มาระโก 9:2-32
มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด>> ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสห้ามเหล่าสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า <<เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์ จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<เอลียาห์ต้องมาก่อนจริงและทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้วตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน>> เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็เห็นประชาชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ ในทันใดนั้น เมื่อประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาทั้งหลายว่า <<ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด>> มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้ามาหาท่านเพราะผีใบ้เข้าสิง เด็กจะอยู่ที่ไหนๆ พอผีสำแดงมันก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตัวแข็ง ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้>> พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะเจ้าไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด>> เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชัก ล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า <<เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร>> บิดาทูลตอบว่า <<ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อยๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าท่านสามารถช่วยได้ ขอท่านโปรดกรุณาเถิด>> พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า << <ถ้าช่วยได้> น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง>> ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า <<ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด>> เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า <<อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเอ็งให้ออกจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย>> ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากที่นั่นกล่าวว่า <<เขาตายแล้ว>> แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า <<เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานเท่านั้น>> พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่น ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ ด้วยว่าตอนนี้พระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคน และเขาจะประหารชีวิตท่านเสีย เมื่อฆ่าแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่>> แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ
มาระโก 9:2-32 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
หกวันต่อมาพระเยซูได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงกัน แล้วลักษณะของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา เสื้อผ้าของพระองค์กลายเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววับ ขาวกว่าที่คนฟอกผ้าในโลกนี้จะฟอกให้ขาวขนาดนี้ได้ แล้วพวกเขาก็เห็นเอลียาห์กับโมเสส กำลังคุยอยู่กับพระเยซู เปโตรบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีมากเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราจะได้สร้างเพิง ขึ้นมาสามหลัง ให้อาจารย์หลังหนึ่ง ให้โมเสสหลังหนึ่ง และให้เอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” (เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัวมาก) จากนั้นก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงพูดก้องออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา ให้เชื่อฟังท่าน” พวกเขาก็หันไปดูรอบๆแต่ไม่เห็นใครเลยนอกจากพระเยซู ขณะที่เดินลงมาจากภูเขา พระเยซูสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องที่เห็นนี้ให้ใครฟัง จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นจากความตาย พวกเขาก็ทำตามที่พระเยซูสั่ง แต่ก็ถามกันเองว่าที่พระองค์พูดว่า “ฟื้นขึ้นจากความตาย” หมายถึงอะไร พวกเขาถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกครูสอนกฎปฏิบัติถึงบอกว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน” พระเยซูตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์ต้องมาก่อน เพื่อมาเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ทำไมถึงได้มีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและถูกทำให้อับอายขายหน้า เราจะบอกให้รู้ว่า เอลียาห์ก็ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบของพวกเขา เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” เมื่อพวกเขาลงมาถึงที่ๆพวกศิษย์คนอื่นๆอยู่ ก็เห็นฝูงชนจำนวนมากรุมล้อมพวกศิษย์เหล่านั้น พวกครูสอนกฎปฏิบัติกำลังเถียงกับศิษย์พวกนั้นอยู่ เมื่อฝูงชนเห็นพระเยซู ก็รู้สึกแปลกใจมาก แล้วพากันวิ่งมาต้อนรับพระองค์ พระเยซูถามว่า “กำลังเถียงกันเรื่องอะไร” ชายคนหนึ่งในฝูงชนตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมพาลูกชายมาหาท่าน เขาถูกผีชั่วสิงทำให้พูดไม่ได้ ทุกครั้งที่มันแผลงฤทธิ์ออกมา เด็กจะล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็งทื่อไปหมด ผมขอให้พวกศิษย์ของท่านขับผีชั่วออกให้ แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” แล้วพระเยซูพูดว่า “พวกขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาเด็กนั้นมานี่ซิ” พวกเขาก็พาเด็กมา เมื่อผีชั่วในเด็กเห็นพระเยซู มันก็ทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง ล้มลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น น้ำลายฟูมปาก พระเยซูก็ถามพ่อของเด็กว่า “เป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือยัง” พ่อเด็กตอบว่า “เป็นตั้งแต่เล็กๆเลยครับ ไอ้ผีชั่วจะฆ่าเขาหลายครั้งแล้ว ทำให้ตกลงไปในไฟบ้าง หรือตกน้ำบ้าง ถ้าอาจารย์ช่วยได้ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วยเถิด” พระเยซูจึงตอบว่า “ทำไมถึงพูดว่า ‘ถ้าอาจารย์ช่วยได้’ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” พ่อของเด็กจึงรีบร้องบอกทันทีว่า “ผมเชื่อครับ ช่วยทำให้ผมเชื่อมากขึ้นด้วยครับ” เมื่อพระองค์เห็นว่าคนเริ่มมามุงดูมากขึ้น พระองค์ตวาดผีชั่วว่า “ไอ้ผีชั่วที่ทำให้คนหูหนวกและเป็นใบ้ เราสั่งให้แกออกมาจากเด็กคนนั้น และอย่าได้เข้าสิงเขาอีกเป็นอันขาด” ผีชั่วก็กรีดร้องเสียงดัง มันทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง แล้วออกจากร่างเด็กไป เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนตายแล้ว มีเสียงบ่นกันพึมพำว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูจับมือของเด็กและพยุงเขาขึ้นมา เด็กก็ลุกขึ้นยืน เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน พวกศิษย์มาถามพระองค์ส่วนตัวว่า “อาจารย์ ทำไมพวกเราถึงไล่ผีชั่วตัวนั้นไม่ได้ล่ะครับ” พระองค์บอกว่า “มีทางเดียวที่จะไล่ผีชั่วชนิดนี้ออกได้ คือต้องอธิษฐาน” พระเยซูและพวกศิษย์ก็เดินทางต่อโดยผ่านแคว้นกาลิลี พระเยซูไม่อยากให้ใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน เพราะกำลังสอนพวกศิษย์อยู่ พระองค์บอกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์ และเขาจะถูกฆ่า และหลังจากนั้นสามวันเขาจะฟื้นขึ้นจากความตาย” พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ไม่มีใครกล้าถาม
มาระโก 9:2-32 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จนไม่มีช่างฟอกผ้าคนใดในโลกจะฟอกให้ขาวอย่างนั้นได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่สาวกเหล่านั้น กำลังสนทนากับพระเยซู เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัว แล้วก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้และมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด” ทันใดนั้น เมื่อพวกสาวกมองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับพวกเขา เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่เห็นนั้นไปบอกกับคนอื่นจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นพวกสาวกจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ แต่ก็ถามกันว่า การเป็นขึ้นมาจากตายมีความหมายอย่างไร? พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์ถึงกล่าวว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน?” พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “เอลียาห์จะต้องมาก่อนแน่นอนเพื่อทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ทำไมยังมีถ้อยคำเขียนเกี่ยวกับบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทรงทนทุกขเวทนาหลายประการและทรงถูกทอดทิ้ง แต่เราบอกพวกท่านว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และพวกเขาทำต่อท่านทุกอย่างตามใจชอบ ซึ่งก็เป็นไปตามถ้อยคำที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน” เมื่อกลับมาที่เหล่าสาวก เห็นมหาชนกำลังล้อมรอบพวกเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับพวกเขาอยู่ ทันทีที่ฝูงชนทั้งหมดเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจอย่างมาก จึงวิ่งเข้ามาต้อนรับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านถกเถียงกับพวกเขาด้วยเรื่องอะไร?” คนหนึ่งในฝูงชนทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้พาลูกชายมาหาท่านเพราะมีผีใบ้เข้าสิง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผีเข้าสิงตัวเขา มันจะทำให้เขาล้มชัก น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้ามาขอให้พวกสาวกของท่านขับมันออก แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้” พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดทนกับพวกท่านนานเพียงไร? จงพาเด็กคนนั้นมาหาเราเถิด” พวกเขาจึงพาเด็กคนนั้นมาหาพระองค์ เมื่อผีนั้นเห็นพระองค์ มันก็ทำให้เด็กล้มชักทันที และลงไปกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามผู้เป็นบิดาว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่?” บิดาทูลตอบว่า “ตั้งแต่เขายังเล็กๆ และผีมักจะทำให้เขาตกในกองไฟหรือในน้ำ เพื่อจะฆ่าให้ตาย ถ้าท่านสามารถช่วยได้ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย” พระเยซูจึงตรัสกับบิดานั้นว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” บิดาของเด็กจึงร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด” เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสห้ามผีโสโครกนั้นว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกจากตัวเขา และอย่ากลับเข้ามาสิงในตัวเขาอีก” ผีนั้นจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กคนนั้นล้มชักอย่างรุนแรง แล้วมันก็ออกมา เด็กคนนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตายจนคนส่วนมากกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กคนนั้น เขาก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในบ้านแล้ว พวกสาวกก็มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกข้าพระองค์ถึงขับผีนั้นออกไม่ได้?” พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น” พระองค์กับพวกสาวกเสด็จออกจากที่นั่น และเดินทางผ่านแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ เพราะว่าพระองค์ทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย และพวกเขาจะฆ่าท่าน หลังจากถูกประหารแล้วสามวัน ท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” แต่พวกสาวกไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ และไม่กล้าทูลถามพระองค์
มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์ก็ส่องประกายขาวดุจหิมะ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้ และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา เมื่อกำลังลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่จะทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้ว ตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน” เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ ในทันใดนั้น เมื่อบรรดาประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามพวกธรรมาจารย์ว่า “ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด” มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผีใบ้เข้าสิง ผีพาเขาไปที่ไหนๆก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็อ่อนระโหย ข้าพระองค์ได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้” พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด” เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชักล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร” บิดาทูลตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟและในน้ำบ่อยๆหมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าพระองค์สามารถทำได้ ขอโปรดกรุณาและช่วยเราเถิด” พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า “ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” ทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลด้วยน้ำตาไหลว่า “ข้าพระองค์เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด” เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า “อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย” ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนมีหลายคนกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า “เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร” พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่น ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ ด้วยว่าพระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และเขาจะประหารท่านเสีย เมื่อประหารแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ
มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด>> ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสห้ามเหล่าสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า <<เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์ จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<เอลียาห์ต้องมาก่อนจริงและทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้วตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน>> เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็เห็นประชาชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ ในทันใดนั้น เมื่อประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาทั้งหลายว่า <<ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด>> มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้ามาหาท่านเพราะผีใบ้เข้าสิง เด็กจะอยู่ที่ไหนๆ พอผีสำแดงมันก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตัวแข็ง ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้>> พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะเจ้าไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด>> เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชัก ล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า <<เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร>> บิดาทูลตอบว่า <<ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อยๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าท่านสามารถช่วยได้ ขอท่านโปรดกรุณาเถิด>> พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า << <ถ้าช่วยได้> น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง>> ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า <<ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด>> เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า <<อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเอ็งให้ออกจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย>> ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากที่นั่นกล่าวว่า <<เขาตายแล้ว>> แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า <<เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานเท่านั้น>> พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่น ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ ด้วยว่าตอนนี้พระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคน และเขาจะประหารชีวิตท่านเสีย เมื่อฆ่าแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่>> แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ
มาระโก 9:2-32 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง พระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขาที่นั่น ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาใครในโลกฟอกให้ขาวปานนั้นไม่มีเลย และโมเสสกับเอลียาห์ก็ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาและสนทนากับพระเยซู เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะพวกเขาตกใจกลัวมาก) แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา จงเชื่อฟังเขาเถิด!” ทันใดนั้นพวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระเยซู ขณะลงจากภูเขาพระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว ทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยหารือกันถึงความหมายของคำว่า “เป็นขึ้นจากตาย” และพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?” พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์มาก่อนจริงๆ และทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีเขียนไว้ว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์แสนสาหัสและถูกปฏิเสธ? แต่เราบอกพวกท่านว่าเอลียาห์มาแล้วและคนเหล่านั้นทำกับเขาตามใจชอบทุกอย่างเหมือนที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับเขา” เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามคนมาหาสาวกคนอื่นๆ ก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนเหล่านั้นอยู่และกลุ่มธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับเหล่าสาวก ทันทีที่ประชาชนทั้งปวงเห็นพระเยซู พวกเขาก็แปลกใจยิ่งนักและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันหรือ?” คนหนึ่งในฝูงชนทูลว่า “พระอาจารย์ข้าพระองค์พาลูกชายมาหาพระองค์ เขาถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้ เวลาผีเข้าสิงมันก็ทำให้ล้มลงที่พื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็ง ข้าพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ขับผีนี้ออกแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะอยู่กับพวกท่านนานเท่าใด? เราจะทนพวกท่านนานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเรา” พวกเขาจึงพามา เมื่อผีที่สิงอยู่เห็นพระเยซู ทันใดนั้นมันก็ทำให้เด็กชัก ล้มลงกลิ้งไปมาที่พื้น น้ำลายฟูมปาก พระเยซูตรัสถามพ่อของเด็กว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าใด?” เขาทูลว่า “ตั้งแต่เด็ก มันทำให้เขาตกน้ำตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา แต่ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ขอโปรดสงสารเราและช่วยเราด้วยเถิด” พระเยซูตรัสว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพระองค์เชื่อ ที่ยังขาดความเชื่ออยู่นั้นขอทรงช่วยให้เชื่อด้วยเถิด!” พระเยซูทรงเห็นฝูงชนกรูกันเข้ามาจึงตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้าไปสิงเขาอีก” ผีนั้นก็หวีดร้องทำให้เด็กชักดิ้นอย่างรุนแรงแล้วออกมา เด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตายจนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือของเขาและพยุงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืน หลังจากพระเยซูทรงเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวและทูลถามว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่สามารถขับผีนั้นได้?” พระองค์ตรัสว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็โดยการอธิษฐานเท่านั้น” พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่ไหน เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์
มาระโก 9:2-32 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
หกวันต่อมา พระเยซูพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปยังภูเขาสูงกับพระองค์แต่เพียงลำพัง และร่างกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา เสื้อผ้าของพระองค์ก็ทอแสงสกาว ขาวบริสุทธิ์ชนิดที่ไม่มีช่างฟอกคนใดในโลกสามารถฟอกให้ขาวได้ แล้วเอลียาห์และโมเสสได้ปรากฏแก่พวกเขา ทั้ง 2 ท่านกำลังสนทนาอยู่กับพระเยซู เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “รับบี ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสสและกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” เปโตรไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรเนื่องจากพวกเขาตกใจกลัวกัน เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน และมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” แล้วพวกสาวกแลดูรอบตัวทันที ก็ไม่เห็นใครอยู่ด้วยเลย เว้นแต่พระเยซูเท่านั้น ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าสิ่งที่ได้เห็นแก่ผู้ใด จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พวกสาวกเก็บเรื่องนั้นเงียบไว้ ต่างก็ถกเถียงกันว่า การฟื้นคืนชีวิตจากความตายหมายความว่าอย่างไร พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจึงพูดกันว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน” พระองค์กล่าวว่า “จริงทีเดียวที่เอลียาห์มาก่อน และจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม แล้วทำไมจึงมีบันทึกไว้ว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานมากและผู้คนไม่ยอมรับ แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว พวกเขาได้กระทำต่อเขาตามใจชอบ ตามที่มีเรื่องบันทึกของเขาไว้” เมื่อพระเยซูและสาวกทั้งสามกลับมาหาสาวกอื่น ก็เห็นว่ามหาชนอยู่ล้อมรอบเหล่าสาวก อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนก็กำลังโต้เถียงอยู่กับพวกเขา ทันทีที่ฝูงชนทั้งกลุ่มเห็นพระองค์ ก็ประหลาดใจยิ่งนักและวิ่งกรูกันเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าถกเถียงอะไรกันกับเขาเหล่านั้น” คนหนึ่งในกลุ่มตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าพาบุตรชายของข้าพเจ้ามา เขาถูกวิญญาณร้ายสิงจึงทำให้เขาเป็นใบ้ เมื่อใดก็ตามที่มันเข้าสิงเขา มันก็ทำให้เขาล้มลงฟาดพื้น มีน้ำลายฟูมปาก ฟันขบกัน และตัวแข็งเกร็ง ข้าพเจ้าให้เหล่าสาวกของพระองค์ขับไล่มันออก พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระองค์กล่าวตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้านานสักเท่าไร เราจะต้องทนต่อพวกเจ้าไปนานสักเท่าไร พาตัวเขามาหาเราเถิด” พวกเขาก็นำเด็กคนนั้นมาหาพระเยซู ทันทีที่เขาเห็นพระองค์ วิญญาณร้ายก็ทำให้เขาชัก ล้มลงบนพื้นแล้วก็กลิ้งไปมาน้ำลายฟูมปาก พระองค์ถามบิดาของเด็กว่า “เป็นมานานเท่าไรแล้ว” เขาตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้ว มารทำให้เขาตกลงในกองไฟ และตกน้ำบ่อยครั้งเพื่อทำลายเขา แต่ถ้าพระองค์ช่วยได้ ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วย” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “‘ถ้าพระองค์ช่วยได้’ อย่างนั้นหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยเพิ่มความเชื่อของข้าพเจ้าด้วย” เมื่อพระเยซูเห็นว่าฝูงชนวิ่งกันเข้ามา พระองค์กล่าวห้ามวิญญาณร้ายว่า “เจ้าวิญญาณหนวกใบ้ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากตัวเขา และอย่าเข้าสิงเขาอีก” หลังจากวิญญาณร้ายร้องและทำให้เขาชักก่อนที่มันจะออกมา เด็กก็แน่นิ่งไปเหมือนไร้ชีวิตจนคนส่วนใหญ่พูดกันว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูจับมือเขาพยุงขึ้น แล้วเขาก็ลุกขึ้น เมื่อพระองค์มาถึงบ้านแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็เริ่มซักถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับมันออกมาไม่ได้” พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “วิญญาณร้ายประเภทนี้จะถูกขับออกมาด้วยสิ่งใดไม่ได้ จนกว่าจะมีการอธิษฐานเท่านั้น” หลังจากนั้นพระเยซูและเหล่าสาวกก็เดินทางกันไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ได้ตั้งใจให้ใครทราบ พระองค์กำลังสั่งสอนเหล่าสาวกและบอกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย เมื่อท่านถูกฆ่าแล้ว 3 วันต่อมาท่านจะฟื้นคืนชีวิตอีก” แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์