มัทธิว 22:12-40

มัทธิว 22:12-40 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

จึงตรัสถามว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ทำไมท่านมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส?’ คนนั้นก็นิ่งอั้นอยู่พูดไม่ออก กษัตริย์จึงมีรับสั่งกับพวกคนรับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปโยนทิ้งบริเวณที่มืดข้างนอก ซึ่งเป็นที่มีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ เพราะว่าคนที่ได้รับเชิญก็มีมาก แต่คนที่ได้รับการทรงเลือกก็มีน้อย” ขณะนั้นพวกฟาริสีก็ไปและปรึกษากันหาทางทำให้พระองค์ทรงติดกับดักด้วยคำพูด จึงใช้บรรดาศิษย์ของตนกับพวกเฮโรดไปทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ สั่งสอนทางของพระเจ้าตามความจริงโดยไม่ได้เอาใจใคร เพราะท่านไม่ได้เห็นแก่หน้าใคร เพราะฉะนั้นขอโปรดให้เราทราบว่าท่านคิดอย่างไร? การส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่?” พระเยซูทรงทราบเจตนาร้ายของพวกเขาจึงตรัสว่า “คนหน้าซื่อใจคด พวกท่านมาทดลองเราทำไม? จงเอาเงินที่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดู” เขาจึงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งถวายพระองค์ พระองค์ตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” พวกเขาทูลว่า “ของซีซาร์” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เพราะฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” เมื่อได้ฟังแล้วพวกเขาก็ประหลาดใจ จึงละพระองค์ไว้และกลับไป ในวันนั้น มีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้สอนว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าใครตายในขณะที่ยังไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายแต่งงานกับหญิงม่ายนั้นและมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชาย’ เรามีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่คนโตมีภรรยาแล้วก็ตาย เมื่อยังไม่มีบุตรก็ละภรรยาไว้ให้กับน้องชาย คนที่สอง คนที่สามก็เป็นแบบเดียวกัน จนถึงคนที่เจ็ด ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย เพราะฉะนั้นในวันที่เป็นขึ้นจากความตาย หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใครในเจ็ดคนนั้น? เพราะพวกเขาได้นางมาเป็นภรรยาแล้วทุกคน” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อมนุษย์เป็นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนบรรดาทูตในฟ้าสวรรค์ เกี่ยวกับเรื่องที่คนตายจะเป็นขึ้นจากความตายนั้น พวกท่านยังไม่ได้อ่านสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้กับท่านหรือ ว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น” เมื่อฝูงชนได้ยินก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระองค์ทรงทำให้พวกสะดูสีนิ่งอั้นอยู่ จึงประชุมกัน มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งในพวกเขามาทดสอบพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?” พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”

