มาระโก 6:6-56

มาระโก 6:6-56 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

พระองค์ก็ประหลาดพระทัยเพราะเขาไม่มีความเชื่อ แล้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วทรงใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่ๆ ทรงประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ และตรัสกำชับเขาไม่ให้เอาอะไรไปใช้ตามทาง เว้นแต่ไม้เท้าสิ่งเดียว ห้ามมิให้เอาอาหารหรือย่าม หรือหาสตางค์ใส่ไถ้ไป แต่ให้สวมรองเท้าและไม่ให้สวมเสื้อสองตัว แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า <<ถ้าไปแห่งใดเมื่อเข้าอาศัยในเรือนไหน ก็อาศัยในเรือนนั้น จนกว่าจะไปจากที่นั่น และถ้าแห่งไหนไม่ต้อนรับไม่ฟังท่านทั้งหลาย เมื่อจะไปจากที่นั่น จงสะบัดผงคลีใต้ฝ่าเท้าของท่านออก ส่อให้เห็นความผิดของเขา>> ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้กลับใจเสียใหม่ เขาได้ขับผีให้ออกเสียหลายผี และได้เอาน้ำมันทาคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค ฝ่ายกษัตริย์เฮโรดทรงทราบเรื่องของพระองค์ เพราะว่าพระนามของพระเยซูได้เลื่องลือไป บางคนพูดว่า <<ยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์ได้>> แต่คนอื่นว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่นๆว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ เหมือนคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณ ฝ่ายเฮโรดเมื่อทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า <<คือยอห์นนั้นเองที่เราได้ตัดศีรษะเสีย ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตาย>> ด้วยว่าเฮโรดได้ใช้คนไปจับยอห์น ล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิปน้องชายของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน เพราะยอห์นได้เคยทูลเฮโรดว่า <<ท่านไม่มีสิทธิ์รับภรรยาของน้องมาเป็นภรรยาของตน>> นางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์นและปรารถนาจะฆ่าเสีย แต่ฆ่าไม่ได้ เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์น ด้วยรู้ว่าท่านเป็นคนชอบธรรม และบริสุทธิ์ เฮโรดจึงได้ป้องกันไว้ เมื่อเฮโรดได้ยินคำสั่งสอนของท่านก็ให้ฉงนสนเท่ห์นัก แต่ก็ยังยินดีอยากฟัง ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดี คือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดได้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้กษัตริย์เฮโรด และแขกทั้งปวงชอบใจ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า <<เธอจะขอสิ่งใดก็จะให้สิ่งนั้น>> และกษัตริย์จึงทรงปฏิญาณตัวไว้ว่า <<เธอจะขอสิ่งใดๆ เราจะให้สิ่งนั้น จนถึงกึ่งราชสมบัติ>> หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามมารดาว่า <<ฉันจะขอสิ่งใดดี>> มารดาจึงตอบว่า <<จงขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเถิด>> ในทันใดนั้น หญิงสาวก็รีบเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า <<หม่อมฉันขอศีรษะยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา ใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ>> กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์นัก แต่เพราะเหตุได้ทรงปฏิญาณไว้ และเพราะเห็นแก่หน้าแขกก็ขัดไม่ได้ ในขณะนั้นกษัตริย์จึงรับสั่งเพชฌฆาตให้ไปตัดศีรษะยอห์นมา เพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก ใส่ถาดมาให้แก่หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้แก่มารดาของตน เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เหตุแล้ว ก็พากันมารับเอาศพของท่านไปฝังไว้ในอุโมงค์ ฝ่ายอัครทูตพากันมาหาพระเยซู และได้ทูลถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำ และได้สั่งสอน แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง>> เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มีเวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง คนเป็นอันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และจำได้ จึงพากันวิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึงก่อน ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ เมื่อเวลาล่วงไปเกือบจะค่ำแล้ว พวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า <<ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่ บ้านนาที่อยู่แถบนี้>> แต่พระองค์ตรัสตอบแก่เหล่าสาวกว่า <<พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด>> เขาทูลพระองค์ว่า <<จะให้พวกข้าพระองค์ไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอัน ให้เขารับประทานหรือ>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน ไปดูซิ>> เมื่อรู้แล้วเขาจึงทูลว่า <<มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว>> พระองค์จึงตรัสสั่งคนทั้งปวง ให้นั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ ประชาชนก็ได้นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบบ้าง เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ถวายคำสาธุการแล้วหักขนมปังนั้นให้เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตัวนั้น พระองค์ทรงแบ่งให้ทั่วกันด้วย เขาได้กินอิ่มทุกคน ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม