มัทธิว 27:15-56
มัทธิว 27:15-56 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ในเทศกาลนั้น เจ้าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นมีนักโทษสำคัญคนหนึ่งชื่อบารับบัส เมื่อคนทั้งปวงชุมนุมกันแล้ว ปีลาตได้ถามเขาว่า <<เจ้าทั้งหลายปรารถนาให้ปล่อยผู้ใด บารับบัส หรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์>> เพราะท่านรู้อยู่แล้ว ว่าเขาได้อายัดพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา ขณะเมื่อปีลาตนั่งว่าราชการอยู่นั้น ภรรยาของท่านได้ใช้คนมาเรียนว่า <<อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย ด้วยว่าวันนี้ดิฉันฝันร้าย ไม่มีความสบายใจเพราะท่านผู้นั้น>> ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ ก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส และให้ประหารพระเยซูเสีย เจ้าเมืองจึงถามเขาว่า <<ในสองคนนี้เจ้าจะให้เราปล่อยคนไหน>> เขาตอบว่า <<บารับบัส>> ปีลาตจึงถามว่า <<ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรแก่พระเยซู ที่เรียกว่าพระคริสต์>> เขาพากันร้องว่า <<ให้ตรึงเสียที่กางเขนเถิด>> เจ้าเมืองถามว่า <<ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด>> แต่เขาทั้งหลายยิ่งร้องว่า <<ให้ตรึงเสียที่กางเขนเถิด>> เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะเกิดวุ่นวายขึ้น ก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน แล้วว่า <<เราไม่มีผิดด้วยเรื่องความตายของคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด>> บรรดาหมู่ชนเรียนว่า <<ให้ความผิดด้วยเรื่องความตายของเขาตกอยู่แก่เรา ทั้งบุตรของเราด้วย>> ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้เขา และเมื่อให้โบยตีพระเยซูแล้วก็มอบให้ตรึงไว้ที่กางเขน พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองไว้ข้างหน้าพระองค์ และเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า <<กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ>> แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้วเขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไป เพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน ครั้นออกไปแล้วได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อมาถึงตำบลหนึ่งที่เรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ เขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย ครั้นตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งปันกัน แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น และเขาได้เอาถ้อยคำข้อหา ที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า <<ผู้นี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว>> คราวนั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง ฝ่ายคนทั้งปวงที่เดินผ่านไปมานั้น ก็กล่าวเหยียดหยามพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า <<เจ้าผู้จะทำลายพระวิหาร และสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด>> พวกมหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า <<เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อถือบ้าง เขาไว้ใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็ให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด ด้วยเขาได้กล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า>> ถึงโจรที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ ก็ยังกล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์เหมือนกัน แล้วก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า <<เอลี เอลี ลามาสะบักธานี>> แปลว่า <<พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย>> บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า <<คนนี้เรียกเอลียาห์>> ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แต่คนอื่นร้องว่า <<อย่าเพ่อก่อน ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่>> ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏแก่คนเป็นอันมาก ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระศพพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อได้เห็นแผ่นดินไหวและการทั้งปวงซึ่งบังเกิดขึ้นนั้น ก็พากันครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงพูดกันว่า <<แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า>> ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระองค์ จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
ในช่วงเทศกาลเป็นธรรมเนียมที่ผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนเลือก ครั้งนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ชื่อเยซูบารับบัส เมื่อประชาชนมารวมตัวกันแล้วปีลาตจึงถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยคนไหน เยซูบารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” เพราะปีลาตรู้ว่าพวกเขาจับพระเยซูมาด้วยความอิจฉา ขณะปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษา ภรรยาของท่านส่งคนมาเรียนท่านว่า “อย่าไปเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์คนนี้เลยเนื่องจากวันนี้ดิฉันฝันร้ายไม่สบายใจมากเพราะท่านผู้นี้” แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสยุยงประชาชนว่าให้พวกเขาขอปีลาตให้ปล่อยบารับบัสและให้ประหารพระเยซู ผู้ว่าการถามว่า “ท่านต้องการให้ปล่อยคนไหนในสองคนนี้?” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” พวกนั้นทั้งหมดพากันร้องว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” ปีลาตถามว่า “ทำไม? เขาทำผิดอะไร?” แต่ทุกคนร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะลุกฮือขึ้น เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนและกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องการตายของชายผู้นี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน!” คนทั้งปวงตอบว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่กับเราและลูกหลานของเราเถิด!” แล้วปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แต่ให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน จากนั้นทหารของผู้ว่าการนำพระเยซูเข้าไปในศาลปรีโทเรียมและระดมทหารทั้งกองมารายล้อมพระองค์ พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออก แล้วเอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ จากนั้นจึงสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร หยิบไม้ใส่พระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าต่อหน้าพระองค์และเยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และเอาไม้นั้นตีพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเยาะเย้ยพระองค์แล้ว ก็ถอดเสื้อนั้นออก เอาเสื้อผ้าของพระองค์เองมาสวมให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน ขณะออกไปก็พบชายคนหนึ่งจากไซรีนชื่อซีโมน พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขนนั้น เมื่อพวกเขามาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา ซึ่งแปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก ก็เอาเหล้าองุ่นผสมน้ำดีมีรสขมมาถวาย พระเยซูทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย เมื่อเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน และพวกเขานั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น เหนือพระเศียรมีข้อหาเขียนติดไว้ว่า “นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว” โจรสองคนถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าพูดสบประมาทพระองค์ และกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงช่วยตัวเองให้รอด! ลงมาจากกางเขนสิถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า!” เช่นเดียวกันพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโส ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล! ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้สิแล้วเราจะเชื่อเขา เขาวางใจในพระเจ้าก็ให้พระเจ้าช่วยเขาตอนนี้สิถ้าพระองค์ยังต้องการเขาอยู่ เพราะเขาพูดว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’ ” พวกโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่นพระองค์ต่างๆ นานาด้วย แล้วเกิดความมืดมัวไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง ราวบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “เขาร้องเรียกเอลียาห์” ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้ส่งให้พระเยซูเสวย คนอื่นๆ พูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่” และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและร่างของวิสุทธิชนหลายคนที่ตายแล้วก็ฟื้นคืนชีวิต พวกเขาออกมาจากอุโมงค์และหลังจากพระเยซูคืนพระชนม์แล้ว พวกเขาก็เข้าสู่นครบริสุทธิ์และปรากฏแก่คนเป็นอันมาก ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเมื่อเห็นแผ่นดินไหวและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตื่นตกใจร้องว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!” ผู้หญิงหลายคนอยู่ที่นั่นเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พวกเขาติดตามพระเยซูมาจากกาลิลีเพื่อคอยปรนนิบัติพระองค์ ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบกับโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยเป็นประเพณีของเจ้าเมืองที่จะให้ประชาชนเลือกปล่อยนักโทษหนึ่งคน ตอนนั้นมีนักโทษอื้อฉาวคนหนึ่งชื่อบารับบัส เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันแล้ว ปีลาตถามพวกเขาว่า “อยากให้เราปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์” ปีลาตรู้ดีว่าที่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสจับพระเยซูส่งมาให้กับเขานั้นมันเกิดจากความอิจฉา ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัดสินคดี ภรรยาของเขาได้ส่งข้อความมาให้เขาว่า “อย่าไปยุ่งกับผู้ชายที่บริสุทธิ์คนนี้เลย เพราะเมื่อคืนฉันฝันร้ายถึงเขา ทำให้ฉันกลุ้มทั้งวัน” แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสได้ยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัส และให้ฆ่าพระเยซู เจ้าเมืองถามประชาชนว่า “จะให้ปล่อยใครดีระหว่างสองคนนี้” ประชาชนตะโกนว่า “บารับบัส” ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้ทำอะไรกับเยซูที่คนเรียกกันว่าพระคริสต์” พวกเขาทุกคนก็ตะโกนว่า “ตรึงมันซะ” ปีลาตถามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไรหรือ” แต่ประชาชนกลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “ตรึงมันซะ” เมื่อปีลาตเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ และเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว เขาจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “เราไม่เกี่ยวกับการตายของชายคนนี้ พวกคุณรับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน” ประชาชนทั้งหมดบอกว่า “พวกเราและลูกๆของเราจะรับผิดชอบต่อการตายของเขาเอง” ปีลาตก็เลยปล่อยบารับบัสให้พวกเขา จากนั้นเขาสั่งให้เฆี่ยนตีพระเยซู และส่งตัวพระองค์ไปให้กับทหารเพื่อเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน ทหารของปีลาตนำตัวพระเยซูเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขา แล้วให้ทหารทั้งกองเข้ามารายล้อมพระองค์ไว้ พวกเขาถอดเสื้อผ้าของพระองค์ แล้วเอาชุดสีแดงมาใส่ให้แทน พวกเขาเอากิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมหัวของพระองค์ และให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา จากนั้นพวกเขาก็แกล้งทำเป็นคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ล้อเลียนพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว จงเจริญ” แล้วก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อมาตีหัวพระองค์ เมื่อล้อเลียนจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ถอดชุดสีแดง ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมให้ และนำตัวพระองค์ไปตรึงที่ไม้กางเขน ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกมา ก็พบชายคนหนึ่งมาจากไซรีนชื่อซีโมน พวกเขาจึงได้บังคับให้ซีโมนแบกไม้กางเขนแทนพระเยซู เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “กลโกธา” ซึ่งหมายถึง “เนินหัวกระโหลก” พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาให้พระองค์ แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้วก็ไม่ยอมดื่ม หลังจากพวกเขาจับพระองค์ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น เขาเขียนคำกล่าวหาติดไว้เหนือหัวพระองค์ว่า “นี่คือเยซู กษัตริย์ของชาวยิว” มีโจรสองคนถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซู ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง คนที่เดินผ่านไปมาต่างส่ายหัว และพูดเยาะเย้ยว่า “อ้าวไหนบอกว่าจะทำลายวิหาร แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวันไง ถ้าแกเป็นลูกของพระเจ้าจริงก็ให้ช่วยชีวิตตัวเอง แล้วลงมาจากไม้กางเขนสิ” นอกจากนี้พวกหัวหน้านักบวช ครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโส ต่างก็พากันพูดเยาะเย้ยพระองค์ว่า “มันช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ามันเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง ให้มันลงมาจากไม้กางเขนเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะเชื่อ มันวางใจในพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการตัวมัน ก็ขอให้พระเจ้าช่วยชีวิตมันเดี๋ยวนี้ เพราะมันพูดว่า ‘เราเป็นลูกของพระเจ้า’” โจรสองคนที่ถูกตรึงไม้กางเขนกับพระองค์ก็พูดจาดูถูกพระองค์เหมือนกัน ตั้งแต่เที่ยงวัน มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง ประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูร้องออกมาเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของลูก พระเจ้าของลูก ทำไมถึงทอดทิ้งลูกไป” เมื่อบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน พวกเขาก็พูดกันว่า “เขากำลังเรียกเอลียาห์” ทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำมาชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวมาเสียบที่ปลายไม้อ้อ แล้วยื่นขึ้นไปให้พระองค์ดื่ม แต่พวกที่เหลือพูดว่า “ให้คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยชีวิตเขาหรือเปล่า” พระเยซูร้องเสียงดังออกมาอีกครั้ง แล้วก็สิ้นใจตาย ในขณะนั้นเอง ม่านภายในวิหารได้ฉีกขาดออกเป็นสองส่วนจากบนลงล่าง เกิดแผ่นดินไหว และก้อนหินแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกอุโมงค์ฝังศพเปิดออก และร่างของประชาชนของพระเจ้าหลายคนที่ตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมา หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ จากนั้นพากันเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม และปรากฏตัวให้ประชาชนจำนวนมากได้เห็น เมื่อนายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ เห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็กลัวมาก ต่างก็พูดว่า “เขาเป็นลูกของพระเจ้าแน่ๆ” มีผู้หญิงหลายคนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ พวกเธอเคยติดตามรับใช้พระเยซูมาตั้งแต่แคว้นกาลิลี ในพวกนั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบกับโยเซฟ และแม่ของยากอบกับยอห์นที่เป็นภรรยาของเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ในช่วงเทศกาล เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่ฝูงชนต้องการ เวลานั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์อยู่รายหนึ่งชื่อบารับบัส เมื่อทุกคนมาประชุมพร้อมกันแล้ว ปีลาตก็ถามเขาทั้งหลายว่า “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยคนไหน บารับบัส หรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?” เพราะท่านรู้แล้วว่าพวกเขามอบตัวพระองค์ไว้เพราะความอิจฉา ในขณะที่ปีลาตนั่งว่าราชการอยู่นั้น ภรรยาของท่านใช้คนมาเรียนว่า “อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย เพราะว่าวันนี้ดิฉันไม่สบายใจมากเนื่องด้วยความฝันที่เกี่ยวกับคนนั้น” แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ก็ยุยงฝูงชนให้ขอปล่อยบารับบัส และประหารพระเยซูเสีย เจ้าเมืองจึงถามพวกเขาว่า “ในสองคนนี้พวกเจ้าจะให้เราปล่อยคนไหน?” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?” พวกเขาพากันร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน” เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม? เขาทำผิดอะไร?” แต่พวกเขายิ่งร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การ มีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ท่านจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน แล้วกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องความตายของคนนี้ พวกเจ้าต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด” ฝูงชนทั้งหมดก็ร้องว่า “ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา” ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา และเมื่อโบยตีพระเยซูแล้วก็มอบตัวให้ตรึงไว้ที่กางเขน พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในกองบัญชาการปรีโทเรียม และรวมทหารทั้งกองไว้เฉพาะพระพักตร์พระองค์ แล้วเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมบนพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อมาให้พระองค์ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ขวา และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน เมื่อออกไปแล้วก็พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อมาถึงที่หนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ เขาทั้งหลายเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย เมื่อตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว” เวลานั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า “เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ด่าว่าพระองค์ด้วย แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์” ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แต่พวกที่เหลือร้องว่า “อย่าเพิ่งเลย ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่” และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ และนี่แน่ะ ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพต่างๆ ก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏกับคนจำนวนมาก แต่นายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ในเทศกาลเลี้ยงนั้น เจ้าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นพวกเขามีนักโทษสำคัญคนหนึ่งชื่อบารับบัส เหตุฉะนั้นเมื่อคนทั้งปวงชุมนุมกันแล้ว ปีลาตได้ถามเขาว่า “เจ้าทั้งหลายปรารถนาให้ข้าพเจ้าปล่อยผู้ใดแก่เจ้า บารับบัสหรือพระเยซูที่เรียกว่า พระคริสต์” เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาได้มอบพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา ขณะเมื่อปีลาตนั่งบัลลังก์พิพากษาอยู่นั้น ภรรยาของท่านได้ใช้คนมาเรียนท่านว่า “ท่านอย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย ด้วยว่าวันนี้ดิฉันทุกข์ใจหลายประการกับความฝันเกี่ยวกับท่านผู้นั้น” ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ก็ยุยงหมู่ชนขอให้ปล่อยบารับบัส และให้ประหารพระเยซูเสีย เจ้าเมืองจึงถามเขาว่า “ในสองคนนี้เจ้าจะให้เราปล่อยคนไหนให้แก่เจ้า” เขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตจึงถามพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรแก่พระเยซูที่เรียกว่า พระคริสต์” เขาพากันร้องแก่ท่านว่า “ให้ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด” เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด” แต่เขาทั้งหลายยิ่งร้องว่า “ให้ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะเกิดวุ่นวายขึ้น ท่านก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน แล้วว่า “เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด” บรรดาหมู่ชนเรียนว่า “ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด” ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้เขา และเมื่อท่านได้โบยตีพระเยซูแล้ว ท่านก็มอบพระองค์ให้ถูกตรึงที่กางเขน พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองล้อมพระองค์ไว้ และพวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์ เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ” แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน ขณะที่พวกเขาออกไปนั้น เขาได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาจึงเกณฑ์คนนั้นให้แบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย ครั้นตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับสลากแบ่งปันกันเพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะโดยศาสดาพยากรณ์ซึ่งว่า ‘เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้น เขาก็จับสลากกัน’ แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น และได้เอาถ้อยคำข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “ผู้นี้คือเยซูกษัตริย์ของชนชาติยิว” คราวนั้นมีโจรสองคนถูกตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง ข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็ด่าทอพระองค์ สั่นศีรษะของเขา กล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เช่นกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา เขาไว้ใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็ให้พระองค์ทรงช่วยเขาให้รอดเดี๋ยวนี้เถิด