มัทธิว 13:24-52

มัทธิว 13:24-52 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์ เปรียบ​เหมือน​กับ​คน​ที่​หว่าน​เมล็ด​พันธุ์​ดี​ใน​นา​ของ​เขา แต่​ใน​คืน​นั้น เมื่อ​ทุก​คน​หลับ​หมด ศัตรู​ของ​เขา​ได้​เข้า​มา​หว่าน​เมล็ด​วัชพืช​ลง​ไป​ใน​นา​ข้าว​สาลี แล้ว​ก็​ไป เมื่อ​ต้น​ข้าว​สาลี​ออก​รวง ต้น​วัชพืช​ก็​งอก​งาม​ขึ้น​มา​ด้วย พวก​คนใช้​มา​ถาม​เขา​ว่า ‘นาย​ครับ นาย​หว่าน​เมล็ด​พันธุ์​ดี​ลง​ไป​ใน​นา​นี่​ครับ แล้ว​ต้น​วัชพืช​โผล่​มา​ได้​อย่างไร​ครับ’ เขา​ตอบ​ไป​ว่า ‘เป็น​ฝีมือ​ของ​ศัตรู’ คนใช้​ถาม​ต่อว่า ‘นาย​จะ​ให้​พวก​เรา​ไป​ถอน​ต้น​วัชพืช​ทิ้ง​ไหม​ครับ’ เขา​ตอบ​ว่า ‘ไม่​ต้อง​หรอก เพราะ​กลัว​ว่า​จะ​ถอน​ข้าว​สาลี​ติด​ไป​กับ​ต้น​วัชพืช​ด้วย ปล่อย​ให้​มัน​เติบโต​ไป​ด้วย​กัน​จน​ถึง​ฤดู​เก็บเกี่ยว แล้ว​ข้า​จะ​สั่ง​ให้​คน​งาน​เก็บ​ต้น​วัชพืช​ก่อน แล้ว​มัด​เข้า​ด้วย​กัน เอา​ไป​เผา​ไฟ แล้ว​จึง​ค่อย​มา​เก็บ​ข้าว​สาลี​ไป​ไว้​ใน​ยุ้งฉาง​ของ​ข้า’” พระเยซู​ยัง​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​เมล็ด​มัสตาร์ด​เมล็ด​หนึ่ง ที่​ชาวนา​เอา​ไป​ปลูก​ไว้​ใน​ไร่​ของ​เขา มัน​เป็น​เมล็ด​ที่​เล็ก​ที่​สุด​ใน​จำนวน​เมล็ด​ทั้งหมด แต่​เมื่อ​มัน​โต​ขึ้น​มา มัน​กลับ​สูง​ใหญ่​กว่า​พืช​สวนครัว​ทั้งหมด​และ​กลาย​เป็น​ต้น​ที่​นก​มา​ทำ​รัง​ตาม​กิ่ง​ก้าน​ของ​มัน​ได้” แล้ว​พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​กับ​เชื้อฟู ที่​ผู้หญิง​คน​หนึ่ง​ผสม​ลง​ไป​ใน​แป้ง​สามถัง แล้ว​มัน​ก็​ทำ​ให้​แป้ง​ทั้ง​ก้อน​ฟู​ขึ้น​มา” พระเยซู​เล่า​เรื่อง​พวกนี้​ให้​ฟัง และ​ใช้​เรื่อง​เปรียบ​เทียบ​ทั้งหมด ไม่​มี​สัก​เรื่อง​เลย ที่​ไม่​ได้​ใช้​เรื่อง​เปรียบเทียบ​เล่า ซึ่ง​ก็​เป็น​จริง​ตาม​ที่​ผู้พูดแทนพระเจ้า​พูด​ไว้​ว่า “เรา​จะ​พูด​ออก​มา​เป็น​เรื่อง​เปรียบเทียบ เรา​จะ​พูด​ถึง​ความลับ​ที่​ถูก​ปกปิด​ไว้​ตั้งแต่​สร้าง​โลก​มา” พระเยซู​จาก​ฝูงชน​มา แล้ว​เข้า​ไป​ใน​บ้าน พวก​ศิษย์​เข้า​มา​บอก​พระองค์​ว่า “ช่วย​อธิบาย​เรื่อง​ต้น​วัชพืช​ใน​นา​นั้น​ให้​หน่อย​ครับ” พระองค์​ตอบ​ว่า “คน​ที่​หว่าน​เมล็ด​พืชพันธุ์​ดี​คือ บุตรมนุษย์ ไร่นา​คือ​โลกนี้ เมล็ด​พืชพันธุ์​ดี​คือ​คน​ของ​อาณาจักร​ของ​พระเจ้า ต้น​วัชพืช​คือ​คน​ของ​มารร้าย ศัตรู​ที่​เข้า​มา​หว่าน​วัชพืช​คือ​มารร้าย ฤดู​เก็บเกี่ยว​คือ​วัน​สิ้น​ยุค และ​พวก​คน​งาน​ที่​เก็บเกี่ยว​ก็​คือ​พวก​ทูตสวรรค์ ต้น​วัชพืช​ถูก​ถอน​ไป​เผา​ไฟ​อย่างไร เมื่อ​วัน​สิ้น​ยุค​มา​ถึง​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น บุตรมนุษย์​จะ​ส่ง​ทูตสวรรค์​ของ​พระองค์​ออก​ไป​รวบรวม​ทุก​อย่าง​ที่​ทำ​ให้​คน​ทำ​บาป​และ​คน​ที่​ทำ​ชั่ว ให้​ออก​ไป​จาก​อาณาจักร​ของ​พระองค์ ทูตสวรรค์​จะ​เอา​คน​พวกนี้ ไป​โยน​ลง​ใน​เตาไฟ​ที่​ร้อนแรง ที่​มี​แต่​เสียง​ร้องไห้​โหยหวน​อย่าง​เจ็บปวด แล้ว​คน​ที่​ทำ​ตามใจ​พระเจ้า​ก็​จะ​ส่อง​สว่าง​เหมือน​กับ​ดวง​อาทิตย์​ใน​อาณาจักร​ของ​พระบิดา​ของ​พวก​เขา ใคร​มี​หู ก็​ฟัง​ไว้​ให้​ดี” “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เหมือน​กับ​ทรัพย์​สมบัติ​ที่​ซ่อน​ไว้​ใน​ทุ่งนา เมื่อ​มี​คน​มา​พบ​เข้า​ก็​เอา​ไป​ซ่อน​ไว้​เหมือน​เดิม และ​ด้วย​ความ​ดีใจ​จึง​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​ที่​เขา​มี