และในจำนวนคนที่ได้รับประทานขนมปังนั้นมีผู้ชายห้าพันคน ครั้นแล้วพระองค์ได้ตรัสให้เหล่าสาวกของพระองค์ ลงเรือข้ามไปยังเมืองเบธไซดาก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่นั่น เมื่อค่ำลงแล้ว เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และพระองค์ทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี แล้วพากันร้องอึงไป เพราะว่าทุกคนเห็นแล้วก็กลัว แต่ในทันใดนั้นพระองค์ทรงออกพระโอษฐ์ตรัสแก่เขาว่า <<ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย>> พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปหาเขาบนเรือแล้วลมก็เงียบลง เหล่าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ เพราะว่าเรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ แต่ใจเขายังมืดมัวอยู่ ครั้นข้ามฟากไปแล้ว เขาจอดเรือที่แขวงเยนเนซาเรท เมื่อขึ้นจากเรือแล้วคนทั้งปวงก็จำพระองค์ได้ทันที และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังตำบลที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์อยู่นั้น แล้วพระองค์เสด็จไปที่ไหนๆ ไม่ว่าในหมู่บ้าน ในตำบล หรือในเมือง เขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามตลาด ทูลขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์ และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็หายป่วยทุกคน

มาระโก 6:6-56 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

พระองค์​แปลกใจ​ที่​พวก​เขา​ไม่​มี​ความเชื่อ​ใน​พระองค์ พระองค์​จึง​ไป​สอน​ที่​หมู่บ้าน​ใกล้เคียง​แถว​นั้น​แทน พระองค์​เรียก​ศิษย์​เอก​ทั้ง​สิบสอง​คน​มา แล้ว​ส่ง​พวก​เขา​ออก​ไป​เป็น​คู่ๆ​พระองค์​ทำ​ให้​พวก​เขา​มี​สิทธิอำนาจ​เหนือ​วิญญาณ​ชั่ว​ทั้งหลาย และ​สั่ง​ว่า “อย่า​เอา​อะไร​ติดตัว​ไป​เลย​นอก​จาก​ไม้เท้า ไม่​ต้อง​เอา​อาหาร ถุง​ย่าม​หรือ​เงิน​ติดตัว​ไป ให้​ใส่​รองเท้า​ได้​แต่​ไม่​ต้อง​เอา​เสื้อผ้า​สำรอง​ไป” พระองค์​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “บ้าน​ไหน​ที่​ต้อนรับ​คุณ ก็​ให้​อยู่​ที่​บ้าน​นั้น​ตลอด​จน​กว่า​จะ​จาก​เมือง​นั้น​ไป แต่​ถ้า​ที่​ไหน​ไม่​ต้อนรับ​หรือ​ไม่​ฟัง​พวก​คุณ ก็​ให้​ออก​ไป​จาก​ที่​นั่น และ​ให้​สะบัด​ฝุ่น​ออก​จาก​เท้า ด้วย เพื่อ​เป็น​การเตือน​พวก​เขา” พวก​ศิษย์​ของ​พระองค์​ก็​ออก​ไป​สั่งสอน ให้​ผู้คน​กลับตัว​กลับใจ​เสียใหม่ พวก​เขา​ขับ​ผี​ชั่ว​ออก​ไป​หลาย​ตน ทา​น้ำมัน​มะกอก​ให้​กับ​คน​เจ็บป่วย​เป็น​จำนวน​มาก และ​รักษา​พวก​เขา​จน​หาย กษัตริย์​เฮโรด ได้ยิน​ชื่อ​เสียง​ของ​พระเยซู​เพราะ​คน​พูด​กัน​ไป​ทั่ว บางคน​พูด​ว่า “เขา​ต้อง​เป็น​ยอห์น​คน​ทำ​พิธีจุ่มน้ำ​ที่​ฟื้นขึ้น​จาก​ความตาย​แน่ๆ​ถึง​ทำ​การอัศจรรย์​พวกนี้​ได้” บางคน​พูด​ว่า “เขา​คือ​เอลียาห์” และ​บางคน​พูด​ว่า “เขา​คือ​ผู้พูดแทนพระเจ้า​เหมือน​กับ​ผู้พูดแทนพระเจ้า​คน​อื่นๆ​ใน​สมัย​โบราณ​นั้น” เมื่อ​เฮโรด​ได้ยิน​เรื่อง​พวกนี้ พระองค์​พูด​ว่า “ต้อง​เป็น​ยอห์น คน​ที่​เรา​สั่ง​ให้​ตัดหัว​ฟื้นขึ้น​จาก​ตาย​แน่ๆ” เพราะ​เฮโรด​เอง​ที่​เป็น​คน​สั่ง​ให้​จับ​ยอห์น​ล่าม​โซ่​และ​ขัง​คุก​ไว้ เพราะ​เห็น​แก่​นาง​เฮโรเดียส​ภรรยา​ของ​ฟีลิป​น้อง​ชาย​ของ​เฮโรด เพราะ​ยอห์น​ได้​เตือน​กษัตริย์​เฮโรด​บ่อยๆ​ว่า “พระองค์​ทำ​ไม่​ถูก ที่​เอา​ภรรยา​น้อง​ชาย​มา​เป็น​ภรรยา​ตัวเอง” ทำ​ให้​เฮโรเดียส​แค้นใจ​อยาก​จะ​ฆ่า​ยอห์น แต่​ก็​ทำ​ไม่​ได้ เพราะ​กษัตริย์​เฮโรด​กลัว​ยอห์น พระองค์​รู้​ว่า​ยอห์น​เป็น​คน​ที่​ทำ​ตามใจ​พระเจ้า และ​เป็น​คน​ของ​พระเจ้า​จริงๆ จึง​ปกป้อง​ยอห์น​ไว้ ทุก​ครั้ง​ที่​เฮโรด​ฟัง​ยอห์น​สอน​ก็​ลำบากใจ แต่​ก็​ยัง​ชอบ​ฟัง แล้ว​โอกาส​ของ​นาง​เฮโรเดียส​ก็​มา​ถึง เมื่อ​เฮโรด​จัด​งาน​วันเกิด​ของ​พระองค์​ขึ้น พระองค์​เชิญ​พวก​ข้าราชการ​ชั้นสูง นายทหาร​ชั้น​ผู้ใหญ่ และ​คน​สำคัญๆ​ของ​แคว้น​กาลิลี​มา​ใน​งาน ลูกสาว​ของ​นาง​เฮโรเดียส​เข้า​มา​เต้นรำ ทำ​ให้​เฮโรด​และ​บรรดา​แขกเหรื่อ​ถูกอก​ถูกใจ​มาก แล้ว​กษัตริย์​เฮโรด​จึง​บอก​กับ​หญิงสาว​นี้​ว่า “อยาก​ได้​รางวัล​อะไร​ก็​ขอ​มา​เลย เรา​จะ​ให้” พระองค์​ยัง​สัญญา​อีก​ว่า “เรา​จะ​ให้​ทุก​อย่าง​ที่​เจ้า​ขอ แม้​กระทั่ง​ครึ่ง​หนึ่ง​ของ​อาณาจักร​นี้” เธอ​ก็​ออก​ไป​ถาม​แม่​ว่า “แม่ หนู​ขอ​อะไร​ดี​คะ” แม่​ตอบ​ว่า “ขอ​หัว​ของ​ยอห์น​คน​ทำ​พิธีจุ่มน้ำ​สิ” แล้ว​เธอ​ก็​รีบ​วิ่ง​เข้า​ไป​บอก​กษัตริย์​ว่า “ดิฉัน​ขอ​หัว​ของ​ยอห์น​คน​ทำ​พิธีจุ่มน้ำ​ใส่​ถาด​มา​ให้​ที่​นี่​ค่ะ” กษัตริย์​เฮโรด​เสียใจ​มาก แต่​เพราะ​เขา​ได้​สาบาน​ไว้​แล้ว​ต่อหน้า​แขก​เป็น​จำนวน​มาก เฮโรด​จึง​ไม่​กล้า​ที่​จะ​ผิด​คำพูด​กับ​เธอ เฮโรด​จึง​สั่ง​ให้​เพชฌฆาต​ไป​ตัดหัว​ของ​ยอห์น​ใน​คุก​ทันที และ​เอา​ใส่​ถาด​มา​ให้​กับ​เธอ แล้ว​เธอ​ก็​เอา​ไป​ให้​แม่​ของ​เธอ เมื่อ​ศิษย์​ของ​ยอห์น​รู้​เข้า​ก็​พา​กัน​มา​รับ​ร่าง​ของ​ยอห์น​ไป​ฝัง​ไว้​ใน​อุโมงค์ พวก​ศิษย์​ที่​พระเยซู​ส่ง​ออก​ไป ได้​กลับ​มา​หา​พระองค์ และ​เล่า​เรื่อง​ทุก​อย่าง​ที่​ได้​ทำ​และ​สอน​ให้​พระองค์​ฟัง แล้ว​พระเยซู​บอก​พวก​เขา​ว่า “พวก​เรา​ไป​หา​ที่​เงียบๆ​พักผ่อน​กัน​เถอะ” เพราะ​มี​ผู้คน​เป็น​จำนวน​มาก​มา​หา​พระองค์ จน​ไม่​มี​เวลา​แม้​แต่​จะ​กิน​อาหาร​กัน พวก​เขา​จึง​ลง​เรือ​ไป​ยัง​ที่​เปลี่ยว​เพื่อ​อยู่​กัน​เฉพาะ​พวก​เขา แต่​ก็​มี​คน​จำนวน​มาก​เห็น​พวก​เขา​จาก​ไป​และ​จำ​เขา​ได้ จึง​มี​คน​มากมาย​จาก​หมู่บ้าน​ต่างๆ​รีบ​เดิน​ตาม​ไป​ที่​นั่น และ​ไป​ถึง​ก่อน​พวก​เขา เมื่อ​พระองค์​มา​ถึง​ฝั่ง​ก็​เห็น​ฝูงชน​เป็น​จำนวน​มาก​รอ​อยู่​ก่อน​แล้ว พระองค์​รู้สึก​สงสาร เพราะ​พวก​เขา​เหมือน​ฝูงแกะ​ที่​ไม่​มี​ผู้เลี้ยง พระองค์​จึง​เริ่ม​สั่งสอน​พวก​เขา​หลาย​เรื่อง เมื่อ​มัน​เริ่ม​เย็น​มาก พวก​ศิษย์​มา​บอก​พระองค์​ว่า “ที่​นี่​เปลี่ยว​มาก และ​นี่​ก็​เย็น​มาก​แล้ว ส่ง​พวกนี้​กลับ​ไป​เถอะ พวก​เขา​จะ​ได้​เข้า​ไป​ตาม​ชนบท ตาม​หมู่บ้าน​แถวๆ​นี้ และ​ไป​หา​ซื้อ​อะไร​กิน​กัน” แต่​พระองค์​กลับ​ตอบ​ว่า “พวก​คุณ​หา​อะไร​ให้​พวก​เขา​กิน​สิ” พวก​เขา​ก็​ตอบ​ว่า “พวก​เรา​ต้อง​ใช้​ถึง​สองร้อย​เหรียญ​เงิน​ที​เดียว​นะ​ครับ ถึง​จะ​พอ​ซื้อ​อาหาร​มา​เลี้ยง​คน​พวกนี้” พระเยซู​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “ไป​ดู​สิ​ว่า​คุณ​มี​ขนมปัง​อยู่​กี่​ก้อน” เมื่อ​พวก​เขา​รู้​ก็​กลับ​มา​บอก​ว่า “มี​ขนมปัง​ห้า​ก้อน​กับ​ปลา​สอง​ตัว​ครับ” พระองค์​จึง​สั่ง​ให้​พวก​เขา​ไป​จัดการ​ให้​ชาวบ้าน​นั่ง​กัน​เป็น​กลุ่มๆ​บน​พื้นที่​มี​หญ้า​ขึ้น​เขียว​ชอุ่ม​แถว​นั้น พวก​ชาว​บ้าน​นั่ง​กัน​เป็น​กลุ่มๆ กลุ่ม​ละ​หนึ่งร้อย​บ้าง ห้าสิบ​บ้าง แล้ว​พระองค์​หยิบ​ขนมปัง​ห้า​ก้อน​และ​ปลา​สอง​ตัว​ขึ้น​มา มอง​ขึ้น​ไป​บน​สวรรค์​ขอบคุณ​พระเจ้า แล้ว​หัก​ขนมปัง​ส่ง​ให้​กับ​พวก​ศิษย์​ไป​แจก​ชาว​บ้าน และ​พระองค์​แบ่ง​ปลา​สอง​ตัว​นั้น​แจก​พวก​เขา​ทุก​คน​ด้วย ทุก​คน​กิน​กัน​จน​อิ่ม แล้ว​พวก​ศิษย์​เก็บ​เศษ​ขนมปัง​และ​ปลา​ที่​เหลือ​ได้​สิบสอง​เข่ง​เต็มๆ นับ​เฉพาะ​ผู้ชาย​ที่​มา​กิน​ได้​ถึง​ห้า​พัน​คน ทันที​หลัง​จาก​ที่​กิน​เสร็จ พระองค์​ให้​พวก​ศิษย์​ลง​เรือ​ข้าม​ฟาก​ไป​ก่อน​ล่วงหน้า ไป​ยัง​เมือง​เบธไซดา ส่วน​พระองค์​ยัง​รอ​ส่ง​ชาว​บ้าน​อยู่ หลัง​จาก​ชาว​บ้าน​กลับ​หมด​แล้ว​พระองค์​ขึ้น​ไป​อธิษฐาน​ที่​บน​ภูเขา ใน​คืน​นั้น​เรือ​ของ​พวก​ศิษย์​ยัง​ลอย​อยู่​กลาง​ทะเลสาบ ส่วน​พระองค์​อยู่​บน​ฝั่ง​เพียง​คน​เดียว พระองค์​เห็น​พวก​ศิษย์​กำลัง​พาย​เรือ​อยู่​ด้วย​ความยาก​ลำบาก​เพราะ​มี​ลม​แรง​มาก​ต้าน​เรือ​ไว้ ระหว่าง​ตี​สาม​ถึง​หก​โมง​เช้า​นั้น​พระองค์​เดิน​บน​น้ำ​มา​หา​พวก​เขา และ​ทำ​ท่า​เหมือน​จะ​เดิน​ผ่าน​ไป เมื่อ​พวก​ศิษย์​เห็น​พระองค์​เดิน​อยู่​บน​น้ำ ก็​คิด​ว่า​เป็น​ผี เลย​ร้อง​ตะโกน​กัน​ลั่น เพราะ​ตกใจ​กลัว​มาก แต่​ใน​ทันใดนั้น พระองค์​ก็​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “ไม่​ต้อง​ตกใจ เรา​เอง ไม่​ต้อง​กลัว” จาก​นั้น​พระองค์​ก็​ขึ้น​ไป​อยู่​บน​เรือ​กับ​พวก​เขา แล้ว​ลม​ก็​สงบลง พวก​เขา​ประหลาดใจ​มาก เพราะ​พวก​เขา​ยัง​มี​ใจ​ที่​แข็งกระด้าง​อยู่ จึง​ยัง​ไม่​เข้าใจ​ถึง​การอัศจรรย์​ที่​พระองค์​เพิ่ง​ทำ​ไป​กับ​ขนมปัง​ห้า​ก้อน​นั้น เมื่อ​ข้าม​ฟาก​มา​ก็​มา​ถึง​ฝั่ง​เมือง​เยนเนซาเรท พวก​ศิษย์​ก็​ผูก​เรือ​ไว้ พอ​ลง​จาก​เรือ ชาว​บ้าน​ก็​จำ​พระองค์​ได้ พวก​เขา​วิ่ง​ไป​บอก​คน​อื่นๆ​ทั่ว​บริเวณ​นั้น และ​หาม​คน​ป่วย​ใส่​แคร่​มา​หา​พระองค์ ไม่​ว่า​พระองค์​จะ​อยู่​ที่​ไหน​ก็​ตาม ไม่ว่า​พระองค์​จะ​เข้า​ไป​ใน​หมู่บ้าน หรือ​ใน​เมือง หรือ​ใน​ชนบท ชาว​บ้าน​ก็​จะ​นำ​คน​ป่วย​มา​วาง​ไว้​ที่​ตลาด และ​พวก​คน​ป่วย​ต่าง​อ้อนวอน​ขอ​แค่​แตะ​พู่​ที่​ชาย​เสื้อคลุม​ของ​พระองค์ และ​ทุก​คน​ที่​ได้​แตะ​ก็​หาย​กัน​หมด

มาระโก 6:6-56 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

และพระองค์ประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ แล้วพระองค์จึงเสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วทรงใช้พวกเขาออกไปเป็นคู่ๆ และประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาขับผีร้ายออกได้ พระองค์ตรัสกำชับพวกเขาไม่ให้เอาอะไรไปใช้ตามทาง เว้นแต่ไม้เท้า ไม่ให้เอาอาหารหรือย่าม หรือเงินใส่เข็มขัดไป แต่ให้สวมรองเท้าและไม่ให้สวมเสื้อสองตัว แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “เมื่อเข้าอาศัยในบ้านไม่ว่าที่ไหน ให้อาศัยในบ้านนั้นจนกว่าจะออกจากเมืองนั้น ถ้าที่ไหนไม่ต้อนรับและไม่ฟังพวกท่าน เมื่อจะออกจากที่นั่น จงสะบัดผงคลีใต้ฝ่าเท้าของพวกท่านออก ส่อให้เห็นความผิดของพวกเขา” พวกสาวกก็ออกไปประกาศให้ทุกคนกลับใจใหม่ พวกเขาขับผีออกหลายตน และเอาน้ำมันชโลมคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค กษัตริย์เฮโรดทรงทราบเรื่องของพระองค์ เพราะว่าพระนามของพระเยซูเป็นที่เลื่องลือ บางคนพูดว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว เพราะเหตุนี้เขาถึงทำการอัศจรรย์ได้” แต่บางคนว่า “เขาเป็นเอลียาห์” ส่วนคนอื่นๆ ว่า “เขาเป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะในอดีต” เมื่อเฮโรดทรงได้ยินจึงตรัสว่า “ยอห์นคนที่เราตัดศีรษะเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว” เพราะว่าเฮโรดทรงใช้คนไปจับยอห์นมาล่ามโซ่ขังคุกไว้เพื่อเห็นแก่นางเฮโรเดียสชายาของฟีลิปพระอนุชาของพระองค์ เนื่องจากเฮโรดอภิเษกสมรสกับนาง เพราะยอห์นเคยทูลเฮโรดว่า “ท่านไม่มีสิทธิ์รับชายาของพระอนุชามาเป็นพระชายาของตัวเอง” นางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์นและปรารถนาจะประหารท่านเสีย แต่ประหารไม่ได้ เพราะเฮโรดทรงเกรงกลัวยอห์น เนื่องจากทรงทราบว่าท่านเป็นคนชอบธรรม และบริสุทธิ์ เฮโรดจึงทรงปกป้องท่านไว้ เมื่อเฮโรดทรงได้ยินคำสั่งสอนของท่านก็ทรงฉงนสนเท่ห์ แต่ก็ยังทรงยินดีที่จะฟัง อยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสเหมาะ คือเป็นวันฉลองการประสูติของเฮโรด เฮโรดทรงจัดงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และคนสำคัญๆ ทั้งหลายในแคว้นกาลิลี เมื่อบุตรีของเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้กษัตริย์เฮโรดและแขกทั้งปวงชอบใจ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวว่า “เจ้าจะขอสิ่งใดเราจะให้สิ่งนั้น” และกษัตริย์ทรงปฏิญาณว่า “เจ้าจะขอสิ่งใดๆ ก็ตาม เราจะให้สิ่งนั้นแก่เจ้าจนถึงกึ่งราชสมบัติ” นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขอสิ่งใดดี?” มารดาจึงตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเถิด” นางจึงรีบเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ทันทีทูลว่า “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เลยเพคะ” กษัตริย์ก็ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะทรงปฏิญาณไว้แล้ว และเพราะเห็นแก่หน้าแขกจึงขัดไม่ได้ กษัตริย์จึงรับสั่งให้เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที เพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก แล้วใส่ถาดมาให้หญิงสาว หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้แก่มารดาของตน เมื่อพวกศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง ก็มารับศพของท่านไปฝังไว้ในอุโมงค์ พวกอัครทูตมาห้อมล้อมพระเยซูและทูลถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำและสั่งสอน แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับพวกสาวกไปยังที่สงบตามลำพัง ขณะที่ไปนั้นมีคนจำนวนมากเห็นและจำได้ จึงพากันออกจากเมืองต่างๆ วิ่งไปถึงที่หมายล่วงหน้าก่อนพวกของพระองค์ เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้วก็ทอดพระเนตรเห็นมหาชน และพระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายประการ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะค่ำแล้ว พวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเถิด พวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารรับประทานตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่แถบนี้” แต่พระองค์ตรัสตอบพวกสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ใช้เงินสองร้อยเดนาริอันไปซื้ออาหารให้พวกเขารับประทานหรือ?” พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน? ไปดูซิ” เมื่อทราบแล้วพวกเขาจึงทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์จึงตรัสสั่งพวกเขาให้จัดคนทั้งหลายนั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ ประชาชนก็นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ เมื่อขอพระพรแล้วก็ทรงหักขนมปังเหล่านั้นให้พวกสาวกเอาไปแจกให้กับคนทั้งหลาย ส่วนปลาสองตัวนั้นพระองค์ก็ทรงแบ่งให้โดยทั่วกัน ทุกคนจึงได้กินจนอิ่ม ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้น พวกเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม จำนวนคนที่รับประทานขนมปังเหล่านั้นมีผู้ชายห้าพันคน แล้วพระองค์ตรัสสั่งให้พวกสาวกลงเรือทันทีและข้ามไปยังเมืองเบธไซดาก่อน ระหว่างที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชนกลับบ้าน หลังจากพระองค์ทรงลาพวกเขาแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานที่นั่น เมื่อค่ำลง เรือของพวกสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์ประทับบนฝั่งแต่ผู้เดียว แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกสาวกกำลังตีกรรเชียงด้วยความลำบากเพราะทวนลมอยู่ พอถึงเวลายามที่สี่พระองค์ทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปหาพวกเขา และพระองค์ทรงดำเนินเหมือนจะผ่านพวกเขาไป เมื่อพวกสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล พวกเขาคิดว่าเป็นผี แล้วพากันร้องเสียงดัง เพราะว่าทุกคนเห็นแล้วก็กลัว แต่ในทันใดนั้น พระองค์แย้มพระโอษฐ์ตรัสกับพวกเขาว่า “ทำใจดีๆ เถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปหาพวกเขาบนเรือแล้วลมก็สงบลง พวกสาวกก็ประหลาดใจเหลือที่จะกล่าว เพราะว่าพวกเขาเองยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปังนั้น เนื่องจากใจของพวกเขายังแข็งกระด้างอยู่ หลังจากข้ามฟากไป ก็จอดเรือที่แขวงเยนเนซาเรท เมื่อขึ้นจากเรือแล้วคนทั้งหลายก็จำพระองค์ได้ทันที พวกเขารีบไปทั่วแว่นแคว้นและเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่ซึ่งพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน ในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท ผู้คนก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางกลางตลาด และทูลขออนุญาตจากพระองค์ที่จะได้แตะต้องแม้เพียงชายฉลองพระองค์ และทุกคนที่แตะต้องก็หายป่วย

มาระโก 6:6-56 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