ด้วยเขาได้กล่าวว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’” ถึงโจรที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็ยังกล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์เหมือนกัน แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” บางคนในพวกที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์” ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แต่คนอื่นร้องว่า “อย่าเพิ่ง ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่” ฝ่ายพระเยซู เมื่อพระองค์ร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง ก็ทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของพวกวิสุทธิชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา ภายหลังที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏแก่คนเป็นอันมาก บัดนี้ เมื่อนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันได้เห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งบังเกิดขึ้น ก็พากันครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีเพื่อปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเสส และมารดาของบุตรเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ในเทศกาลนั้น เจ้าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นมีนักโทษสำคัญคนหนึ่งชื่อบารับบัส เมื่อคนทั้งปวงชุมนุมกันแล้ว ปีลาตได้ถามเขาว่า <<เจ้าทั้งหลายปรารถนาให้ปล่อยผู้ใด บารับบัส หรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์>> เพราะท่านรู้อยู่แล้ว ว่าเขาได้อายัดพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา ขณะเมื่อปีลาตนั่งว่าราชการอยู่นั้น ภรรยาของท่านได้ใช้คนมาเรียนว่า <<อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย ด้วยว่าวันนี้ดิฉันฝันร้าย ไม่มีความสบายใจเพราะท่านผู้นั้น>> ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ ก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส และให้ประหารพระเยซูเสีย เจ้าเมืองจึงถามเขาว่า <<ในสองคนนี้เจ้าจะให้เราปล่อยคนไหน>> เขาตอบว่า <<บารับบัส>> ปีลาตจึงถามว่า <<ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรแก่พระเยซู ที่เรียกว่าพระคริสต์>> เขาพากันร้องว่า <<ให้ตรึงเสียที่กางเขนเถิด>> เจ้าเมืองถามว่า <<ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด>> แต่เขาทั้งหลายยิ่งร้องว่า <<ให้ตรึงเสียที่กางเขนเถิด>> เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะเกิดวุ่นวายขึ้น ก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน แล้วว่า <<เราไม่มีผิดด้วยเรื่องความตายของคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด>> บรรดาหมู่ชนเรียนว่า <<ให้ความผิดด้วยเรื่องความตายของเขาตกอยู่แก่เรา ทั้งบุตรของเราด้วย>> ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้เขา และเมื่อให้โบยตีพระเยซูแล้วก็มอบให้ตรึงไว้ที่กางเขน พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองไว้ข้างหน้าพระองค์ และเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า <<กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ>> แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้วเขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไป เพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน ครั้นออกไปแล้วได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อมาถึงตำบลหนึ่งที่เรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ เขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย ครั้นตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งปันกัน แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น และเขาได้เอาถ้อยคำข้อหา ที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า <<ผู้นี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว>> คราวนั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง ฝ่ายคนทั้งปวงที่เดินผ่านไปมานั้น ก็กล่าวเหยียดหยามพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า <<เจ้าผู้จะทำลายพระวิหาร และสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด>> พวกมหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า <<เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อถือบ้าง เขาไว้ใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็ให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด ด้วยเขาได้กล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า>> ถึงโจรที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ ก็ยังกล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์เหมือนกัน แล้วก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า <<เอลี เอลี ลามาสะบักธานี>> แปลว่า <<พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย>> บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า <<คนนี้เรียกเอลียาห์>> ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แต่คนอื่นร้องว่า <<อย่าเพ่อก่อน ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่>> ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏแก่คนเป็นอันมาก ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระศพพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อได้เห็นแผ่นดินไหวและการทั้งปวงซึ่งบังเกิดขึ้นนั้น ก็พากันครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงพูดกันว่า <<แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า>> ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระองค์ จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