มัทธิว 22:12-40 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

จึงตรัสถามว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่สวมชุดสำหรับงานแต่งงาน?’ เขาก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออก “แล้วกษัตริย์จึงสั่งมหาดเล็กว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าเขาและโยนออกไปยังที่มืดภายนอกที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ “เพราะหลายคนได้รับเชิญ แต่น้อยคนนักที่ได้รับเลือก” แล้วพวกฟาริสีจึงออกไปวางแผนกันเพื่อจับผิดถ้อยคำของพระองค์ เขาจึงส่งสาวกของตนกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อตรงและสอนทางของพระเจ้าตามความจริง ท่านไม่เอนเอียงไปตามมนุษย์เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร โปรดบอกเราเถิดว่าท่านคิดเห็นอย่างไร? เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์?” แต่พระเยซูทรงรู้ทันเจตนาชั่วของพวกเขาจึงตรัสว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าพยายามมาจับผิดเราทำไม? ไหนเอาเหรียญที่ใช้เสียภาษีมาให้เราดูซิ” พวกเขาจึงนำเหรียญหนึ่งเดนาริอันมาถวาย และพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปนี้เป็นของใคร? คำจารึกเป็นของใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “ของซีซาร์” แล้วพระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกพิศวงจึงละจากพระองค์ไป ในวันเดียวกันนั้นพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ โมเสสสั่งพวกเราไว้ว่าถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้องแต่งงานกับภรรยาม่ายของเขาเพื่อจะมีบุตรให้ผู้นั้น คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปและเพราะเขาไม่มีบุตรจึงทิ้งภรรยาไว้ให้น้องชาย คนที่สองที่สามก็เช่นเดียวกัน จนมาถึงคนที่เจ็ด ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ตาย แล้วเมื่อเป็นขึ้นจากตาย ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใครในเจ็ดคนนั้นเพราะทุกคนล้วนได้นางเป็นภรรยา?” พระเยซูทรงตอบว่า “พวกท่านผิดแล้วเพราะพวกท่านไม่รู้พระคัมภีร์และฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อเป็นขึ้นจากตาย ผู้คนจะไม่แต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ส่วนที่เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายนั้น พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’? พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น” เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้ก็เลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทรงทำให้พวกสะดูสีนิ่งอึ้งไปจึงรวมหัวกัน คนหนึ่งในพวกเขาซึ่งรอบรู้ในบทบัญญัติมาทดสอบพระเยซูโดยทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ พระบัญญัติข้อใดในหนังสือบทบัญญัติที่สำคัญที่สุด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต และสุดความคิดของท่าน’ นี่เป็นพระบัญญัติข้อสำคัญที่สุดและข้อแรก ข้อที่สองก็เช่นกันคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ หนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะล้วนขึ้นกับบทบัญญัติสองข้อนี้”