พระองค์​ก็​ประหลาดพระทัยเพราะเขาไม่​มี​ความเชื่อ แล​้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ พระองค์​ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล​้วทรงเริ่มใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่​ๆ ทรงประทานอำนาจให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และตรัสกำชับเขาไม่​ให้​เอาอะไรไปใช้ตามทางเว้นแต่​ไม้​เท​้าสิ่งเดียว ห้ามมิ​ให้​เอาอาหาร หรือย่าม หรือหาสตางค์​ใส่​ไถ้​ไป แต่​ให้​สวมรองเท้าและไม่​ให้​สวมเสื้อสองตัว แล​้วพระองค์ตรั​สส​ั่งเขาว่า “ถ้าไปแห่งใด เมื่อเข้าอาศัยในเรือนไหน ก็​อาศัยในเรือนนั้นจนกว่าจะไปจากที่​นั่น และถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับไม่ฟังท่านทั้งหลาย เมื่อจะไปจากที่นั่นจงสะบัดผงคลี​ใต้​ฝ่าเท้าของท่านออกเป็นสักขีพยานต่อเขา เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น” ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ เขาได้ขับผี​ให้​ออกเสียหลายผี และได้เอาน้ำมันชโลมคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค ฝ่ายกษั​ตริ​ย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องของพระองค์ (เพราะว่าพระนามของพระองค์​ได้​เลื่องลือไป) แล​้​วท​่านตรั​สว​่า “ยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุ​ฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์​ได้​” แต่​คนอื่​นว​่า “เป็นเอลียาห์” และคนอื่นๆว่า “เป็นศาสดาพยากรณ์คนหนึ่งหรือเหมือนคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” ฝ่ายเฮโรดเมื่อทรงได้ยินแล้วจึงตรั​สว​่า “คือยอห์นนั้นเองที่เราได้ตัดศีรษะเสีย ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตาย” ด้วยว่าเฮโรดได้​ใช้​คนไปจับยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิ​ปน​้องชายของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน เพราะยอห์นได้เคยทูลเฮโรดว่า “ท่านผิดพระราชบัญญั​ติ​ที่​รับภรรยาของน้องชายมาเป็นภรรยาของตน” นางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์นและปรารถนาจะฆ่าท่านเสียแต่ฆ่าไม่​ได้ เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นด้วยรู้​ว่า ท่านเป็นคนชอบธรรมและบริ​สุทธิ​์จึงได้ป้องกันท่านไว้ เมื่อเฮโรดได้ยินคำสั่งสอนของท่านก็​ปฏิบัติ​ตามหลายสิ่งและยินดีรับฟังท่าน ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็​นว​ันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดให้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้​ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี เมื่​อบ​ุตรสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้​เฮโรดและแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่ด้วยกันนั้นชอบใจ กษัตริย์​จึงตรัสกับหญิงสาวนั้​นว​่า “เธอจะขอสิ่งใดจากเรา เราก็จะให้​สิ​่งนั้นแก่​เธอ​” และกษั​ตริ​ย์จึงทรงปฏิญาณตัวไว้กับหญิงสาวนั้​นว​่า “เธอจะขอสิ่งใดๆจากเรา เราจะให้​สิ​่งนั้นแก่เธอจนถึงครึ่งราชสมบั​ติ​ของเรา” หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามมารดาว่า “ฉันจะขอสิ่งใดดี” มารดาจึงตอบว่า “จงขอศีรษะยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาเถิด” ในทันใดนั้นหญิงสาวก็​รี​บเข้าไปเฝ้ากษั​ตริ​ย์ทูลว่า “หม่อมฉันขอศีรษะยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ” กษัตริย์​ทรงเป็นทุกข์​นัก แต่​เพราะเหตุ​ได้​ทรงปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่​หน​้าแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่​ด้วยกัน ก็​ปฏิเสธไม่​ได้ ในขณะนั้นกษั​ตริ​ย์จึงรับสั่งเพชฌฆาตให้ไปตัดศีรษะยอห์นมา เพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก เอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้​แก่​หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้​นก​็เอาไปให้​แก่​มารดาของตน เมื่อสาวกของยอห์​นร​ู้​เหตุ​แล้ว ก็​พากันมารับเอาศพของท่านไปฝังไว้ในอุโมงค์ ฝ่ายอัครสาวกพากันมาหาพระเยซู และได้ทูลถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำและได้​สั่งสอน แล​้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายจงไปหาที่​เปล​ี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมาเป็​นอ​ันมากจนไม่​มี​เวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ พระองค์​จึงเสด็จลงเรื​อก​ับสาวกไปยังที่​เปล​ี่ยวแต่​ลำพัง คนเป็​นอ​ันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และมีหลายคนจำพระองค์​ได้ จึงพากั​นว​ิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึ​งก​่อน และพากันเฝ้าพระองค์ ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็​ทอดพระเนตรเห็นประชาชนหมู่​ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่​มี​ผู้​เลี้ยง พระองค์​จึงเริ่มสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ เมื่อเวลาล่วงไปมากแล้ว พวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์​ว่า “​ที่นี่​กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว ขอให้​ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่บ้านนาที่​อยู่​แถบนี้ เพราะเขาไม่​มี​อะไรที่จะรับประทานเลย” แต่​พระองค์​ตรัสตอบแก่​เหล่​าสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลพระองค์​ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอันให้เขารับประทานหรือ” พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังอยู่​กี่​ก้อน ไปดู​ซิ​” เมื่อรู้​แล​้วเขาจึงทูลว่า “​มี​ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งพวกสาวกให้จัดคนทั้งปวงให้นั่งรวมกั​นที​่หญ้าสดเป็นหมู่​ๆ ประชาชนก็​ได้​นั่งรวมกันเป็นหมู่​ๆ หมู่​ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบบ้าง เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตั​วน​ั้นแล้ว ก็​แหงนพระพักตร์​ดู​ฟ้าสวรรค์​ขอบพระคุณ แล​้วหักขนมปังนั้นให้​เหล่​าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตั​วน​ั้นพระองค์ทรงแบ่งให้ทั่​วก​ันด้วย เขาได้กิ​นอ​ิ่​มท​ุกคน ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้นเขาเก็บไว้​ได้​ถึงสิบสองกระบุงเต็ม และในจำนวนคนที่​ได้​รับประทานขนมปังนั้น มี​ผู้​ชายประมาณห้าพันคน และทันใดนั้นพระองค์​ได้​ตรัสให้​เหล่​าสาวกของพระองค์ลงในเรือข้ามไปยั​งอ​ีกฟากหนึ่งถึงเมืองเบธไซดาก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้​วก​็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่​นั่น เมื่อค่ำลงแล้ว เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์​อยู่​บนฝั่งแต่​ผู้เดียว แล​้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์​จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี แล​้วพากั​นร​้องอึงไป เพราะว่าทุกคนเห็นพระองค์​แล้วก็​กลัว แต่​ในทันใดนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “จงชื่นใจเถิด คือเราเอง อย่ากลัวเลย” พระองค์​จึงเสด็จขึ้นไปหาเขาบนเรือ แล​้วลมก็เงียบลง เหล่​าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่​เข้าใจ เพราะใจเขายังแข็งกระด้าง ครั้นข้ามฟากไปแล้ว เขาจอดเรือที่​แคว​้นเยนเนซาเรท เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว คนทั้งปวงก็จำพระองค์​ได้​ทันที และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เริ่มเอาคนเจ็บป่วยใส่​แคร่​หามมายังที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์​อยู่​นั้น แล​้วพระองค์เสด็จไปที่ไหนๆ ไม่​ว่าในหมู่​บ้าน ในตำบล หรือในเมือง เขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามถนน ทูลอ้อนวอนขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์ และผู้ใดได้แตะต้องพระองค์​แล้วก็​หายป่วยทุกคน

มาระโก 6:6-56 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

และพระองค์ทรงแปลกใจที่พวกเขาขาดความเชื่อ จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพร้อมทั้งประทานฤทธิ์อำนาจเหนือวิญญาณชั่วให้แก่พวกเขา พระองค์ทรงกำชับว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม หรือเงินติดตัวไป ให้สวมรองเท้าแต่ไม่ต้องเตรียมเสื้ออีกตัวหนึ่ง เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะไปจากเมืองนั้น หากที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่รับฟัง เมื่อจะไปจากที่นั่นก็จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานปรักปรำเขา” เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาให้ประชาชนกลับใจใหม่ พวกเขาขับผีออกหลายตนและเจิมคนป่วยมากมายด้วยน้ำมันและรักษาพวกเขาให้หาย กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องของพระเยซูเพราะชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่ว บางคนพูดว่าพระเยซูคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นเขาจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้ บางคนก็ว่า “เขาคือเอลียาห์” และยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่า “เขาคือผู้เผยพระวจนะเหมือนเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีต” แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “นี่คือยอห์นที่เราสั่งให้ตัดศีรษะไป เขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว!” เพราะเฮโรดเองสั่งให้จับยอห์นมาล่ามโซ่ขังไว้ในคุกด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตนซึ่งเฮโรดได้นางมาเป็นภรรยา เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาน้องสะใภ้มาเป็นภรรยา” ดังนั้นนางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์นและอยากจะฆ่าเขาแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นและคอยปกป้องเขาเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์ เมื่อเฮโรดได้ฟังยอห์นพูดก็งุนงงสงสัยยิ่งนักแต่ก็ยังอยากฟัง ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในงานฉลองวันเกิดเฮโรดจัดงานเลี้ยงขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาคนสำคัญๆ ในแคว้นกาลิลี เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำก็เป็นที่ถูกใจเฮโรดกับแขกเหรื่อยิ่งนัก กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ” และสัญญาโดยปฏิญาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราก็จะให้ทั้งนั้นจนถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักร” นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี?” มารดาบอกว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ” นางรีบมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เดี๋ยวนี้เถิด” กษัตริย์เฮโรดเป็นทุกข์ยิ่งนักแต่ก็ขัดไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ จึงบัญชาในทันทีทันใดให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นมา เขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก แล้วนำศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงนั้นและนางเอาไปให้มารดา