ลูกา 9:18-48
ลูกา 9:18-48 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด>> เหล่าสาวกทูลตอบว่า <<เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณเป็นขึ้นมาใหม่>> พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร>> เปโตรทูลตอบว่า <<เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า>> พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด และตรัสว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่>> พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า <<ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านจะมาด้วยพระสิริของท่านเอง ของพระบิดา และของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ แต่เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า>> ภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ ดูเถิด มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์ ผู้มาปรากฏด้วยศักดิ์ศรี และกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้ว เขาก็ได้เห็นพระสิริของพระองค์ และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ เมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> เปโตรไม่รู้สึกตัวว่าได้พูดอะไร เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเขาอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด>> เมื่อพระสุรเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูทรงสถิตอยู่องค์เดียว เขาทั้งสามก็นิ่งอยู่ และในกาลครั้งนั้นเขามิได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้น ร้องว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดดูบุตรของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว และดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำไม่ใคร่ออกจากเขาเลย ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้>> พระเยซูตรัสตอบว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด>> เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะความใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่ เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า <<ท่านทั้งหลายจงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือมนุษย์>> แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น แล้วเหล่าสาวกก็เกิดเถียงกันว่าในพวกเขาใครเป็นใหญ่ ฝ่ายพระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของเขาจึงให้เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้พระองค์ แล้วตรัสกับเขาว่า <<ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆคนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ได้รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะว่าในพวกท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้น้อยผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่>>
ลูกา 9:18-48 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
เมื่อพระเยซูอธิษฐานอยู่คนเดียว พวกศิษย์ก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงถามว่า “ชาวบ้านพูดว่าเราเป็นใคร” พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งในสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่” พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” พระเยซูเตือนพวกเขาว่าอย่าบอกให้ใครรู้ พระองค์พูดว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกฆ่า แต่พระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม” แล้วพระองค์ก็พูดกับทุกคนว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา ต้องเลิกตามใจตัวเอง แล้วแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเราทุกๆวัน คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะรอด มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่เสียตัวตนหรือถูกทำลายไป คนไหนที่อับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายที่จะรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จมาพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์ สง่าราศีของพระบิดา และของพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน” หลังจากนั้นประมาณแปดวันพระองค์พาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ในขณะที่อธิษฐาน ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววาว อยู่ๆก็มีชายสองคน คือโมเสสกับเอลียาห์ มาพูดคุยอยู่กับพระองค์ที่นั่น ทั้งสองเปล่งรัศมีเจิดจ้า พวกเขากำลังพูดถึงการตายของพระเยซูที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม ส่วนเปโตรกับเพื่อนอีกสองคนนั้นง่วงมาก แต่เมื่อพวกเขาตื่นเต็มที่ ก็เห็นรัศมีอันเจิดจ้าของพระเยซู และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ เมื่อชายสองคนนั้นกำลังจะไป เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีจังเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ เราจะได้สร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หนึ่งหลัง โมเสสหนึ่งหลัง และเอลียาห์อีกหนึ่งหลัง” แต่เปโตรไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ พวกเขากลัวมาก มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกของเราที่เราเลือกไว้ ให้เชื่อฟังท่าน” เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พวกเขาก็เห็นแต่พระเยซูเท่านั้น แล้วพวกศิษย์ก็เก็บเรื่องที่ได้เห็นนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยในตอนนั้น วันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินลงมาจากภูเขา ชาวบ้านกลุ่มใหญ่มาหาพระเยซู