มัทธิว 22:12-40 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

พระองค์​จึง​พูด​ว่า ‘เพื่อน​เอ๋ย เข้า​มา​ได้​อย่างไร ชุด​ใส่​สำหรับ​งาน​แต่ง​ก็​ไม่​มี’ ชาย​คนนั้น​ก็​ไม่​มี​คำ​แก้​ตัว พระองค์​จึง​สั่ง​พวก​ทาส​ว่า ‘มัด​มือ​มัด​เท้า​มัน แล้ว​โยน​ออก​ไป​ที่​มืด​ข้าง​นอก​ที่​มี​เสียง​คน​ร้องไห้​โหยหวน​อย่าง​เจ็บ​ปวด’ มี​หลาย​คน​ที่​ได้รับ​เชิญ​มา แต่​มี​น้อย​คน​ที่​ถูก​เลือก​ไว้” แล้ว​พวก​ฟาริสี​ก็​ออก​ไป​วางแผน​หา​ทาง​จับผิด​คำพูด​ของ​พระเยซู พวก​เขา​จึง​ส่ง​ลูกศิษย์​ของ​ตัวเอง กับ​พวก​ที่​สนับสนุน​กษัตริย์​เฮโรด​ไป​ถาม​พระเยซู​ว่า “อาจารย์ เรา​รู้​ว่า​อาจารย์​เป็น​คน​ซื่อสัตย์​และ​สอน​ความจริง​ที่​พระเจ้า​ต้องการ​ให้​คน​ทำตาม อาจารย์​ไม่​กลัว​ว่า​คน​อื่น​จะ​คิด​อย่างไร เพราะ​อาจารย์​ไม่​เห็นแก่หน้า​ใคร​อยู่​แล้ว ถ้า​อย่าง​นั้น​ช่วย​บอก​หน่อย​ว่า มัน​ถูกต้อง​ตามกฎ​หรือ​เปล่า​ที่​จะ​ต้อง​จ่าย​ภาษี​ให้​กับ​ซีซาร์” แต่​พระเยซู​รู้​ถึง​เจตนา​ที่​ชั่วร้าย​ของ​พวก​เขา พระองค์​ย้อน​ว่า “ไอ้​พวก​หน้าซื่อใจคด แก​พยายาม​หา​เรื่อง​จับผิด​เรา​ทำไม เอา​เหรียญ​ที่​ใช้​เสีย​ภาษี​มา​ให้​ดู​หน่อย” พวก​เขา​ยื่น​เหรียญ​เงิน​ให้​พระองค์​เหรียญ​หนึ่ง พระองค์​ถาม​ว่า “นี่​รูป​ใคร และ​มี​ชื่อ​ใคร​อยู่​บน​เหรียญนี้” พวก​เขา​ตอบ​ว่า “ซีซาร์” พระองค์​บอก​พวก​เขา​ว่า “ของๆ​ซีซาร์​ก็​ให้​กับ​ซีซาร์ ของๆ​พระเจ้า​ก็​ให้​กับ​พระเจ้า” เมื่อ​ได้ยิน​อย่าง​นั้น พวก​เขา​ก็​ตะลึง​อึ้ง​ไป​เลย แล้ว​พา​กัน​จาก​ไป ใน​วัน​เดียว​กัน​นั้น พวก​สะดูสี​ซึ่ง​เป็น​พวก​ที่​เชื่อ​ว่า​คน​ตาย​แล้ว​จะ​ไม่​ฟื้น ได้​มา​ถาม​พระเยซู​ว่า “อาจารย์ โมเสส​บอก​พวก​เรา​ว่า ‘ถ้า​ชาย​คน​ไหน​ตาย​และ​ยัง​ไม่​มี​ลูก น้อง​ชาย​ของ​เขา​ต้อง​แต่ง​กับ​หญิงม่าย​คน​นั้น จะ​ได้​มี​ลูก​ไว้​สืบ​สกุล​ให้​กับ​พี่ชาย​ของ​เขา’ ครั้ง​หนึ่ง มี​พี่น้อง​อยู่​เจ็ด​คน พี่ชาย​คน​โต​แต่งงาน​แล้ว​ตาย​ไป แต่​ยัง​ไม่​มี​ลูก เขา​ได้​ทิ้ง​ภรรยา​ของ​เขา​ไว้​ให้​กับ​น้อง​ชาย แล้ว​น้อง​ชาย​คน​ที่​สอง​ก็​ตาย​และ​ไม่​มี​ลูก น้อง​ชายคน​ที่​สาม​ก็​เหมือน​กัน​ไป​จน​ถึง​คน​ที่​เจ็ด ใน​ที่​สุด​หญิง​คน​นั้น​ก็​ตาย​ด้วย ใน​วัน​ที่​ทุก​คน​ฟื้น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย ที​นี้​เธอ​จะ​เป็น​ภรรยา​ของ​ใคร ใน​เมื่อ​ทั้ง​เจ็ด​คน​นั้น​ก็​เคย​เป็น​สามี​ของ​เธอ” พระเยซู​ตอบ​ว่า “พวก​คุณ​นี่​ผิด​ถนัด​เลย นี่​เป็น​เพราะ​พวก​คุณ​ไม่​เข้าใจ​พระคัมภีร์ และ​ไม่​รู้จัก​ฤทธิ์เดช​ของ​พระเจ้า เมื่อ​คน​ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความ​ตาย​นั้น ก็​จะ​ไม่​มี​การแต่งงาน หรือ​ยก​ให้​เป็น​ผัวเมีย​กัน​อีก​แล้ว แต่​พวก​เขา​จะ​เป็น​เหมือน​ทูตสวรรค์ ใน​เรื่อง​การฟื้นขึ้น​จาก​ความ​ตาย​นั้น