แล้ว​ไป​ซื้อ​ที่​นา​นั้น” “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เหมือน​พ่อค้า​ที่​ไป​หา​ไข่มุก​เม็ด​งาม เมื่อ​ได้​พบ​ไข่มุก​ที่​มี​ค่า​มหาศาล​เม็ด​หนึ่ง จึง​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​ที่​เขา​มี และ​ไป​ซื้อ​ไข่มุก​เม็ด​นั้น” “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เหมือน​อวน​ที่​ทอด​อยู่​ใน​ทะเลสาบ​และ​จับ​ปลา​ได้​หลาย​ชนิด เมื่อ​อวน​เต็ม ก็​ลาก​อวน​ขึ้น​ฝั่ง นั่ง​เลือก​แต่​ปลา​ที่​ดีๆ​ใส่​เข่ง และ​โยน​ปลา​ที่​ไม่​ดี​ทิ้ง​ไป ใน​วัน​สิ้น​ยุค​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น เหล่า​ทูตสวรรค์​จะ​ออก​มา​แยก​พวก​คนชั่ว​ออก​จาก​พวก​คนดี แล้ว​จะ​โยน​พวก​คนชั่ว​ลง​ใน​เตาไฟ​ที่​ร้อนแรง​ที่​มี​แต่​เสียง​ร้องไห้​โหยหวน​อย่าง​เจ็บปวด” “ทั้งหมด​ที่​เรา​พูด​มา​นี้ พวก​คุณ​เข้าใจ​แล้ว​หรือ​ยัง” พวก​ศิษย์​ตอบ​ว่า “เข้าใจ​แล้ว​ครับ” พระเยซู​จึง​พูด​กับ​พวก​ศิษย์​ว่า “พวก​ครู​สอน​กฎปฏิบัติ​ทุก​คน ที่​ได้​เรียนรู้​ถึง​อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​แล้ว ก็​เหมือน​เจ้าของ​บ้าน​คน​หนึ่ง ที่​ได้​เอา​สมบัติ​ทั้ง​เก่า​และ​ใหม่​ออก​มา​จาก​ห้อง​เก็บ​ของ”

มัทธิว 13:24-52 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย บรรดาทาสของเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านไม่ใช่หรือ? แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?’ นายก็ตอบว่า ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’ ทาสเหล่านั้นจึงถามว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้เราไปถอนและเก็บข้าวละมานไหม?’ แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งบรรดาผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของเรา” ’ ” พระองค์ยังตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และเติบโตเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้” พระองค์ยังตรัสอุปมาให้พวกเขาฟังอีกเรื่องหนึ่งว่า “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมา และนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า “เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” แล้วพระเยซูเสด็จไปจากฝูงชนเข้าไปในบ้าน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าใจอุปมาเรื่องข้าวละมานในนานั้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น “อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี และเมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายทุกสิ่งซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น “อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลามาทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะออกมาแยกพวกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”

มัทธิว 13:24-52 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