ชายคนหนึ่งในฝูงชนนั้นร้องขึ้นว่า “อาจารย์ครับ ช่วยลูกผมด้วย ผมมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ผีชั่วชอบเข้าสิงเขา เขาก็จะกรีดร้องทันที บางครั้งมันก็ทำให้เด็กล้มชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และชอบทำร้ายเขาอยู่เรื่อย ผมได้ขอร้องให้พวกศิษย์ของท่านขับมันออกไป แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระเยซูจึงตอบว่า “พวกขาดความเชื่อและหัวดื้อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาลูกคุณมานี่ซิ” เมื่อเด็กนั้นกำลังเดินเข้ามา ผีชั่วก็ทำให้เขาล้มลงชักดิ้นชักงอกับพื้น พระเยซูได้ตวาดไล่ผีชั่วนั้นออกไป และรักษาเด็กคนนั้น แล้วส่งคืนให้กับพ่อของเขา ทุกคนต่างพากันประหลาดใจมากถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่พระเยซูทำนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ตั้งใจฟังให้ดีในสิ่งที่เราจะบอก บุตรมนุษย์ จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์” แต่พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร เพราะความหมายถูกซ่อนไปจากใจของพวกเขา ก็เลยไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาเริ่มเถียงกันว่า ในกลุ่มพวกเขาใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ พระองค์จึงพาเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆพระองค์ แล้วพูดกับพวกศิษย์ว่า “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นก็ต้อนรับเรา และคนที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย คนที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่พวกคุณนั่นล่ะคือคนที่สำคัญที่สุด”
ลูกา 9:18-48 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ตามลำพังโดยมีสาวกทั้งหลายอยู่ใกล้ๆ พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ ส่วนคนอื่นๆ ก็ว่าเป็นหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณที่กลับเป็นขึ้นมา” พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเองคิดว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า” พระองค์จึงกำชับสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใครเรื่องนี้ และตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง พวกผู้ใหญ่ พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธท่าน และในที่สุดท่านจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม พระเจ้าจะทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่” พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ทำลายหรือสูญเสียตัวเองไป ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ แต่เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่พบความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า” หลังจากพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้ประมาณแปดวัน พระองค์ทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน ขณะพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวจนพร่าตา และนี่แน่ะ มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์ ผู้มาปรากฏด้วยรัศมี และกำลังกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งใกล้จะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นกำลังง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อพวกเขาตาสว่างขึ้น เขาก็เห็นพระรัศมีของพระองค์และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ เมื่อสองคนนั้นกำลังจะลาจากพระองค์ไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ น่าจะทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้ และเมื่อเข้าไปอยู่ในเมฆนั้นพวกเขาก็กลัว แล้วมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ที่เราเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” เมื่อสิ้นพระสุรเสียงนั้นแล้ว พระเยซูก็ทรงปรากฏอยู่เพียงลำพัง พวกเขาก็ปิดเรื่องนี้เงียบ และในช่วงเวลาต่อมาเขาไม่ได้เล่าให้ใครฟังถึงสิ่งที่เขาเห็นนั้น วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกสามคนนั้นลงมาจากภูเขาแล้ว มหาชนมาพบพระองค์ นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องว่า “ท่านอาจารย์ โปรดช่วยดูลูกของข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้ามีลูกเพียงคนเดียว เวลาเขาถูกผีสิง เด็กก็กรีดร้องขึ้นทันที ผีมักจะทำให้เขาชักดิ้นชักงอจนน้ำลายฟูมปาก ทำให้เนื้อตัวเขาฟกช้ำ และไม่ค่อยยอมออกจากตัวเขา ข้าพเจ้าขอให้พวกสาวกของพระองค์ขับมันออก แต่เขาทำไม่ได้” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อและวิปลาส เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดกลั้นกับพวกท่านนานเพียงไร? จงไปพาบุตรของท่านมาที่นี่” ระหว่างที่เด็กคนนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มลงชัก แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้น และทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาของเขา ทุกคนต่างก็ประหลาดใจมากในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ระหว่างที่พวกเขายังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างที่พระเยซูทรงทำนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงฟังคำเหล่านี้ให้ดี คือว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์” แต่พวกสาวกไม่เข้าใจคำตรัสนี้ เพราะความหมายถูกซ่อนไว้จากพวกเขา เพื่อเขาจะไม่เข้าใจ และพวกเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงเรื่องนี้ มีการทุ่มเถียงกันเกิดขึ้นท่ามกลางพวกสาวกว่าในพวกเขาใครยิ่งใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของพวกเขา จึงให้เด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ พระองค์ แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าใครยอมรับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา คนนั้นก็ยอมรับเรา และใครที่ยอมรับเรา คนนั้นก็ยอมรับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะคนที่เล็กน้อยที่สุดในพวกท่านคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ลูกา 9:18-48 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