พวก​คุณ​ไม่​เคย​อ่าน​เลย​หรือ ที่​พระเจ้า​พูด​ว่า ‘เรา​เป็น​พระเจ้า​ของ​อับราฮัม พระเจ้า​ของ​อิสอัค และ​พระเจ้า​ของ​ยาโคบ’ ดังนั้น​พระเจ้า​เป็น​พระเจ้า​ของ​คน​ที่​มี​ชีวิต ไม่​ใช่​ของ​คน​ตาย” เมื่อ​ฝูงชน​ได้ยิน​อย่างนี้ ต่าง​ก็​ทึ่ง​ใน​คำสอน​ของ​พระองค์ เมื่อ​พวก​ฟาริสี​ได้ยิน​ว่า​พระเยซู​ทำ​ให้​พวก​สะดูสี​ถึง​กับ​อึ้ง​ไป​เลย พวก​เขา​ก็​มา​ชุมนุม​กัน คน​หนึ่ง​ใน​พวก​เขา​ที่​คล่อง​กฎ​ของ​โมเสส​มาก ได้​มา​ทดสอบ​พระเยซู​ว่า “อาจารย์ ใน​กฎ​ของ​โมเสส คำสั่ง​ข้อ​ไหน​สำคัญ​ที่สุด​ครับ” พระเยซู​จึง​ตอบ​ว่า “‘รัก​องค์​เจ้า​ชีวิต​พระเจ้า​ของ​คุณ​อย่าง​สุดใจ สุดจิต และ​สิ้นสุด​ความคิด’ นี่​คือ​คำสั่ง​ข้อ​แรก​และ​ข้อ​สำคัญ​ที่สุด ส่วน​คำสั่ง​ข้อ​สอง​ที่​สำคัญ​รอง​ลง​มา​คือ ‘รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตัวเอง’ กฎปฏิบัติ​ทั้งหมด​และ​สิ่ง​ที่​ผู้พูดแทนพระเจ้า เขียน​ไว้ ก็​ขึ้น​อยู่​กับ​คำสั่ง​สอง​ข้อนี้”

มัทธิว 22:12-40 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ท่านจึงรับสั่งถามเขาว่า ‘สหายเอ๋ย เหตุ​ไฉนท่านจึงมาที่​นี่​โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส’ ผู้​นั้​นก​็นิ่งอยู่​พูดไม่ออก กษัตริย์​จึงรับสั่งแก่พวกผู้​รับใช้​ว่า ‘จงมั​ดม​ื​อม​ัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ ด้วยผู้​ที่​ได้​รับเชิญก็​มาก แต่​ผู้​ที่​ทรงเลือกก็​น้อย​” ขณะนั้นพวกฟาริ​สี​ไปปรึกษากั​นว​่า พวกเขาจะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์​ได้​อย่างไร พวกเขาจึงใช้พวกสาวกของตนกับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระองค์​ว่า “​อาจารย์​เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนซื่​อสัตย์ และสั่งสอนทางของพระเจ้าด้วยความสัตย์​จริง โดยมิ​ได้​เอาใจผู้​ใด เพราะท่านมิ​ได้​เห็นแก่​หน​้าผู้​ใด เหตุ​ฉะนั้น ขอโปรดบอกให้พวกข้าพเจ้าทราบว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้​แก่​ซี​ซาร์​นั้น ถู​กต้องตามพระราชบัญญั​ติ​หรือไม่​” แต่​พระเยซู​ทรงล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายของเขาจึงตรั​สว​่า “พวกหน้าซื่อใจคด เจ้​าทดลองเราทำไม จงเอาเงิ​นที​่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดู​ก่อน​” เขาจึงเอาเงินตราเหรียญหนึ่งถวายพระองค์ พระองค์​ตรัสถามเขาว่า “​รู​ปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาทูลพระองค์​ว่า “ของซี​ซาร์​” แล​้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “​เหตุ​ฉะนั้นของของซี​ซาร์​จงถวายแก่​ซี​ซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่​พระเจ้า​” ครั้นเขาได้ยินคำตรัสตอบของพระองค์นั้นแล้ว เขาก็​ประหลาดใจ จึงละพระองค์​ไว้​และพากันกลับไป ในวันนั้​นม​ีพวกสะดู​สี​มาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้​ที่​กล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่​มี เขาจึงทูลถามพระองค์ “​อาจารย์​เจ้าข้า โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าผู้ใดตายยังไม่​มี​บุตร ก็​ให้​น้องชายรับพี่​สะใภ้ สืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’ ในพวกเรามี​พี่​น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่​หัวปี​มี​ภรรยาแล้​วก​็ตายเมื่อยังไม่​มี​บุตร ก็​ละภรรยาไว้​ให้​แก่น​้องชาย ฝ่ายคนที่สองที่สามก็​เช่นเดียวกัน จนถึงคนที่​เจ็ด ในที่สุดหญิงนั้​นก​็ตายด้วย เหตุ​ฉะนั้นในวั​นที​่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนแล้ว” พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านผิดแล้ว เพราะท่านไม่​รู้​พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า ด้วยว่าเมื่​อมนุษย์​ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่​มี​การสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากั​นอ​ีก แต่​จะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าในสวรรค์ แต่​เรื่องคนตายกลับฟื้นนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่​ได้​อ่านหรือ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับพวกท่านว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ พระเจ้ามิ​ได้​เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่​ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น” ประชาชนทั้งปวงเมื่อได้ยิ​นก​็ประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ แต่​พวกฟาริ​สี​เมื่อได้ยิ​นว​่าพระองค์ทรงกระทำให้พวกสะดู​สี​นิ่​งอ​ั้นอยู่ จึงประชุมกัน มีน​ักกฎหมายผู้​หน​ึ่งในพวกเขาทดลองพระองค์โดยถามพระองค์​ว่า “​อาจารย์​เจ้าข้า ในพระราชบัญญั​ติ​นั้น พระบัญญั​ติ​ข้อใดสำคัญที่​สุด​” พระเยซู​ทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า’ นี่​แหละเป็นพระบัญญั​ติ​ข้อต้นและข้อใหญ่ ข้อที่สองก็​เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ พระราชบัญญัติ​และคำพยากรณ์ทั้งสิ้​นก​็​ขึ้นอยู่​กับพระบัญญั​ติ​สองข้อนี้”

มัทธิว 22:12-40 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

จึงรับสั่งถามว่า <สหายเอ๋ย เหตุไฉนจึงมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานแต่งงาน> ผู้นั้นก็นิ่งอั้นอยู่พูดไม่ออก กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกข้าราชการว่า <จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก อันเป็นที่ที่มีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน> ด้วยผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย>> ขณะนั้นพวกฟาริสีไปปรึกษากันวางแผนว่า จะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์ให้ได้ จึงใช้พวกศิษย์ของตนกับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนสัตย์ซื่อ ได้สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ โดยมิได้เอาใจผู้ใด เพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด เหตุฉะนั้นขอโปรดให้พวกข้าพเจ้าทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้แก่จักรพรรดิซีซาร์นั้น