พระองค์​ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่​เมื่อคนทั้งหลายนอนหลั​บอย​ู่ ศัตรู​ของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็​หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย พวกผู้​รับใช้​แห่​งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิ​ใช่​หรือ แต่​มี​ข้าวละมานมาจากไหน’ นายก​็ตอบพวกเขาว่า ‘​นี้​เป็นการกระทำของศั​ตรู​’ พวกผู้​รับใช้​จึงถามนายว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’ แต่​นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกล​ือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลี​ด้วย ให้​ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดู​เกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้​เก​ี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่​ข้าวสาลี​นั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’” พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้​นที​่​จร​ิ​งก​็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่​เมื่องอกขึ้นแล้​วก​็​ใหญ่​ที่​สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่​งก​้านของต้นนั้นได้” พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟั​งอ​ีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” ข้อความเหล่านี้​ทั้งสิ้น พระเยซู​ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์​มิได้​ตรัสกับเขาเลย ทั้งนี้​เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์​ว่า ‘เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้​ตั้งแต่​เดิมสร้างโลก’ แล​้วพระเยซูจึงทรงให้ฝูงชนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์​ก็​มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์​เข​้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น” พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “​ผู้​หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้​แก่​บุ​ตรมนุษย์ นาน​ั้นได้​แก่​โลก ส่วนเมล็ดพืชดี​ได้แก่​ลูกหลานแห่งอาณาจั​กร แต่​ข้าวละมานได้​แก่​ลูกหลานของมารร้าย ศัตรู​ผู้​หว่านข้าวละมานได้​แก่​พญามาร ฤดู​เก​ี่ยวได้​แก่​การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้​เก​ี่ยวนั้นได้​แก่​พวกทูตสวรรค์ เหตุ​ฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้​ก็​จะเป็นอย่างนั้น บุ​ตรมนุษย์จะใช้พวกทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่​ทำให้​หลงผิด และบรรดาผู้​ที่​ทำความชั่วช้าไปจากอาณาจักรของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมี​หู​จงฟังเถิด อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่​อม​ี​ผู้​ใดพบแล้​วก​็​กล​ับซ่อนเสี​ยอ​ีก และเพราะความปรี​ดี​จึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามี​อยู่ แล​้วไปซื้อทุ่งนานั้น อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่​มุ​กอย่างดี ซึ่งเมื่อได้พบไข่​มุ​กเม็ดหนึ่​งม​ีค่ามาก ก็​ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามี​อยู่ ไปซื้อไข่​มุ​กนั้น อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติ​ดปลารวมทุกชนิด ซึ่งเมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่​ที่​ดี​ใส่​ในภาชนะ แต่​ที่​ไม่ดี​นั้​นก​็ทิ้งเสีย ในการสิ้นสุดของโลกก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล​้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​” พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” เขาทูลตอบพระองค์​ว่า “​เข้าใจ พระเจ้าข้า” ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์​ทุ​กคนที่​ได้​รับการสั่งสอนถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์​แล้ว ก็​เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”

