสร้างขึ้นและปลูกฝังฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า <บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน> แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน <<พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญา ใหม่กับประชาอิสราเอล และประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า <จงรู้จักพระเจ้า> เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป>> พระเจ้าผู้ทรงให้ดวงอาทิตย์เป็นสว่างกลางวัน และทรงให้ระเบียบตายตัวของดวงจันทร์ และทรงให้บรรดาดวงดาวเป็นสว่างกลางคืน ผู้ทรงกวนทะเลให้คลื่นกำเริบ พระนามของพระองค์ คือพระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า ถ้าระเบียบตายตัวนี้ต้องพรากไปจากต่อหน้าเรา แล้วเชื้อสายของอิสราเอลก็จะต้องหยุดยั้ง จากการเป็นประชาชาติหนึ่งต่อหน้าเราเป็นนิตย์>> พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <<ถ้าฟ้าสวรรค์เบื้องบนเป็นที่วัดได้ และรากฐานของพิภพเบื้องล่างเป็นที่ให้สำรวจได้ แล้วเราก็จะเหวี่ยงเชื้อสายอิสราเอลทิ้งไปเสีย ด้วยเหตุบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำนั้น>> พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ที่เมืองนี้จะต้องสร้างขึ้นใหม่เพื่อพระเจ้าตั้งแต่หอคอย ฮานันเอลไปถึงประตูมุม และเชือกวัดจะไปไกลกว่านั้นตรงไปถึงเนินเขากาเรบ แล้วจะเลี้ยวไปถึงตำบลโกอาห์ หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรน จนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้า จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์>>

แผนการอ่าน และบทใคร่ครวญประจำวัน ตามหัวข้อ เยเรมีย์ 31:2-40 ฟรี