ควรหรือไม่>> พระเยซูทรงทราบเจตนาร้ายของเขาจึงตรัสว่า <<โอ คนหน้าซื่อใจคด มาจับผิดเราทำไม จงเอาเงินที่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดูก่อน>> เขาจึงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งถวายพระองค์ พระองค์ตรัสถามเขาว่า <<รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร>> เขาทูลว่า <<ของซีซาร์>> แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า <<เหตุฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า>> คำตรัสตอบของพระองค์นั้น พวกเขานึกไม่ถึง จึงพากันกลับไป ละพระองค์ไว้ ในวันนั้น มีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้สอนว่า การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่มี เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า โมเสสสั่งว่า <ถ้าผู้ใดตายยังไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้สืบตระกูลของพี่ชายไว้> ในพวกเรามีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่หัวปีมีภรรยาแล้วก็ตาย เมื่อยังไม่มีบุตรก็ละภรรยาไว้ให้แก่น้องชาย ฝ่ายคนที่สองที่สามก็เช่นเดียวกัน จนถึงคนที่เจ็ด ในที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย เพราะฉะนั้นในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนแล้ว>> พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<พวกท่านผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตในฟ้าสวรรค์ แต่เรื่องคนตายกลับฟื้นนั้นท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านหรือ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับพวกท่านว่า <เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ> พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น>> ประชาชนทั้งปวงเมื่อได้ยินก็ประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ ฝ่ายพวกฟาริสี เมื่อได้ยินว่าพระองค์ทรงกระทำให้พวกสะดูสีนิ่งอั้นอยู่ จึงประชุมกัน มีบาเรียนผู้หนึ่งในพวกเขาทดลองถามพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ในธรรมบัญญัตินั้นข้อใดสำคัญที่สุด>> พระเยซูทรงตอบเขาว่า <<จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้>>

มัทธิว 22:12-40 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

จึง​ถาม​เขา​ว่า ‘เพื่อน​เอ๋ย ท่าน​เข้ามา​ใน​ที่​นี้​ได้​อย่างไร โดย​ไม่​มี​เสื้อ​สำหรับ​งาน​สมรส’ เขา​ก็​อึ้ง​ไป กษัตริย์​กล่าว​กับ​พวก​ผู้​รับใช้​ว่า ‘จง​มัด​มือ​และ​เท้า​ของ​เขา​แล้ว​โยน​ตัว​ออกไป​ยัง​ความ​มืด​ข้าง​นอก ณ ที่​นั่น​จะ​มี​การ​ร่ำไห้​และ​ขบเขี้ยว​เคี้ยวฟัน’ เพราะ​คน​จำนวน​มาก​ได้​รับเชิญ แต่​มี​เพียง​ไม่​กี่​คน​เท่า​นั้น​ที่​ได้​รับเลือก” ครั้น​แล้ว​พวก​ฟาริสี​จึง​ออกไป​ปรึกษา​กัน​ว่า​จะ​จับผิด​ใน​สิ่ง​ที่​พระ​องค์​กล่าว​ได้​อย่างไร เขา​เหล่า​นั้น​จึง​ให้​พวก​สาวก​ของ​เขา​ไป​กับ​พรรค​ของ​เฮโรด ไป​หา​พระ​องค์​เพื่อ​ถาม​ว่า “อาจารย์ พวก​เรา​ทราบ​ว่า