เมื่อศิษย์ของยอห์นทราบข่าวจึงมารับศพเขาไปฝังในอุโมงค์ ฝ่ายอัครทูตมาเข้าเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอน เนื่องจากขณะนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด” ดังนั้นพระองค์กับเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบเงียบ แต่หลายคนเห็นพวกเขาก็จำได้และพากันวิ่งจากเมืองต่างๆ ไปถึงที่นั่นก่อน เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือและเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง พอตกเย็นเหล่าสาวกจึงมาทูลว่า “ที่นี่ห่างไกลนักและตกเย็นแล้ว ขอทรงให้ประชาชนเหล่านี้ไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ซื้อหาอาหารกินกันเองตามหมู่บ้านรอบๆ” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เหล่าสาวกทูลว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่ากับค่าจ้างคนงานคนหนึ่งถึงแปดเดือนทีเดียว! เราต้องใช้เงินมากขนาดนั้นไปซื้อหาอาหารมาให้เขากินหรือ?” พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? ไปดูซิ” เมื่อรู้แล้วพวกเขาจึงกลับมาทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” แล้วพระเยซูตรัสสั่งสาวกให้ไปบอกประชาชนให้นั่งกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าเขียวขจี พวกเขาก็นั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์แล้วขอบพระคุณพระเจ้าและหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก พวกเขาก็แจกจ่ายให้ประชาชน พระองค์ยังทรงแบ่งปลาสองตัวให้คนทั้งปวงโดยทั่วกันด้วย พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำ เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม จำนวนผู้ชายที่รับประทานอาหารนั้นมีห้าพันคน แล้วพระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปยังเมืองเบธไซดาทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน หลังจากแยกจากพวกเขาแล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน เมื่อค่ำลง เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลสาบและพระองค์ประทับอยู่ที่ริมฝั่งแต่ผู้เดียว ทรงเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงทวนลมที่ปะทะอยู่ ในช่วงใกล้รุ่งพระเยซูก็ทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา พระองค์กำลังจะเสด็จเลยพวกเขาไป แต่เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดำเนินมาบนทะเลสาบก็คิดว่าเป็นผีจึงร้องลั่น เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัว ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” แล้วเสด็จขึ้นเรือของพวกเขา ลมก็สงบ พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง เมื่อข้ามฟากมาแล้วพวกเขาก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระเยซูได้ คนเหล่านั้นจึงวิ่งไปทั่วแคว้นนำบรรดาคนเจ็บป่วยวางบนที่นอนและหามไปยังทุกที่ที่ได้ยินว่าพระองค์เสด็จไป ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ทั้งในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท พวกเขาจะหามคนป่วยมาที่ย่านชุมชน แล้วทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะต้องแม้แต่เพียงชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย

มาระโก 6:6-56 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

พระ​องค์​แปลกใจ​ใน​ความ​ไม่​เชื่อ​ของ​พวก​เขา ครั้น​แล้ว​พระ​เยซู​เที่ยว​สั่งสอน​ไป​ตาม​หมู่บ้าน​ต่างๆ โดย​รอบ พระ​องค์​เรียก​สาวก​ทั้ง​สิบ​สอง​มา แล้ว​ใช้​ให้​เขา​ออก​ไป​กัน​เป็น​คู่ อีกทั้ง​ได้​ให้​พวก​เขา​มี​สิทธิ​อำนาจ​เหนือ​วิญญาณ​ร้าย พระ​องค์​สั่ง​พวก​เขา​ว่า “ไม่​ต้อง​นำ​ของ​ติดตัว​ใน​การ​เดิน​ทาง​เลย นอกจาก​ไม้เท้า​เท่า​นั้น ไม่​เอา​อาหาร​หรือ​ย่าม ไม่​เอา​เงินทอง​ติด​กระเป๋า​ไป​ด้วย เพียงแต่​สวม​รองเท้า และ​อย่า​นำ​เสื้อ​สำรอง​ตัวใน​ไป​ด้วย” พระ​องค์​บอก​พวก​เขา​ว่า “เมื่อ​เจ้า​เข้าไป​ใน​บ้าน​ใคร​ก็ตาม จง​อยู่​ที่นั่น​จน​กว่า​จะ​ออก​ไป​จาก​เมือง​นั้น สถาน​ที่​ใด​ที่​ไม่​ยอม​ต้อนรับ​หรือ​ฟัง​เจ้า เวลา​เจ้า​ออกไป​จาก​ที่นั่น​ก็​จง​สลัด​ฝุ่น​ออกจาก​เท้า​เพื่อ​แสดง​ถึง​ความ​ผิด​ของ​เขา” ดังนั้น​พวก​เขา​จึง​ออกไป​ประกาศ​ว่า ผู้​คน​ควร​จะ​กลับใจ พวก​เขา​ขับไล่​มาร​จำนวน​มาก​ออกจาก​ผู้​คน และ​ใช้​น้ำมัน​เจิม​บรรดา​คนป่วย​และ​รักษา​พวก​เขา​ให้​หาย​ขาด กษัตริย์​เฮโรด​ได้ยิน​เรื่อง​ดัง​กล่าว​ก็​เพราะ​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​เป็นที่​รู้จัก บาง​คน​พูดกัน​ว่า “ยอห์น​ผู้ให้​บัพติศมา​ฟื้น​คืน​ชีวิต​จาก​ความ​ตาย​จึง​เป็น​เหตุ​ให้​ท่าน​สำแดง​สิ่ง​อัศจรรย์​ต่างๆ ได้” แต่​คนอื่นๆ พูดกัน​ว่า “ท่าน​เป็น​เอลียาห์” บ้าง​พูด​ว่า “เป็น​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า เช่นเดียว​กับ​บรรดา​ผู้เผย​คำกล่าว​คนอื่นๆ ใน​อดีต” แต่​เมื่อ​เฮโรด​ได้ยิน​ดังนั้น​จึง​กล่าว​ว่า “เขา​คือ​ยอห์น​ที่​เรา​สั่ง​ตัดหัว เขา​ได้​ฟื้น​คืน​ชีวิต​จาก​ความ​ตาย” เฮโรด​เอง​เป็น​ผู้​ที่​ใช้​ให้​คน​จับกุม​ยอห์น​และ​มัด​ไว้​ใน​คุก​เพราะ​เห็น​แก่​นาง​เฮโรเดียส​ผู้​เป็น​ภรรยา​ของ​ฟีลิป​น้อง​ชาย​ของ​ตน เนื่อง​จาก​เฮโรด​ได้​สมรส​กับ​นาง เป็น​เพราะ​ยอห์น​ได้​บอก​เฮโรด​ว่า “เป็น​การ​ผิด​กฎ​ที่​ท่าน​จะ​เอา​ภรรยา​ของ​น้อง​มา​เป็น​ภรรยา​ของ​ตน” นาง​เฮโรเดียส​จึง​ผูกใจ​เจ็บ​ต่อ​ยอห์น