ครั้งหนึ่งขณะพระเยซูทรงกำลังอธิษฐานเป็นการส่วนพระองค์และเหล่าสาวกอยู่ด้วย พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่าเป็นผู้เผยพระวจนะในสมัยเก่าก่อนคนหนึ่งที่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย” พระองค์ตรัสถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า? พวกท่านว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “ทรงเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า” พระเยซูทรงกำชับพวกเขาอย่างเคร่งครัดไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร และตรัสว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์หลายประการ ถูกบรรดาผู้อาวุโสและพวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ปฏิเสธ พระองค์จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามจะทรงมีชีวิตกลับเป็นขึ้นมาใหม่” จากนั้นพระองค์ตรัสกับเขาทั้งปวงว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะมีชีวิตรอด จะมีประโยชน์อะไรที่คนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียตัวของเขาเอง? ถ้าผู้ใดอับอายในตัวเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายในตัวเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์และพระเกียรติสิริของพระบิดา พร้อมทั้งศักดิ์ศรีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่จะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าก่อนที่จะลิ้มรสความตาย” ราวแปดวันหลังจากที่พระเยซูตรัสดังนั้น พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ขณะพระองค์ทรงกำลังอธิษฐาน พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์สว่างสุกใสดังแสงฟ้าแลบ มีชายสองคนคือโมเสสกับเอลียาห์ มาปรากฏกายอย่างเปี่ยมด้วยสง่าราศีและสนทนากับพระเยซู พวกเขาพูดถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งพระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม เปโตรกับเพื่อนๆ ง่วงมาก แต่เมื่อตาสว่างเต็มที่พวกเขาก็เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ ขณะคนทั้งสองกำลังจะจากไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่) ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เมฆก็ปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขา เมื่ออยู่ในเมฆพวกเขากลัวมาก มีพระสุรเสียงดังจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังเขาเถิด” เมื่อสิ้นเสียงนั้น พวกเขาเห็นว่ามีพระเยซูอยู่เพียงผู้เดียว สาวกทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว และในเวลานั้นพวกเขาไม่เล่าสิ่งที่ตนเห็นให้ใครฟัง วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเขาลงมาจากภูเขาแล้ว มีฝูงชนกลุ่มใหญ่มาพบพระเยซู ชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องทูลว่า “พระอาจารย์ ขอพระองค์โปรดมาทอดพระเนตรลูกชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวของข้าพระองค์ มีวิญญาณเข้าสิงเขาและเขาจะกรีดร้องทันที มันทำให้เขาชักทุรนทุราย น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และมันกำลังทำลายเขา ข้าพระองค์ขอร้องสาวกของพระองค์ให้ขับมันออก แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระเยซูตรัสว่า “คนในยุคที่ขาดความเชื่อและวิปริต เราจะอยู่กับพวกท่านและต้องทนพวกท่านไปนานเท่าใด? พาลูกของท่านมาที่นี่เถิด” แม้ขณะที่เด็กกำลังมา ผีก็ยังทำให้เขาล้มชักบนพื้น แต่พระเยซูทรงกำราบวิญญาณชั่ว และรักษาเด็กคนนั้นแล้วส่งคืนให้บิดา เขาทั้งหลายล้วนศรัทธาในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจในการทั้งปวงที่พระเยซูได้ทรงกระทำ พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงตั้งใจฟังสิ่งที่เราจะบอกท่านให้ดี คือบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์” แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอะไร เพราะความข้อนี้ถูกเก็บงำจากเขาเพื่อเขาจะไม่เข้าใจ และเขาก็ไม่กล้าทูลถามพระองค์เรื่องนี้ เกิดการโต้เถียงกันในหมู่สาวกว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ข้างพระองค์ แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เพราะผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่พวกท่านทั้งปวง ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ลูกา 9:18-48 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