มัทธิว 13:24-52 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า <นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน> นายก็ตอบว่า <นี่เป็นการกระทำของศัตรู> พวกทาสจึงถามว่า <ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ> แต่นายตอบว่า <อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า <จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา> >> พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้>> พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด>> ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะ ที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก แล้วพระเยซูเสด็จไปจากคนเหล่านั้นเข้าไปในเรือน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า <<ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชชั่วได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เหตุฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่กระทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น <<อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี และเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น <<อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน <<ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ>> เขาทูลตอบพระองค์ว่า <<เข้าใจพระเจ้าข้า>> ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า <<เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน>>

มัทธิว 13:24-52 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของตน แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ศัตรูของเขามาหว่านวัชพืชแทรกปนกับข้าวสาลีแล้วก็จากไป เมื่อข้าวสาลีงอกและออกรวง วัชพืชก็ปรากฏขึ้นด้วย “คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายขอรับ ท่านหว่านข้าวดีในนาไม่ใช่หรือ? ก็แล้ววัชพืชมาจากไหน?’ “นายตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’ “คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราไปถอนทิ้งดีไหม?’ “นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืชเจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีขึ้นมาด้วย ให้ทั้งคู่งอกขึ้นไปด้วยกันจนถึงเวลาเกี่ยว ถึงตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวให้เก็บวัชพืชก่อนและมัดเป็นฟ่อนนำไปเผาไฟ แล้วเก็บข้าวสาลีนำมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’” พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นก็ใหญ่ที่สุดในสวนและกลายเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง” แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” ทั้งหมดนี้พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลยนอกจากคำอุปมา ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก” จากนั้นทรงละฝูงชนเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืชด้วยเถิด” พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรมนุษย์ นาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีหมายถึงพลเมืองของอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนวัชพืชหมายถึงพลเมืองของมาร ศัตรูที่หว่านวัชพืชนั้นคือมาร เวลาเก็บเกี่ยวคือเมื่อสิ้นยุค และผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ “วัชพืชถูกถอนมาเผาไฟอย่างไร เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มากำจัดทุกสิ่งอันเป็นต้นเหตุของบาปและกำจัดทุกคนที่ทำชั่วออกจากอาณาจักรของพระองค์ แล้วโยนลงในเตาไฟลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วผู้ชอบธรรมจะส่องสว่างเหมือนดวงตะวันในอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบเข้าก็กลับซ่อนไว้และด้วยความตื่นเต้นยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่มีแล้วมาซื้อทุ่งนานั้น “อนึ่งอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อเขาได้พบไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่งจึงไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกนั้น “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนซึ่งทอดลงในทะเลและจับปลาได้สารพัดชนิด พอเต็มแล้วชาวประมงก็ลากอวนขึ้นฝั่งแล้วคัดเอาแต่ปลาที่ดีใส่ตะกร้า ส่วนที่ไม่ดีก็ทิ้งไป เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ คือทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วช้าออกจากคนชอบธรรม และนำไปทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” พระเยซูตรัสถามว่า “ทั้งหมดนี้พวกท่านเข้าใจหรือไม่?” พวกเขาทูลตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นธรรมาจารย์ทุกคนที่รับคำสอนเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านซึ่งนำสมบัติใหม่และสมบัติเก่าออกมาจากคลังของตน”

มัทธิว 13:24-52 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

พระ​องค์​เล่า​เรื่อง​เป็น​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง​อีกว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​กับ​ชาวไร่​คนหนึ่ง​ที่​ได้​ใช้​เมล็ดพืช​ดี​หว่าน​ใน​นา​ของ​เขา ขณะที่​คน​นอน​หลับ​กัน ศัตรู​ของ​เขา​มา​หว่าน​เมล็ด​วัชพืช​ปนกับ​เมล็ด​ข้าว แล้ว​หนี​ไป เมื่อ​ข้าว​งอกขึ้น​จน​ออก​รวง วัชพืช​ก็​งอกขึ้น​เช่น​กัน บรรดา​ทาส​รับใช้​ของ​เจ้าของ​ที่ดิน​มา​ถาม​เขา​ว่า ‘เจ้านาย ท่าน​ได้​หว่าน​เมล็ด​ดี​ใน​นา​ของ​ท่าน​มิ​ใช่​หรือ แล้ว​มี​วัชพืช​ด้วย​ได้​อย่างไร’ เขา​ตอบ​ทาส​รับใช้​ว่า ‘ศัตรู​เป็น​คน​กระทำ’ ทาส​รับใช้​พูด​ว่า ‘ถ้า​เช่นนั้น​แล้ว ท่าน​จะ​ให้​เรา​ไป​ถอน​มัน​ทิ้ง​ไหม’ แต่​นาย​ตอบ​ว่า ‘อย่า​เลย เพราะ​หากว่า​เจ้า​ถอน​วัชพืช​ออก เจ้า​อาจจะ​พลอย​ถอน​ข้าว​ดี​ไป​ด้วย ปล่อย​ทั้ง​สอง​ชนิด​ให้​โต​ไป​ด้วย​กัน​จนถึง​เวลา​เก็บ​เกี่ยว เมื่อ​ถึง​เวลา​นั้น​แล้ว เรา​จะ​สั่ง​คน​เกี่ยว​ว่า “มัด​รวบ​รวม​วัชพืช​แล้ว​เผา​ไฟ​เสียก่อน แล้ว​จึง​ค่อย​เก็บ​ข้าว​ไว้​ใน​ยุ้ง​ของ​เรา”’” พระ​องค์​เล่า​เรื่อง​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง​อีก​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​เมล็ด​พันธุ์​จิ๋ว​ที่​ชาย​คน​หนึ่ง​เอา​ไป​ปลูก​ใน​นา​ของ​เขา เมล็ด​นี้​เล็ก​ที่สุด​ใน​บรรดา​เมล็ด​พืช​อื่นๆ แต่​เมื่อ​เติบโต​เต็มที่​แล้ว มัน​มี​ขนาด​ใหญ่​กว่า​บรรดา​พืช​สวน​ชนิด​อื่น