ในช่วงเทศกาลเป็นธรรมเนียมที่ผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนเลือก ครั้งนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ชื่อเยซูบารับบัส เมื่อประชาชนมารวมตัวกันแล้วปีลาตจึงถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยคนไหน เยซูบารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” เพราะปีลาตรู้ว่าพวกเขาจับพระเยซูมาด้วยความอิจฉา ขณะปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษา ภรรยาของท่านส่งคนมาเรียนท่านว่า “อย่าไปเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์คนนี้เลยเนื่องจากวันนี้ดิฉันฝันร้ายไม่สบายใจมากเพราะท่านผู้นี้” แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสยุยงประชาชนว่าให้พวกเขาขอปีลาตให้ปล่อยบารับบัสและให้ประหารพระเยซู ผู้ว่าการถามว่า “ท่านต้องการให้ปล่อยคนไหนในสองคนนี้?” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” พวกนั้นทั้งหมดพากันร้องว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” ปีลาตถามว่า “ทำไม? เขาทำผิดอะไร?” แต่ทุกคนร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะลุกฮือขึ้น เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนและกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องการตายของชายผู้นี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน!” คนทั้งปวงตอบว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่กับเราและลูกหลานของเราเถิด!” แล้วปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แต่ให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน จากนั้นทหารของผู้ว่าการนำพระเยซูเข้าไปในศาลปรีโทเรียมและระดมทหารทั้งกองมารายล้อมพระองค์ พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออก แล้วเอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ จากนั้นจึงสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร หยิบไม้ใส่พระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าต่อหน้าพระองค์และเยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และเอาไม้นั้นตีพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเยาะเย้ยพระองค์แล้ว ก็ถอดเสื้อนั้นออก เอาเสื้อผ้าของพระองค์เองมาสวมให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน ขณะออกไปก็พบชายคนหนึ่งจากไซรีนชื่อซีโมน พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขนนั้น เมื่อพวกเขามาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา ซึ่งแปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก ก็เอาเหล้าองุ่นผสมน้ำดีมีรสขมมาถวาย พระเยซูทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย เมื่อเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน และพวกเขานั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น เหนือพระเศียรมีข้อหาเขียนติดไว้ว่า “นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว” โจรสองคนถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าพูดสบประมาทพระองค์ และกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงช่วยตัวเองให้รอด! ลงมาจากกางเขนสิถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า!” เช่นเดียวกันพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโส ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล! ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้สิแล้วเราจะเชื่อเขา เขาวางใจในพระเจ้าก็ให้พระเจ้าช่วยเขาตอนนี้สิถ้าพระองค์ยังต้องการเขาอยู่ เพราะเขาพูดว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’ ” พวกโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่นพระองค์ต่างๆ นานาด้วย แล้วเกิดความมืดมัวไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง ราวบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “เขาร้องเรียกเอลียาห์” ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้ส่งให้พระเยซูเสวย คนอื่นๆ พูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่” และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและร่างของวิสุทธิชนหลายคนที่ตายแล้วก็ฟื้นคืนชีวิต พวกเขาออกมาจากอุโมงค์และหลังจากพระเยซูคืนพระชนม์แล้ว พวกเขาก็เข้าสู่นครบริสุทธิ์และปรากฏแก่คนเป็นอันมาก ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเมื่อเห็นแผ่นดินไหวและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตื่นตกใจร้องว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!” ผู้หญิงหลายคนอยู่ที่นั่นเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พวกเขาติดตามพระเยซูมาจากกาลิลีเพื่อคอยปรนนิบัติพระองค์ ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบกับโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี
มัทธิว 27:15-56 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