ท่าน​พูด​ความ​จริง​และ​สั่งสอน​วิถี​ทาง​ของ​พระ​เจ้า​จริงๆ โดย​ไม่​เอา​ใจ​ผู้​ใด เพราะ​ท่าน​ไม่​ลำเอียง ฉะนั้น​กรุณา​บอก​เรา​ว่า ท่าน​คิดเห็น​อย่างไร เป็น​สิ่ง​ถูกต้อง​ตาม​กฎ​หรือ​ไม่​ใน​การ​เสีย​ภาษี​ให้​แก่​ซีซาร์” พระ​เยซู​ตระหนัก​ถึง​ความ​มุ่งร้าย​ของ​พวก​เขา จึง​กล่าว​ว่า “ทำไม​จึง​ทดสอบ​เรา พวก​ท่าน​เป็น​คน​หน้าไหว้​หลังหลอก ให้​เรา​ดู​เหรียญ​ที่​ใช้​จ่าย​ค่า​ภาษี​สิ” พวก​เขา​จึง​เอา​เหรียญ​เดนาริอัน​มา​ให้​พระ​องค์ พระ​องค์​กล่าว​ว่า “รูป​และ​คำ​จารึก​นี้​เป็น​ของ​ใคร” เขา​ทั้ง​หลาย​ตอบ​พระ​องค์​ว่า “ของ​ซีซาร์” แล้ว​พระ​องค์​กล่าว​ว่า “ถ้า​เช่นนั้น สิ่ง​ที่​เป็น​ของ​ซีซาร์​ก็​จง​ให้​แก่​ซีซาร์ และ​สิ่ง​ที่​เป็น​ของ​พระ​เจ้า​ก็​จง​ให้​แด่​พระ​เจ้า” พวก​เขา​ได้ยิน​เช่นนั้น​ก็​อัศจรรย์​ใจ แล้ว​จาก​พระ​องค์​ไป ใน​วัน​นั้น​พวก​สะดูสี (ซึ่ง​พูด​ว่า​ไม่​มี​การ​ฟื้น​คืนชีวิต​จาก​ความ​ตาย) ได้​มาหา​พระ​องค์​และ​ถาม​ว่า “อาจารย์ ตามที่​โมเสส​กล่าว​ว่า ‘ถ้า​ชาย​คน​หนึ่ง​ตาย​ไป​โดย​ที่​ไม่​มี​บุตร​เลย น้อง​ชาย​ของ​เขา​ควร​สมรส​กับ​หญิง​ม่าย และ​มี​บุตร​สืบ​ตระกูล​ให้​พี่​ชาย​ของ​เขา’ ครั้ง​หนึ่ง​มี​พี่น้อง​ที่​เป็น​ชาย​อยู่ 7 คน คนแรก​สมรส​และ​ตาย​โดย​ไม่​มี​บุตร ทอดทิ้ง​ภรรยา​ไว้​กับ​น้อง​ชาย​ของ​ตน คน​ที่​สอง คน​ที่​สาม​ก็​เช่น​เดียว​กัน มา​จน​ถึง​คน​ที่​เจ็ด ใน​ที่​สุด​หญิง​คน​นั้น​ก็​ตาย​ด้วย เมื่อ​ถึง​วัน​ที่​ฟื้น​คืน​ชีวิต​จาก​ความ​ตาย แล้ว​นาง​จะ​เป็น​ภรรยา​ของ​ใคร ใน​เมื่อ​ทั้ง​เจ็ด​คน​ได้​สมรส​กับ​นาง” พระ​เยซู​กล่าว​ตอบ​ว่า “ท่าน​ผิด​แล้ว ท่าน​ไม่​เข้าใจ​พระ​คัมภีร์​และ​อานุภาพ​ของ​พระ​เจ้า เพราะ​ใน​วัน​ที่​ฟื้น​คืน​ชีวิต​จาก​ความ​ตาย พวก​เขา​จะ​ไม่​มี​การ​สมรส​หรือ​การ​ยก​ให้​เป็น​สามี​ภรรยา​กัน แต่​จะ​เป็น​เหมือน​พวก​ทูต​สวรรค์​ใน​ฟ้า​สวรรค์ แต่​เรื่อง​คน​ตาย​ที่​ฟื้น​คืนชีวิต ท่าน​ยัง​ไม่​ได้​อ่าน​ตอนที่​พระ​เจ้า​ได้​กล่าว​กับ​ท่าน​หรือ​ว่า ‘เรา​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​อับราฮัม พระ​เจ้า​ของ​อิสอัค และ​พระ​เจ้า​ของ​ยาโคบ’ พระ​องค์​ไม่​ใช่​พระ​เจ้า​ของ​คน​ตาย แต่​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​คน​เป็น” เมื่อ​ฝูง​ชน​ได้ยิน​ดังนั้น ก็​อัศจรรย์ใจ​กับ​การ​สอน​ของ​พระ​องค์ เมื่อ​พวก​ฟาริสี​ทราบ​ว่า​พระ​องค์​ไล่​ต้อน​จน​พวก​สะดูสี​นิ่ง​อึ้ง จึง​ได้​ประชุม​กัน คน​หนึ่ง​ใน​พวก​เขา​ซึ่ง​เป็น​ผู้​เชี่ยวชาญ​ฝ่าย​กฎ​บัญญัติ​ได้​ถาม​พระ​เยซู​เป็น​การ​ทดสอบ​ว่า “อาจารย์ พระ​บัญญัติ​ข้อ​ใด​ใน​หมวด​กฎ​บัญญัติ​ยิ่ง​ใหญ่​ที่สุด” พระ​องค์​ตอบ​ว่า “‘จง​รัก​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​อย่าง​สุด​ดวงใจ สุด​ดวงจิต และ​สุด​ความ​คิด​ของ​ท่าน’ นี่​คือ​พระ​บัญญัติ​แรก​และ​สำคัญ​ที่สุด พระ​บัญญัติ​ที่สอง​ก็​เหมือน​กัน ‘จง​รัก​เพื่อนบ้าน​ของ​เจ้า​ให้​เหมือน​รัก​ตน​เอง’ ทั้ง​หมวด​กฎ​บัญญัติ​และ​หมวด​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​ขึ้น​อยู่​กับ​พระ​บัญญัติ 2 ข้อ​นี้”