จน​กลาย​เป็น​ต้นไม้​ที่​ฝูง​นก​เข้า​พักพิง​อาศัย​ได้​ตาม​กิ่ง​ของ​มัน” พระ​องค์​กล่าว​เป็น​อุปมา​อีกว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​เชื้อ​ยีสต์​ที่​หญิง​คน​หนึ่ง​เอา​ไป​ผสม​ใน​แป้ง 3 ถัง​จน​แป้ง​ขึ้น​ฟู​ทั้ง​หมด” พระ​เยซู​เล่า​เรื่อง​เหล่า​นี้​ให้​ฝูง​ชน​ฟัง​เป็น​อุปมา พระ​องค์​ไม่​ได้​กล่าว​สิ่งใด​โดย​ไม่​ใช้​คำ​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง เพื่อ​เป็นไป​ตามที่​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​กล่าวไว้​คือ “เรา​จะ​เปิด​ปาก​ของ​เรา​กล่าว​คำ​อุปมา เรา​จะ​เล่า​เรื่อง​ที่​ซ่อนเร้น​ตั้งแต่​แรก​สร้าง​โลก” ครั้น​แล้ว​พระ​เยซู​ก็​จาก​ฝูง​ชน​เข้าไป​ใน​บ้าน​หลัง​หนึ่ง สาวก​ของ​พระ​องค์​ได้​กล่าว​กับ​พระ​องค์​ว่า “โปรด​อธิบาย​คำ​อุปมา​เรื่อง​วัชพืช​ใน​นา​ให้​พวก​เรา​ฟัง​ด้วย​เถิด” พระ​องค์​กล่าวตอบ​ว่า “ผู้​ที่​หว่าน​เมล็ดพืช​ชนิด​ดี คือ​บุตรมนุษย์ นา​ก็​คือ​โลก เมล็ดพืช​ชนิด​ดี​คือ​บรรดา​บุตร​ของ​อาณาจักร และ​เมล็ด​วัชพืช​คือ​บรรดา​บุตร​ของ​มารร้าย ศัตรู​ที่​หว่าน​คือ​พญามาร และ​ฤดู​เก็บ​เกี่ยว​แสดง​ถึง​การ​สิ้น​ยุค​นี้ บรรดา​ผู้​เก็บ​เกี่ยว​คือ​ทูต​สวรรค์ ฉะนั้น​เมล็ด​วัชพืช​ถูก​รวบ​รวม​และ​ถูก​ไฟ​เผา​อย่างไร การ​สิ้น​ยุค​นี้​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น บุตรมนุษย์​จะ​ส่ง​เหล่า​ทูต​สวรรค์​ของ​ท่าน​ให้​มา​รวบ​รวม​ทุก​สิ่ง​ที่​เป็น​เหตุ​ให้​คน​ทำบาป และ​พวก​ที่​ประพฤติ​ชั่วร้าย​ไป​เสีย​จาก​อาณาจักร​ของ​ท่าน แล้ว​โยน​พวก​เขา​ลง​ใน​เตาไฟ ณ ที่​นั่น​จะ​มี​การ​ร่ำไห้​และ​ขบเขี้ยว​เคี้ยวฟัน แล้ว​รัศมี​ของ​บรรดา​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม​จะ​สาดส่อง​ดุจ​ดวง​อาทิตย์​ใน​อาณาจักร​ของ​พระ​บิดา​ของ​เขา ผู้​ใด​มี​หู จง​ฟัง​เถิด อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​สมบัติ​ที่​ซ่อน​ไว้​ใน​ทุ่งนา​ซึ่ง​ชาย​คนหนึ่ง​มา​พบ​แล้ว​นำ​ไป​ซ่อน​อีก ชาย​คน​ดัง​กล่าว​ยินดี​ยิ่ง​จึง​ได้​ขาย​ทุก​สิ่ง​ที่​ตน​มี​อยู่ เพื่อ​ซื้อ​ที่​นา​นั้น อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​ได้​อีก​เสมือน​พ่อค้า​คนหนึ่ง​ที่​เสาะหา​ไข่มุก​ชนิด​ดี เมื่อ​พบ​ไข่มุก​เม็ดหนึ่ง​ซึ่ง​มี​ค่า​มหาศาล เขา​ก็​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ที่​มีอยู่ แล้ว​มา​ซื้อ​ไข่มุก​นั้น อีก​ประการ​หนึ่ง อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​อวน​ที่​ทอด​อยู่ใน​ทะเล มี​ปลา​ทุก​ชนิด​ติดอยู่ เมื่อ​อวน​เต็ม เขา​ก็​ลาก​ขึ้น​ชาย​ฝั่ง​และ​นั่ง​แยก​ปลา​ชนิด​ดี​ใส่​ถัง ส่วนตัว​ที่​ไม่​ดี​ก็​โยน​ทิ้งไป เมื่อ​ถึง​การ​สิ้น​ยุค​นี้​ก็​เช่น​กัน เหล่า​ทูต​สวรรค์​จะ​มา​เอา​ตัว​พวก​คน​ชั่วร้าย​แยก​ไป​จาก​บรรดา​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม แล้ว​โยน​พวก​เขา​ลง​ใน​เตาไฟ ณ ที่​นั่น​จะ​มี​การ​ร่ำไห้​และ​ขบเขี้ยว​เคี้ยวฟัน” พระ​เยซู​ถาม​พวก​เขา​ว่า “เจ้า​เข้าใจ​สิ่ง​เหล่า​นี้​แล้ว​ยัง” พวก​เขา​ตอบ​ว่า “เข้าใจ” พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “ฉะนั้น​อาจารย์​ฝ่าย​กฎ​บัญญัติ​ทุก​คน​ที่​เรียนรู้​ถึง​อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์ เปรียบ​เสมือน​เจ้าบ้าน​ที่​เอา​สมบัติ​ทั้ง​ใหม่​และ​เก่า​ของ​ตน​ออกมา​ให้​ดู”