ในงานเทศกาล ผู้ว่าราชการมักจะปลดปล่อยนักโทษ 1 คนตามที่ฝูงชนต้องการ ในเวลานั้นพวกเขากำลังกักตัวนักโทษร้ายกาจคนหนึ่ง ชื่อบารับบัส ฉะนั้นเมื่อพวกเขาประชุมกัน ปีลาตพูดว่า “พวกท่านจะให้เราปลดปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์” เขารู้อยู่ว่า ชาวยิวได้มอบพระเยซูให้แก่เขาเนื่องจากความอิจฉา ขณะที่ปีลาตนั่งตัดสินความอยู่นั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาเรียนว่า “อย่าไปทำอะไรกับคนที่ไม่มีความผิดคนนั้นเลย เพราะว่าเมื่อคืนดิฉันฝันถึงเขา และก็ทำให้ดิฉันทรมานมาก” แต่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ชักจูงฝูงชนให้ขอปลดปล่อยบารับบัส และฆ่าพระเยซูเสีย ผู้ว่าราชการพูดว่า “พวกท่านอยากให้เราปลดปล่อยคนใดใน 2 คนนี้” และพวกเขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตพูดว่า “แล้วเราควรจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์” พวกเขาต่างตอบว่า “ให้ตรึงเขาบนไม้กางเขน” ปีลาตถามว่า “ทำไมเล่า เขาทำอะไรชั่วร้ายหรือ” แต่พวกเขาตะโกนมากยิ่งขึ้นว่า “ให้ตรึงเขาไว้บนไม้กางเขน” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใด และการจลาจลกำลังก่อตัว เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนพลางพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบกับความตายของชายผู้นี้ นี่เป็นเรื่องของพวกท่านเอง” แล้วทุกคนตอบว่า “พวกเราและลูกหลานของเรารับผิดชอบการตายของเขาเอง” ครั้นแล้วปีลาตจึงปลดปล่อยบารับบัสให้แก่พวกเขาไป หลังจากที่สั่งให้เฆี่ยนพระเยซูแล้ว ก็ให้นำพระองค์ไปตรึงไว้บนไม้กางเขน ดังนั้นพวกทหารของผู้ว่าราชการจึงนำพระเยซูเข้าไปในวังซึ่งเรียกว่าปรีโทเรียม และรวบรวมทหารในกองทั้งหมดมายืนห้อมล้อมพระองค์ พวกเขากระชากเสื้อของพระองค์ออก และคลุมด้วยเสื้อคลุมสีแดงสด แล้วสวมมงกุฎหนามสานไว้บนศีรษะของพระเยซู ให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา และพวกเขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์และล้อเลียนว่า “ไชโย ขอต้อนรับกษัตริย์ของชาวยิว” พวกเขาถ่มน้ำลายใส่ และเอาไม้อ้อนั้นตบตีศีรษะของพระองค์ หลังจากที่พวกเขาได้ล้อเลียนพระเยซูแล้วก็ถอดเสื้อคลุมออก สวมเสื้อตัวนอกของพระองค์คืนให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน ขณะที่กำลังเดินกันออกไปก็พบกับชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน พวกเขาจึงใช้ให้แบกไม้กางเขนของพระองค์ เมื่อพวกเขามายังสถานที่ซึ่งเรียกว่ากลโกธาซึ่งมีความหมายว่า ที่ของกะโหลกศีรษะ พวกเขาให้พระเยซูดื่มเหล้าองุ่นผสมกับของขม แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้ว ก็ไม่ดื่ม เมื่อพวกเขาได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนแล้วก็แบ่งปันเสื้อตัวนอกของพระองค์ด้วยการจับฉลากในหมู่พวกเขาเอง หลังจากนั้นก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น พวกเขาติดข้อกล่าวหาพระองค์ไว้เหนือศีรษะของพระองค์ มีความว่า “นี่คือพระเยซู กษัตริย์ของชาวยิว” ในเวลานั้นมีโจร 2 คนถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวาและคนหนึ่งทางด้านซ้าย พวกผู้คนที่เดินผ่านไป ต่างก็เยาะเย้ยพระองค์พลางส่ายหัวกันไปมา และพูดว่า “ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ได้ใน 3 วัน ก็ช่วยตัวเองให้รอดสิ ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ลงมาจากไม้กางเขนเสียเถอะ” พวกมหาปุโรหิตกับอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและพวกผู้ใหญ่ล้อเลียนพระองค์ในทำนองเดียวกันและพูดว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดชีวิตได้ แต่กลับช่วยตนเองให้รอดไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เวลานี้ก็ให้ลงมาจากไม้กางเขนสิ แล้วพวกเราจะได้เชื่อเขา เขาไว้ใจพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการ ก็ให้พระองค์ช่วยเหลือเขาเดี๋ยวนี้ เพราะเขากล่าวไว้ว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’” โจรทั้งสองที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูก็เช่นกัน พวกเขาสบประมาทพระองค์ในทำนองเดียวกัน ความมืดปกคลุมไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่าย 3 โมง ประมาณเวลาบ่าย 3 โมง พระเยซูร้องขึ้นเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” คือ “พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า” บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “คนนี้กำลังเรียกเอลียาห์” ในทันใดนั้น คนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวติดไว้ที่ปลายไม้อ้อยื่นให้พระองค์จิบ คนอื่นพูดว่า “รอดูกันเถิดว่าเอลียาห์จะมาช่วยเหลือเขาหรือไม่” พระเยซูร้องเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และสิ้นชีวิต ดูเถิด ผ้าม่านในพระวิหารขาดออกเป็น 2 ท่อนจากส่วนบนถึงส่วนล่าง เกิดแผ่นดินไหว และหินแตกออกจากกัน ถ้ำเก็บศพเปิดออก ร่างของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีวิต เขาเหล่านั้นได้ออกมาจากถ้ำเก็บศพ และหลังจากพระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์ และปรากฏตัวแก่คนจำนวนมาก เมื่อนายร้อยและพวกคนที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ตกใจกลัวมาก พูดว่า “จริงทีเดียว ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” มีผู้หญิงจำนวนมากซึ่งอยู่ที่นั่นมองดูอยู่แต่ไกล พวกนางได้ติดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีมาเพื่อปรนนิบัติพระองค์ ในบรรดาหญิงเหล่านั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรชายทั้งสองของเศเบดี