และ​ต้องการ​ชีวิต​ของ​ท่าน แต่​ก็​ทำ​ไม่​ได้ เนื่อง​จาก​เฮโรด​กลัว​ยอห์น​เพราะ​รู้​ว่า ท่าน​เป็น​คน​มี​ความ​ชอบธรรม​และ​เป็น​คน​บริสุทธิ์ จึง​ได้​ป้องกัน​ตัว​ท่าน​ไว้ ฉะนั้น​เมื่อ​เฮโรด​ได้ยิน​ยอห์น​สั่งสอน ท่าน​ก็​รู้สึก​สับสน​งุนงง​ยิ่ง​นัก แต่​ก็​พอใจ​ที่​จะ​ฟัง แล้ว​โอกาส​ก็​มา​ถึง คือ​เฮโรด​จัด​งานเลี้ยง​วันเกิด​ของ​ตน​โดย​เชิญ​พวก​ข้าราช​สำนัก นาย​ทหาร​ชั้น​เอก และ​ผู้​นำ​ทั้ง​ปวง​ใน​แคว้น​กาลิลี เมื่อ​บุตร​สาว​ของ​นาง​เฮโรเดียส​เอง​มา​เต้นระบำ ก็​ทำ​ให้​เฮโรด​และ​แขก​ใน​งาน​พอใจ กษัตริย์​จึง​กล่าว​กับ​หญิง​สาว​นั้น​ว่า “จะ​ขอ​สิ่งใด​จาก​เรา​ก็​ได้ แล้ว​เรา​จะ​ให้” กษัตริย์​ได้​สัญญา​เธอ​ว่า “อะไร​ก็​ตาม​ที่​เจ้า​ขอ​จาก​เรา เรา​จะ​ให้​แก่​เจ้า แม้​จะ​ถึง​ครึ่ง​หนึ่ง​ของ​ราช​อาณาจักร​ของ​เรา” ดังนั้น​เธอ​จึง​ออกไป​ถาม​มารดา​ของ​เธอ​ว่า “จะ​ขอ​สิ่ง​ใด​ดี” มารดา​ตอบ​ว่า “ศีรษะ​ของ​ยอห์น​ผู้​ให้​บัพติศมา” เธอ​รีบ​เข้า​มา​เฝ้า​กษัตริย์​และ​ขอ​ว่า “ดิฉัน​อยาก​ได้​ศีรษะ​ของ​ยอห์น​ผู้​ให้​บัพติศมา​บน​ถาด​เดี๋ยวนี้” ถึง​แม้​ว่า​กษัตริย์​เสียใจ​มาก แต่​เป็น​เพราะ​คำ​มั่น​สัญญา​ของ​ท่าน​และ​แขก​ใน​งาน ท่าน​จึง​ปฏิเสธ​เธอ​ไม่​ได้ กษัตริย์​จึง​สั่ง​เพชฌฆาต​ให้​ไป​เอา​ศีรษะ​ของ​ยอห์น​มา​ทันที โดยเขา​ก็​ไป​ตัด​ศีรษะ​ของ​ยอห์น​ใน​คุก และ​นำ​ศีรษะ​ของ​ท่าน​วาง​บน​ถาด​มา​ให้​หญิง​สาว และ​เธอ​ก็​ให้​มารดา​ไป เมื่อ​เหล่า​สาวก​ของ​ยอห์น​ได้ยิน​เรื่อง​นี้ พวก​เขา​จึง​มา​รับ​เอา​ร่าง​ของ​ท่าน​ไป​วาง​ไว้ใน​ถ้ำ​เก็บ​ศพ บรรดา​อัครทูต​ชุมนุม​ร่วม​กับ​พระ​เยซู และ​รายงาน​พระ​องค์​ถึง​สิ่ง​ทั้ง​ปวง​ที่​พวก​เขา​ได้​แสดง​และ​สั่งสอน พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “ไป​หา​ที่​ร้าง​เพื่อ​พัก​ตาม​ลำพัง​เถอะ เรา​จะ​ได้​พักผ่อน​กัน​หน่อย” ด้วย​เหตุ​ว่า​มี​ผู้​คน​ไป​มา​มาก จน​พวก​เขา​ไม่​มี​แม้​กระทั่ง​เวลา​ที่​จะ​รับประทาน​อาหาร​กัน พวก​เขา​จึง​ออกเรือ​กัน​ไป​ยัง​ที่​ร้าง​กัน​ตาม​ลำพัง คน​จำนวน​มาก​ได้​เห็น​พระ​เยซู​และ​อัครทูต​ออกเรือ​กัน​ไป​ก็​จำได้ จึง​พา​กัน​วิ่ง​ออก​จาก​เมือง​ต่างๆ และ​ไป​ถึง​ที่​หมาย​ก่อน เมื่อ​พระ​องค์​ขึ้น​ฝั่ง​ก็​เห็น​มหา​ชน และ​เกิด​ความ​สงสาร​เพราะ​ว่า​พวก​เขา​เป็น​เสมือน​ฝูง​แกะ​ที่​ปราศจาก​ผู้​เลี้ยงดู ครั้น​แล้ว​พระ​องค์​ก็​เริ่ม​สั่งสอน​พวก​เขา​หลาย​สิ่ง​หลาย​อย่าง ขณะ​นั้น​เป็น​เวลา​บ่าย เหล่า​สาวก​จึง​มา​บอก​พระ​องค์​ว่า “ที่นี่​เป็น​ที่​กันดาร​และ​ก็​เป็น​เวลา​บ่าย​มาก​แล้ว ปล่อย​ให้​พวก​เขา​ไป​เถิด จะ​ได้​เข้า​ไป​กัน​ตาม​ชนบท​และ​หมู่บ้าน​ใกล้เคียง​หา​ซื้อ​อาหาร​รับประทาน” แต่​พระ​องค์​กล่าว​ตอบ​พวก​เขา​ว่า “พวก​เจ้า​เอา​อาหาร​มา​ให้​เขา​เถิด” พวก​เขา​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “ให้​พวก​เรา​ใช้ 200 เหรียญ​เดนาริอัน​ไป​ซื้อ​อาหาร​ให้​เขา​รับประทาน​กัน​หรือ” พระ​องค์​กล่าว​ว่า “ดูสิ​ว่า​เจ้า​มี​ขนมปัง​อยู่​กี่​ก้อน” เมื่อ​พวก​เขา​ทราบ​แล้ว​ก็​พูด​ว่า “5 ก้อน​กับ​ปลา 2 ตัว” พระ​องค์​สั่ง​ทุก​คน​ให้​นั่ง​รวม​กัน​เป็น​กลุ่ม​บน​พื้น​หญ้า​อัน​เขียว​ชอุ่ม พวก​เขา​จึง​นั่ง​รวม​กัน​เป็น​กลุ่มๆ ละ 100 คน​บ้าง 50 บ้าง พระ​องค์​หยิบ​ขนมปัง 5 ก้อน​กับ​ปลา 2 ตัว แล้ว​แหงนหน้า​ขึ้น​สู่​สวรรค์ กล่าว​ขอบคุณ​พระ​เจ้า​และ​บิ​ขนมปัง​ยื่น​ให้​แก่​เหล่า​สาวก​เพื่อ​แจก​แก่​ผู้​คน และ​พระ​องค์​แบ่ง​ปลา 2 ตัว​ให้ได้​ทั่ว​กัน​ทุก​คน พวก​เขา​ทุก​คน​ได้​รับประทาน​กัน​จน​อิ่มหนำ มี​คน​เก็บ​ขนมปัง​และ​ปลา​ที่​เหลือ​ได้ 12 ตะกร้า​เต็มๆ จำนวน​ผู้​ชาย​ที่​รับประทาน​ขนมปัง​มี 5,000 คน ใน​ทันใด​นั้น พระ​องค์​ก็​สั่ง​เหล่า​สาวก​ให้​ลงเรือ​ออกไป​ก่อน ข้าม​ฟาก​ไป​ยัง​เมือง​เบธไซดา ขณะ​ที่​พระ​องค์​บอก​ฝูง​ชน​ให้​กลับ​ไป หลัง​จาก​ที่​ได้​ร่ำลา​กับ​พวก​เขา​แล้ว พระ​องค์​จึง​ขึ้น​ไป​บน​ภูเขา​เพื่อ​อธิษฐาน ครั้น​เย็น​ลง เรือ​ยัง​ล่อง​อยู่​ใน​ทะเลสาบ และ​พระ​องค์​อยู่​บน​ฝั่ง​แต่​ผู้เดียว พระ​องค์​เห็น​พวก​เขา​ตี​กรรเชียง​กัน​อย่าง​ขะมัก​เขม้น​เพราะ​ทวนลม​อยู่ ระหว่าง​ตี​สาม​ถึง​หก​โมง​เช้า พระ​องค์​เดิน​บน​ผิวน้ำ​ใน​ทะเลสาบ​ไป​หา​พวก​เขา และ​พระ​องค์​ตั้งใจ​ที่​จะ​เดิน​ผ่าน​พวก​เขา​ไป แต่​เมื่อ​พวก​เขา​เห็น​พระ​องค์​เดิน​บน​ผิวน้ำ​ก็​สำคัญ​ว่า​เป็น​ผี จึง​ส่งเสียง​ร้อง เพราะ​ทุก​คน​เห็น​พระ​องค์​และ​ตกใจ แต่​พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ทันที​ว่า “ทำใจ​ให้​ดี​ไว้ นี่​เราเอง อย่า​กลัว​เลย” แล้ว​พระ​องค์​ก็​ลงเรือ​ไป​กับ​พวก​เขา ลม​หยุด​พัด​และ​พวก​เขา​ก็​อัศจรรย์ใจ​ยิ่งนัก เพราะ​ว่า​เขา​เหล่า​นั้น​ยัง​ไม่​เข้าใจ​เรื่อง​ขนมปัง และ​ใจ​ของ​พวก​เขา​ยัง​คง​แข็ง​กระด้าง ครั้น​ข้าม​ฟาก​ไป​แล้ว​ก็​ขึ้น​ฝั่ง​ที่​แขวง​เยนเนซาเรท​แล้ว​ผูก​เรือ​ไว้ เมื่อ​ขึ้น​จาก​เรือ​แล้ว​ผู้​คน​ก็​จำ​พระ​องค์​ได้ พวก​เขา​วิ่ง​กัน​ไป​ทั่ว​แว่นแคว้น และ​เมื่อ​ทราบ​ว่า​พระ​องค์​อยู่​ที่​ไหน ก็​พา​กัน​หาม​พวก​คนป่วย​บน​เปลหาม​ไป​หา​พระ​องค์ พระ​องค์​เดิน​ไป​ตาม​หมู่บ้าน ใน​เมือง หรือ​ตาม​ชานเมือง​ที่​ใด​ก็​ตาม พวก​เขา​จะ​วาง​คนป่วย​ไว้​ที่​ย่าน​ตลาด และ​ขอ​ให้​พวก​เขา​เพียงแต่​แตะ​ชาย​เสื้อ​ตัว​นอก​ของ​พระ​องค์ ทุก​คน​ที่​กระทำ​อย่าง​นั้น​แล้ว​ก็​หายขาด​จาก​โรค