ลูกา 7:21-50

ลูกา 7:21-50 THSV11

ในเวลานั้น พระเยซูทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรคภัยต่างๆ และพ้นจากพวกวิญญาณชั่ว และทรงรักษาคนตาบอดหลายคนให้เห็นได้ แล้วพระองค์ตรัสตอบสองคนนั้นว่า “ไปบอกยอห์นในสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คือว่าคนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายเป็นขึ้นมา และพวกคนยากจนก็ได้รับฟังข่าวดี ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรา คนนั้นก็เป็นสุข” เมื่อผู้ส่งข่าวของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตรัสกับฝูงชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายออกไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร? คงไม่ใช่ดูต้นอ้อไหวเมื่อถูกลมพัดหรอกนะ ถ้าไม่ใช่แล้วพวกท่านไปดูอะไร? ไปดูคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะ คนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในพระราชวัง แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียว เราบอกว่ายอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ คือท่านผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เราจะใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคา ไว้ข้างหน้า ท่าน’ เราบอกพวกท่านว่า ในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยังใหญ่กว่ายอห์น” (ทุกคนรวมทั้งบรรดาคนเก็บภาษี เมื่อได้ยินก็ยอมรับว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม โดยเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา โดยเขาไม่รับบัพติศมาจากยอห์น) “เพราะฉะนั้นเราจะเปรียบคนในยุคนี้กับอะไรดี? ก็เปรียบเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่กลางตลาดร้องบอกแก่กันว่า ‘พวกฉันเป่าปี่ให้พวกเธอแต่พวกเธอไม่เต้น พวกฉันคร่ำครวญแต่พวกเธอไม่ร้องไห้’ เพราะว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา ไม่ได้กินขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็ว่า ‘เขามีผีเข้าสิง’ ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม และพวกท่านก็ว่า ‘นี่ไง คนตะกละ คนขี้เมา เพื่อนของพวกคนเก็บภาษีและคนบาป’ แต่พระปัญญาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้วโดยบรรดาคนที่ทำตามพระปัญญานั้น” มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายที่โต๊ะอาหาร นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป เมื่อรู้ว่าพระองค์กำลังเสวยอาหารอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น นางจึงนำผอบน้ำมันหอมมา ยืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ แล้วร้องไห้น้ำตานองเปียกพระบาท นางจึงใช้ผมเช็ด จูบพระบาทของพระองค์แล้วเอาน้ำมันชโลม ฟาริสีคนที่เชิญพระองค์มาเมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ เชิญพูดไปเถิด” พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบ เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ท่านจึงยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า?” ซีโมนจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่นายยกหนี้ให้มาก” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตัดสินได้ถูกต้อง” พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูหญิงคนนั้น แล้วตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเอาผมของนางเช็ด ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงคนนี้ไม่ได้หยุดจูบเท้าของเราเลยนับตั้งแต่เราเข้ามา ท่านไม่ได้เอาน้ำมันมาชโลมศีรษะของเรา แต่นางเอาน้ำมันหอมมาชโลมเท้าของเรา เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปต่างๆ ของนางซึ่งมีมากมายนั้นได้รับการยกโทษแล้วเพราะนางรักมาก แต่คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย” พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” บรรดาคนที่ร่วมเอนกายที่โต๊ะอาหารด้วยก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นใครกันถึงยกโทษบาปได้?” พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด”