มาระโก 9:2-32

มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด>> ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสห้ามเหล่าสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า <<เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์ จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<เอลียาห์ต้องมาก่อนจริงและทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้วตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน>> เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็เห็นประชาชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ ในทันใดนั้น เมื่อประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาทั้งหลายว่า <<ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด>> มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้ามาหาท่านเพราะผีใบ้เข้าสิง เด็กจะอยู่ที่ไหนๆ พอผีสำแดงมันก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตัวแข็ง ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้>> พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะเจ้าไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด>> เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชัก ล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า <<เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร>> บิดาทูลตอบว่า <<ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อยๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าท่านสามารถช่วยได้ ขอท่านโปรดกรุณาเถิด>> พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า << <ถ้าช่วยได้> น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง>> ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า <<ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด>> เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า <<อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเอ็งให้ออกจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย>> ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากที่นั่นกล่าวว่า <<เขาตายแล้ว>> แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า <<เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานเท่านั้น>> พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่น ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ ด้วยว่าตอนนี้พระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคน และเขาจะประหารชีวิตท่านเสีย เมื่อฆ่าแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่>> แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ

มาระโก 9:2-32 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

หก​วัน​ต่อมา​พระเยซู​ได้​พา​เปโตร ยากอบ และ​ยอห์น ขึ้น​ไป​บน​ภูเขา​สูง​กัน แล้ว​ลักษณะ​ของ​พระเยซู​ก็​เปลี่ยน​ไป​ต่อ​หน้า​พวก​เขา เสื้อผ้า​ของ​พระองค์​กลาย​เป็น​สีขาว​เปล่ง​ประกาย​แวววับ ขาว​กว่า​ที่​คน​ฟอก​ผ้า​ใน​โลกนี้​จะ​ฟอก​ให้​ขาว​ขนาดนี้​ได้ แล้ว​พวก​เขา​ก็​เห็น​เอลียาห์​กับ​โมเสส กำลัง​คุย​อยู่​กับ​พระเยซู เปโตร​บอก​พระเยซู​ว่า “อาจารย์​ครับ ดี​มาก​เลย​ที่​พวก​เรา​อยู่​ที่​นี่ พวก​เรา​จะ​ได้​สร้าง​เพิง ขึ้น​มา​สาม​หลัง ให้​อาจารย์​หลัง​หนึ่ง ให้​โมเสส​หลัง​หนึ่ง และ​ให้​เอลียาห์​อีก​หลัง​หนึ่ง” (เปโตร​ไม่​รู้​ว่า​จะ​พูด​อะไร​ดี เพราะ​พวก​เขา​กำลัง​ตกใจ​กลัว​มาก) จาก​นั้น​ก็​มี​เมฆ​ลอย​มา​ปกคลุม​พวก​เขา​ไว้ และ​มี​เสียง​พูด​ก้อง​ออก​มา​จาก​เมฆ​ว่า “ท่าน​ผู้นี้​คือ​ลูก​รัก​ของ​เรา ให้​เชื่อฟัง​ท่าน” พวก​เขา​ก็​หัน​ไป​ดู​รอบๆ​แต่​ไม่​เห็น​ใคร​เลย​นอก​จาก​พระเยซู ขณะ​ที่​เดิน​ลง​มา​จาก​ภูเขา พระเยซู​สั่ง​ห้าม​พวก​เขา​ไม่​ให้​เล่า​เรื่อง​ที่​เห็น​นี้​ให้​ใคร​ฟัง จน​กว่า​บุตร​มนุษย์​จะ​ฟื้นขึ้น​จาก​ความตาย พวก​เขา​ก็​ทำ​ตาม​ที่​พระเยซู​สั่ง แต่​ก็​ถาม​กัน​เอง​ว่า​ที่​พระองค์​พูด​ว่า “ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความตาย” หมายถึง​อะไร พวก​เขา​ถาม​พระองค์​ว่า “ทำไม​พวก​ครู​สอน​กฎปฏิบัติ​ถึง​บอก​ว่า เอลียาห์​ต้อง​มา​ก่อน” พระเยซู​ตอบ​ว่า “ถูก​แล้ว เอลียาห์​ต้อง​มา​ก่อน เพื่อ​มา​เตรียม​ทุก​อย่าง​ให้​เรียบร้อย แต่​ทำไม​ถึง​ได้​มี​คำ​เขียน​ว่า บุตร​มนุษย์​จะ​ต้อง​ทน​ทุกข์ทรมาน​อย่าง​แสนสาหัส​และ​ถูก​ทำ​ให้​อับอาย​ขายหน้า เรา​จะ​บอก​ให้​รู้​ว่า เอลียาห์​ก็​ได้​มา​แล้ว และ​พวก​เขา​ก็​ทำ​กับ​เอลียาห์​ตาม​ใจ​ชอบ​ของ​พวก​เขา เหมือน​กับ​ที่​เขียน​ไว้​ใน​พระคัมภีร์” เมื่อ​พวก​เขา​ลง​มา​ถึง​ที่ๆ​พวก​ศิษย์​คน​อื่นๆ​อยู่ ก็​เห็น​ฝูงชน​จำนวน​มาก​รุม​ล้อม​พวก​ศิษย์​เหล่า​นั้น พวก​ครู​สอน​กฎปฏิบัติ​กำลัง​เถียง​กับ​ศิษย์​พวก​นั้น​อยู่ เมื่อ​ฝูงชน​เห็น​พระเยซู ก็​รู้สึก​แปลกใจ​มาก แล้ว​พา​กัน​วิ่ง​มา​ต้อนรับ​พระองค์ พระเยซู​ถาม​ว่า “กำลัง​เถียง​กัน​เรื่อง​อะไร” ชาย​คน​หนึ่ง​ใน​ฝูงชน​ตอบ​ว่า “อาจารย์​ครับ ผม​พา​ลูกชาย​มาหา​ท่าน เขา​ถูก​ผี​ชั่ว​สิง​ทำ​ให้​พูด​ไม่​ได้ ทุก​ครั้ง​ที่​มัน​แผลงฤทธิ์​ออก​มา เด็ก​จะ​ล้มลง น้ำลาย​ฟูม​ปาก กัด​ฟัน​แน่น ตัว​แข็ง​ทื่อ​ไป​หมด ผม​ขอ​ให้​พวก​ศิษย์​ของ​ท่าน​ขับ​ผี​ชั่ว​ออก​ให้ แต่​พวก​เขา​ก็​ทำ​ไม่​ได้” แล้ว​พระเยซู​พูด​ว่า “พวก​ขาด​ความ​เชื่อ เรา​จะ​ต้อง​อยู่​กับ​พวก​คุณ​ไป​อีก​นาน​แค่​ไหน เรา​จะ​ต้อง​อดทน​กับ​พวก​คุณ​ไป​ถึง​ไหน พา​เด็ก​นั้น​มา​นี่​ซิ” พวก​เขา​ก็​พา​เด็ก​มา เมื่อ​ผี​ชั่ว​ใน​เด็ก​เห็น​พระเยซู มัน​ก็​ทำ​ให้​เด็ก​ชัก​กระตุก​อย่าง​แรง ล้มลง​กลิ้งไป​กลิ้งมา​บน​พื้น น้ำลาย​ฟูม​ปาก พระเยซู​ก็​ถาม​พ่อ​ของ​เด็ก​ว่า “เป็น​อย่างนี้​มา​นาน​แล้ว​หรือ​ยัง” พ่อ​เด็ก​ตอบ​ว่า “เป็น​ตั้งแต่​เล็กๆ​เลย​ครับ ไอ้​ผี​ชั่ว​จะ​ฆ่า​เขา​หลาย​ครั้ง​แล้ว ทำ​ให้​ตก​ลง​ไป​ใน​ไฟ​บ้าง หรือ​ตก​น้ำ​บ้าง ถ้า​อาจารย์​ช่วย​ได้​ก็​โปรด​สงสาร​ช่วย​พวก​เรา​ด้วย​เถิด” พระเยซู​จึง​ตอบ​ว่า “ทำไม​ถึง​พูด​ว่า ‘ถ้า​อาจารย์​ช่วย​ได้’ ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​เป็น​ไป​ได้​สำหรับ​คน​ที่​เชื่อ” พ่อ​ของ​เด็ก​จึง​รีบ​ร้อง​บอก​ทันที​ว่า “ผม​เชื่อ​ครับ ช่วย​ทำ​ให้​ผม​เชื่อ​มาก​ขึ้น​ด้วย​ครับ” เมื่อ​พระองค์​เห็น​ว่า​คน​เริ่ม​มา​มุง​ดู​มาก​ขึ้น พระองค์​ตวาด​ผี​ชั่ว​ว่า “ไอ้​ผี​ชั่ว​ที่​ทำ​ให้​คน​หูหนวก​และ​เป็น​ใบ้ เรา​สั่ง​ให้​แก​ออก​มา​จาก​เด็ก​คน​นั้น และ​อย่า​ได้​เข้า​สิง​เขา​อีก​เป็น​อันขาด” ผี​ชั่ว​ก็​กรีดร้อง​เสียง​ดัง มัน​ทำ​ให้​เด็ก​ชัก​กระตุก​อย่าง​แรง แล้ว​ออก​จาก​ร่าง​เด็ก​ไป เด็ก​นั้น​ก็​แน่นิ่ง​เหมือน​ตาย​แล้ว มี​เสียง​บ่น​กัน​พึมพำ​ว่า “เขา​ตาย​แล้ว” แต่​พระเยซู​จับ​มือ​ของ​เด็ก​และ​พยุง​เขา​ขึ้น​มา เด็ก​ก็​ลุก​ขึ้น​ยืน เมื่อ​พระเยซู​เข้า​ไป​ใน​บ้าน พวก​ศิษย์​มา​ถาม​พระองค์​ส่วน​ตัว​ว่า “อาจารย์ ทำไม​พวก​เรา​ถึง​ไล่​ผี​ชั่ว​ตัว​นั้น​ไม่​ได้​ล่ะ​ครับ” พระองค์​บอก​ว่า “มี​ทาง​เดียว​ที่​จะ​ไล่​ผี​ชั่ว​ชนิดนี้​ออก​ได้ คือ​ต้อง​อธิษฐาน” พระเยซู​และ​พวก​ศิษย์​ก็​เดิน​ทาง​ต่อ​โดย​ผ่าน​แคว้น​กาลิลี พระเยซู​ไม่​อยาก​ให้​ใคร​รู้​ว่า​พระองค์​อยู่​ที่​ไหน เพราะ​กำลัง​สอน​พวก​ศิษย์​อยู่ พระองค์​บอก​เขา​ว่า “บุตร​มนุษย์​จะ​ต้อง​ถูก​จับ​ส่ง​ไป​อยู่​ใน​มือ​ของ​มนุษย์ และ​เขา​จะ​ถูก​ฆ่า และ​หลังจาก​นั้น​สาม​วัน​เขา​จะ​ฟื้นขึ้น​จาก​ความตาย” พวก​ศิษย์​ไม่​เข้าใจ​ว่า​พระองค์​กำลัง​พูด​ถึง​เรื่อง​อะไร แต่​ไม่​มี​ใคร​กล้า​ถาม

มาระโก 9:2-32 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จนไม่มีช่างฟอกผ้าคนใดในโลกจะฟอกให้ขาวอย่างนั้นได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่สาวกเหล่านั้น กำลังสนทนากับพระเยซู เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัว แล้วก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้และมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด” ทันใดนั้น เมื่อพวกสาวกมองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับพวกเขา เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่เห็นนั้นไปบอกกับคนอื่นจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นพวกสาวกจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ แต่ก็ถามกันว่า การเป็นขึ้นมาจากตายมีความหมายอย่างไร? พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์ถึงกล่าวว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน?” พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “เอลียาห์จะต้องมาก่อนแน่นอนเพื่อทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ทำไมยังมีถ้อยคำเขียนเกี่ยวกับบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทรงทนทุกขเวทนาหลายประการและทรงถูกทอดทิ้ง แต่เราบอกพวกท่านว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และพวกเขาทำต่อท่านทุกอย่างตามใจชอบ ซึ่งก็เป็นไปตามถ้อยคำที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน” เมื่อกลับมาที่เหล่าสาวก เห็นมหาชนกำลังล้อมรอบพวกเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับพวกเขาอยู่ ทันทีที่ฝูงชนทั้งหมดเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจอย่างมาก จึงวิ่งเข้ามาต้อนรับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านถกเถียงกับพวกเขาด้วยเรื่องอะไร?” คนหนึ่งในฝูงชนทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้พาลูกชายมาหาท่านเพราะมีผีใบ้เข้าสิง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผีเข้าสิงตัวเขา มันจะทำให้เขาล้มชัก น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้ามาขอให้พวกสาวกของท่านขับมันออก แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้” พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดทนกับพวกท่านนานเพียงไร? จงพาเด็กคนนั้นมาหาเราเถิด” พวกเขาจึงพาเด็กคนนั้นมาหาพระองค์ เมื่อผีนั้นเห็นพระองค์ มันก็ทำให้เด็กล้มชักทันที และลงไปกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามผู้เป็นบิดาว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่?” บิดาทูลตอบว่า “ตั้งแต่เขายังเล็กๆ และผีมักจะทำให้เขาตกในกองไฟหรือในน้ำ เพื่อจะฆ่าให้ตาย ถ้าท่านสามารถช่วยได้ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย” พระเยซูจึงตรัสกับบิดานั้นว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” บิดาของเด็กจึงร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด” เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสห้ามผีโสโครกนั้นว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกจากตัวเขา และอย่ากลับเข้ามาสิงในตัวเขาอีก” ผีนั้นจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กคนนั้นล้มชักอย่างรุนแรง แล้วมันก็ออกมา เด็กคนนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตายจนคนส่วนมากกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กคนนั้น เขาก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในบ้านแล้ว พวกสาวกก็มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกข้าพระองค์ถึงขับผีนั้นออกไม่ได้?” พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น” พระองค์กับพวกสาวกเสด็จออกจากที่นั่น และเดินทางผ่านแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ เพราะว่าพระองค์ทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย และพวกเขาจะฆ่าท่าน หลังจากถูกประหารแล้วสามวัน ท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” แต่พวกสาวกไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ และไม่กล้าทูลถามพระองค์

มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซู​ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่​ลำพัง แล​้วพระกายของพระองค์​ก็​เปล​ี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์​ก็​ส่องประกายขาวดุจหิ​มะ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้​นก​็​ไม่ได้ แล​้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซู​ว่า “พระอาจารย์​เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่​ที่นี่​ก็ดี ให้​พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” ที่​เปโตรพู​ดอย​่างนั้​นก​็เพราะไม่​รู้​จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลั​วน​ัก แล​้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้ และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้​นว​่า “ท่านผู้​นี้​เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็​ไม่​เห​็นผู้​ใด เห​็นแต่​พระเยซู​ทรงอยู่กับเขา เมื่อกำลังลงมาจากภู​เขา พระองค์​ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่​ให้​นำสิ่งที่​ได้​เห​็นนั้นไปบอกแก่​ผู้​ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหตุการณ์​นั้นเหล่าสาวกก็​เก​็บงำไว้ แต่​ซักถามกั​นว​่า ที่​ตรั​สว​่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์​ว่า “​เหตุ​ไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน” พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้​สิ​่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่​งม​ีคำเขียนไว้อย่างไรถึ​งบ​ุตรมนุษย์​ว่า พระองค์​จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์​เสีย แต่​เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่จะทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็​ได้​กระทำแล้ว ตามที่​มี​คำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน” เมื่อพระองค์​ได้​เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็​ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนเป็​นอ​ันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้​ไล่​เลียงเขาอยู่ ในทันใดนั้น เมื่อบรรดาประชาชนเห็นพระองค์​ก็​ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ พระองค์​จึงตรัสถามพวกธรรมาจารย์​ว่า “ท่านซักไซ้​ไล่​เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด” มี​คนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “​อาจารย์​เจ้าข้า ข้าพระองค์​ได้​พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผี​ใบ้​เข้าสิง ผี​พาเขาไปที่ไหนๆก็​ทำให้​ล้มชั​กด​ิ้นไป มี​อาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้​วก​็​อ่อนระโหย ข้าพระองค์​ได้​ขอเหล่าสาวกของพระองค์​ให้​ขับผีนั้นออกเสีย แต่​เขาขับให้ออกไม่​ได้​” พระองค์​จึงตรัสแก่คนนั้​นว​่า “​โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด” เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์​แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชั​กล​้มลงกลิ้งเกลือกที่​ดิน มีน​้ำลายฟูมปาก พระองค์​จึงตรัสถามบิ​ดาน​ั้​นว​่า “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร” บิ​ดาทูลตอบว่า “​ตั้งแต่​เป็นเด็กเล็กๆมา และผี​ก็​ทำให้​เด็กตกในไฟและในน้ำบ่อยๆหมายจะฆ่าเสียให้​ตาย แต่​ถ้าพระองค์สามารถทำได้ ขอโปรดกรุณาและช่วยเราเถิด” พระเยซู​จึงตรัสแก่​บิ​ดาน​ั้​นว​่า “ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่​อก​็​ทำให้​ได้​ทุกสิ่ง​” ทันใดนั้น บิ​ดาของเด็​กก​็ร้องทู​ลด​้วยน้ำตาไหลว่า “ข้าพระองค์​เชื่อ พระองค์​เจ้าข้า ที่​ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด” เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์​ตรัสสำทับผีโสโครกนั้​นว​่า “อ้ายผี​ใบ้​หูหนวก เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขา อย่าได้​กล​ับเข้าสิงเขาอีกเลย” ผี​นั้นจึงร้องอื้​ออ​ึงทำให้เด็กนั้นชั​กด​ิ้นเป็​นอ​ันมาก แล้วก็​ออกมา เด็กนั้​นก​็​แน่น​ิ่งเหมือนคนตาย จนมีหลายคนกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” แต่​พระเยซู​ทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้​นก​็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่​าสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตั​วว​่า “​เหตุ​ไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่​ได้​” พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “​ผี​อย่างนี้​จะขับให้ออกไม่​ได้​เลย เว้นแต่​โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร” พระองค์​กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่​นั่น ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี แต่​พระองค์​ไม่​ประสงค์​จะให้​ผู้​ใดรู้ ด้วยว่าพระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์​ว่า “​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และเขาจะประหารท่านเสีย เมื่อประหารแล้ว ในวั​นที​่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” แต่​ถ้อยคำนี้​เหล่​าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์​ก็​เกรงใจ

มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด>> ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสห้ามเหล่าสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า <<เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์ จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<เอลียาห์ต้องมาก่อนจริงและทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้วตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน>> เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็เห็นประชาชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ ในทันใดนั้น เมื่อประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาทั้งหลายว่า <<ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด>> มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้ามาหาท่านเพราะผีใบ้เข้าสิง เด็กจะอยู่ที่ไหนๆ พอผีสำแดงมันก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตัวแข็ง ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้>> พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะเจ้าไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด>> เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชัก ล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า <<เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร>> บิดาทูลตอบว่า <<ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อยๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าท่านสามารถช่วยได้ ขอท่านโปรดกรุณาเถิด>> พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า << <ถ้าช่วยได้> น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง>> ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า <<ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด>> เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า <<อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเอ็งให้ออกจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย>> ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากที่นั่นกล่าวว่า <<เขาตายแล้ว>> แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า <<เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานเท่านั้น>> พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่น ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ ด้วยว่าตอนนี้พระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคน และเขาจะประหารชีวิตท่านเสีย เมื่อฆ่าแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่>> แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ

มาระโก 9:2-32 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง พระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขาที่นั่น ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาใครในโลกฟอกให้ขาวปานนั้นไม่มีเลย และโมเสสกับเอลียาห์ก็ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาและสนทนากับพระเยซู เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะพวกเขาตกใจกลัวมาก) แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา จงเชื่อฟังเขาเถิด!” ทันใดนั้นพวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระเยซู ขณะลงจากภูเขาพระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว ทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยหารือกันถึงความหมายของคำว่า “เป็นขึ้นจากตาย” และพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?” พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์มาก่อนจริงๆ และทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีเขียนไว้ว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์แสนสาหัสและถูกปฏิเสธ? แต่เราบอกพวกท่านว่าเอลียาห์มาแล้วและคนเหล่านั้นทำกับเขาตามใจชอบทุกอย่างเหมือนที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับเขา” เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามคนมาหาสาวกคนอื่นๆ ก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนเหล่านั้นอยู่และกลุ่มธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับเหล่าสาวก ทันทีที่ประชาชนทั้งปวงเห็นพระเยซู พวกเขาก็แปลกใจยิ่งนักและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันหรือ?” คนหนึ่งในฝูงชนทูลว่า “พระอาจารย์ข้าพระองค์พาลูกชายมาหาพระองค์ เขาถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้ เวลาผีเข้าสิงมันก็ทำให้ล้มลงที่พื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็ง ข้าพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ขับผีนี้ออกแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะอยู่กับพวกท่านนานเท่าใด? เราจะทนพวกท่านนานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเรา” พวกเขาจึงพามา เมื่อผีที่สิงอยู่เห็นพระเยซู ทันใดนั้นมันก็ทำให้เด็กชัก ล้มลงกลิ้งไปมาที่พื้น น้ำลายฟูมปาก พระเยซูตรัสถามพ่อของเด็กว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าใด?” เขาทูลว่า “ตั้งแต่เด็ก มันทำให้เขาตกน้ำตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา แต่ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ขอโปรดสงสารเราและช่วยเราด้วยเถิด” พระเยซูตรัสว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพระองค์เชื่อ ที่ยังขาดความเชื่ออยู่นั้นขอทรงช่วยให้เชื่อด้วยเถิด!” พระเยซูทรงเห็นฝูงชนกรูกันเข้ามาจึงตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้าไปสิงเขาอีก” ผีนั้นก็หวีดร้องทำให้เด็กชักดิ้นอย่างรุนแรงแล้วออกมา เด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตายจนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือของเขาและพยุงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืน หลังจากพระเยซูทรงเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวและทูลถามว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่สามารถขับผีนั้นได้?” พระองค์ตรัสว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็โดยการอธิษฐานเท่านั้น” พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่ไหน เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์

มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

หก​วัน​ต่อ​มา พระ​เยซู​พา​เปโตร ยากอบ และ​ยอห์น​ขึ้น​ไป​ยัง​ภูเขา​สูง​กับ​พระ​องค์​แต่​เพียง​ลำพัง และ​ร่างกาย​ของ​พระ​องค์​ก็​เปลี่ยน​ไป​ต่อ​หน้า​พวก​เขา เสื้อผ้า​ของ​พระ​องค์​ก็​ทอแสง​สกาว ขาว​บริสุทธิ์​ชนิด​ที่​ไม่​มี​ช่าง​ฟอก​คน​ใด​ใน​โลก​สามารถ​ฟอก​ให้​ขาว​ได้ แล้ว​เอลียาห์​และ​โมเสส​ได้​ปรากฏ​แก่​พวก​เขา ทั้ง 2 ท่าน​กำลัง​สนทนา​อยู่​กับ​พระ​เยซู เปโตร​พูด​กับ​พระ​เยซู​ว่า “รับบี ดี​เหลือเกิน​ที่​พวก​เรา​ได้​มา​อยู่​กัน​ที่​นี่ ให้​พวก​เรา​สร้าง​กระโจม 3 หลัง​เถิด กระโจม​หนึ่ง​สำหรับ​พระ​องค์ กระโจม​หนึ่ง​สำหรับ​โมเสส​และ​กระโจม​หนึ่ง​สำหรับ​เอลียาห์” เปโตร​ไม่​ทราบ​ว่า​จะ​พูด​อย่างไร​เนื่อง​จาก​พวก​เขา​ตกใจ​กลัว​กัน เมฆ​ก้อน​หนึ่ง​ก็​ปรากฏ​ขึ้น​ปกคลุม​ผู้​คน และ​มี​เสียง​จาก​เมฆ​กล่าว​ว่า “ผู้นี้​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา จง​ฟัง​ท่าน​เถิด” แล้ว​พวก​สาวก​แล​ดู​รอบ​ตัว​ทันที ก็​ไม่​เห็น​ใคร​อยู่​ด้วย​เลย เว้นแต่​พระ​เยซู​เท่า​นั้น ขณะที่​ลง​มา​จาก​ภูเขา พระ​องค์​สั่ง​พวก​เขา​ไม่​ให้​เล่า​สิ่ง​ที่​ได้​เห็น​แก่​ผู้​ใด จนกว่า​บุตรมนุษย์​จะ​ฟื้น​คืนชีวิต​จาก​ความ​ตาย พวก​สาวก​เก็บ​เรื่อง​นั้น​เงียบ​ไว้ ต่าง​ก็​ถกเถียง​กัน​ว่า การ​ฟื้น​คืนชีวิต​จาก​ความ​ตาย​หมาย​ความ​ว่า​อย่างไร พวก​เขา​จึง​ถาม​พระ​องค์​ว่า “ทำไม​พวก​อาจารย์​ฝ่าย​กฎ​บัญญัติ​จึง​พูด​กัน​ว่า เอลียาห์​ต้อง​มา​ก่อน” พระ​องค์​กล่าว​ว่า “จริง​ทีเดียว​ที่​เอลียาห์​มา​ก่อน และ​จะ​ทำ​ให้​ทุก​สิ่ง​คืน​สู่​สภาพ​เดิม แล้ว​ทำไม​จึง​มี​บันทึก​ไว้​ว่า​บุตรมนุษย์​ต้อง​ทน​ทุกข์​ทรมาน​มาก​และ​ผู้​คน​ไม่​ยอมรับ แต่​เรา​ขอบอก​เจ้า​ว่า เอลียาห์​ได้​มา​แล้ว พวก​เขา​ได้​กระทำ​ต่อ​เขา​ตาม​ใจ​ชอบ ตามที่​มี​เรื่อง​บันทึก​ของ​เขา​ไว้” เมื่อ​พระ​เยซู​และ​สาวก​ทั้ง​สาม​กลับ​มา​หา​สาวก​อื่น ก็​เห็น​ว่า​มหาชน​อยู่​ล้อม​รอบ​เหล่า​สาวก อาจารย์​ฝ่าย​กฎ​บัญญัติ​บาง​คน​ก็​กำลัง​โต้เถียง​อยู่​กับ​พวก​เขา ทันที​ที่​ฝูง​ชน​ทั้ง​กลุ่ม​เห็น​พระ​องค์ ก็​ประหลาดใจ​ยิ่งนัก​และ​วิ่ง​กรูกัน​เข้า​มา​ทักทาย​พระ​องค์ พระ​องค์​ถาม​พวก​เขา​ว่า “พวก​เจ้า​ถกเถียง​อะไร​กัน​กับ​เขา​เหล่า​นั้น” คน​หนึ่ง​ใน​กลุ่ม​ตอบ​พระ​องค์​ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้า​พา​บุตร​ชาย​ของ​ข้าพเจ้า​มา เขา​ถูก​วิญญาณ​ร้าย​สิง​จึง​ทำ​ให้​เขา​เป็น​ใบ้ เมื่อใด​ก็​ตามที่​มัน​เข้า​สิง​เขา มัน​ก็​ทำ​ให้​เขา​ล้ม​ลง​ฟาด​พื้น มี​น้ำลาย​ฟูม​ปาก ฟัน​ขบ​กัน และ​ตัว​แข็ง​เกร็ง ข้าพเจ้า​ให้​เหล่า​สาวก​ของ​พระ​องค์​ขับไล่​มัน​ออก พวก​เขา​ก็​ทำ​ไม่​ได้” พระ​องค์​กล่าว​ตอบ​ว่า “คน​ใน​ช่วง​กาล​เวลา​นี้​ช่าง​ไร้​ความ​เชื่อ เรา​จะ​ต้อง​อยู่​กับ​พวก​เจ้า​นาน​สักเท่าไร เรา​จะ​ต้อง​ทน​ต่อ​พวก​เจ้า​ไป​นาน​สักเท่าไร พา​ตัว​เขา​มา​หา​เรา​เถิด” พวก​เขา​ก็​นำ​เด็ก​คน​นั้น​มาหา​พระ​เยซู ทันที​ที่​เขา​เห็น​พระ​องค์ วิญญาณ​ร้าย​ก็​ทำ​ให้​เขา​ชัก ล้มลง​บน​พื้น​แล้ว​ก็​กลิ้ง​ไป​มา​น้ำลาย​ฟูม​ปาก พระ​องค์​ถาม​บิดา​ของ​เด็ก​ว่า “เป็น​มานาน​เท่าไร​แล้ว” เขา​ตอบ​ว่า “ตั้งแต่​เป็น​เด็ก​เล็กๆ แล้ว มาร​ทำ​ให้​เขา​ตก​ลงใน​กอง​ไฟ และ​ตกน้ำ​บ่อย​ครั้ง​เพื่อ​ทำลาย​เขา แต่​ถ้า​พระ​องค์​ช่วย​ได้ ก็​โปรด​สงสาร​ช่วย​พวก​เรา​ด้วย” พระ​เยซู​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “‘ถ้า​พระ​องค์​ช่วย​ได้’ อย่าง​นั้น​หรือ ทุก​สิ่ง​เป็น​ไป​ได้​สำหรับ​คน​ที่​เชื่อ” ใน​ทันใด​นั้น บิดา​ของ​เด็ก​ก็​ร้องขึ้น​ว่า “ข้าพเจ้า​เชื่อ โปรด​ช่วย​เพิ่ม​ความ​เชื่อ​ของ​ข้าพเจ้า​ด้วย” เมื่อ​พระ​เยซู​เห็น​ว่า​ฝูง​ชน​วิ่ง​กัน​เข้ามา พระ​องค์​กล่าว​ห้าม​วิญญาณ​ร้าย​ว่า “เจ้า​วิญญาณ​หนวก​ใบ้ เรา​สั่ง​ให้​เจ้า​ออกมา​จาก​ตัว​เขา และ​อย่า​เข้าสิง​เขา​อีก” หลัง​จาก​วิญญาณ​ร้าย​ร้อง​และ​ทำ​ให้​เขา​ชัก​ก่อน​ที่​มัน​จะ​ออกมา เด็ก​ก็​แน่นิ่ง​ไป​เหมือน​ไร้​ชีวิต​จน​คน​ส่วนใหญ่​พูดกัน​ว่า “เขา​ตาย​แล้ว” แต่​พระ​เยซู​จับ​มือ​เขา​พยุง​ขึ้น แล้ว​เขา​ก็​ลุกขึ้น เมื่อ​พระ​องค์​มา​ถึง​บ้าน​แล้ว เหล่า​สาวก​ของ​พระ​องค์​ก็​เริ่ม​ซักถาม​พระ​องค์​เป็นการ​ส่วนตัว​ว่า “ทำไม​พวก​เรา​จึง​ขับ​มัน​ออก​มา​ไม่​ได้” พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “วิญญาณ​ร้าย​ประเภท​นี้​จะ​ถูก​ขับ​ออกมา​ด้วย​สิ่งใด​ไม่​ได้ จนกว่า​จะ​มี​การ​อธิษฐาน​เท่า​นั้น” หลัง​จาก​นั้น​พระ​เยซู​และ​เหล่า​สาวก​ก็​เดินทาง​กัน​ไป​ยัง​แคว้น​กาลิลี พระ​องค์​ไม่​ได้​ตั้งใจ​ให้​ใคร​ทราบ พระ​องค์​กำลัง​สั่งสอน​เหล่า​สาวก​และ​บอก​ว่า “บุตรมนุษย์​จะ​ถูก​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​มนุษย์​และ​พวก​เขา​จะ​ฆ่า​ท่าน​เสีย เมื่อ​ท่าน​ถูก​ฆ่า​แล้ว 3 วัน​ต่อ​มา​ท่าน​จะ​ฟื้น​คืนชีวิต​อีก” แต่​พวก​เขา​ไม่​เข้าใจ​ใน​สิ่ง​ที่​พระ​องค์​กล่าว แต่​ก็​ไม่​มี​ใคร​กล้า​ถาม​พระ​องค์