เมื่อพระเยซูอธิษฐานอยู่คนเดียว พวกศิษย์ก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงถามว่า “ชาวบ้านพูดว่าเราเป็นใคร” พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งในสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่” พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” พระเยซูเตือนพวกเขาว่าอย่าบอกให้ใครรู้ พระองค์พูดว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกฆ่า แต่พระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม” แล้วพระองค์ก็พูดกับทุกคนว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา ต้องเลิกตามใจตัวเอง แล้วแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเราทุกๆวัน คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะรอด มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่เสียตัวตนหรือถูกทำลายไป คนไหนที่อับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายที่จะรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จมาพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์ สง่าราศีของพระบิดา และของพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน” หลังจากนั้นประมาณแปดวันพระองค์พาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ในขณะที่อธิษฐาน ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววาว อยู่ๆก็มีชายสองคน คือโมเสสกับเอลียาห์ มาพูดคุยอยู่กับพระองค์ที่นั่น ทั้งสองเปล่งรัศมีเจิดจ้า พวกเขากำลังพูดถึงการตายของพระเยซูที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม ส่วนเปโตรกับเพื่อนอีกสองคนนั้นง่วงมาก แต่เมื่อพวกเขาตื่นเต็มที่ ก็เห็นรัศมีอันเจิดจ้าของพระเยซู และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ เมื่อชายสองคนนั้นกำลังจะไป เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีจังเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ เราจะได้สร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หนึ่งหลัง โมเสสหนึ่งหลัง และเอลียาห์อีกหนึ่งหลัง” แต่เปโตรไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ พวกเขากลัวมาก มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกของเราที่เราเลือกไว้ ให้เชื่อฟังท่าน” เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พวกเขาก็เห็นแต่พระเยซูเท่านั้น แล้วพวกศิษย์ก็เก็บเรื่องที่ได้เห็นนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยในตอนนั้น วันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินลงมาจากภูเขา ชาวบ้านกลุ่มใหญ่มาหาพระเยซู ชายคนหนึ่งในฝูงชนนั้นร้องขึ้นว่า “อาจารย์ครับ ช่วยลูกผมด้วย ผมมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ผีชั่วชอบเข้าสิงเขา เขาก็จะกรีดร้องทันที บางครั้งมันก็ทำให้เด็กล้มชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และชอบทำร้ายเขาอยู่เรื่อย ผมได้ขอร้องให้พวกศิษย์ของท่านขับมันออกไป แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระเยซูจึงตอบว่า “พวกขาดความเชื่อและหัวดื้อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาลูกคุณมานี่ซิ” เมื่อเด็กนั้นกำลังเดินเข้ามา ผีชั่วก็ทำให้เขาล้มลงชักดิ้นชักงอกับพื้น พระเยซูได้ตวาดไล่ผีชั่วนั้นออกไป และรักษาเด็กคนนั้น แล้วส่งคืนให้กับพ่อของเขา ทุกคนต่างพากันประหลาดใจมากถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่พระเยซูทำนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ตั้งใจฟังให้ดีในสิ่งที่เราจะบอก บุตรมนุษย์ จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์” แต่พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร เพราะความหมายถูกซ่อนไปจากใจของพวกเขา ก็เลยไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาเริ่มเถียงกันว่า ในกลุ่มพวกเขาใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ พระองค์จึงพาเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆพระองค์ แล้วพูดกับพวกศิษย์ว่า “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นก็ต้อนรับเรา และคนที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย คนที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่พวกคุณนั่นล่ะคือคนที่สำคัญที่สุด”
ลูกา 9:18-48 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ตามลำพังโดยมีสาวกทั้งหลายอยู่ใกล้ๆ พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ ส่วนคนอื่นๆ ก็ว่าเป็นหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณที่กลับเป็นขึ้นมา” พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเองคิดว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า” พระองค์จึงกำชับสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใครเรื่องนี้ และตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง พวกผู้ใหญ่ พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธท่าน และในที่สุดท่านจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม พระเจ้าจะทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่” พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ทำลายหรือสูญเสียตัวเองไป ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ แต่เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่พบความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า” หลังจากพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้ประมาณแปดวัน พระองค์ทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน ขณะพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวจนพร่าตา และนี่แน่ะ มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์ ผู้มาปรากฏด้วยรัศมี และกำลังกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งใกล้จะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นกำลังง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อพวกเขาตาสว่างขึ้น เขาก็เห็นพระรัศมีของพระองค์และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ เมื่อสองคนนั้นกำลังจะลาจากพระองค์ไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ น่าจะทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้ และเมื่อเข้าไปอยู่ในเมฆนั้นพวกเขาก็กลัว แล้วมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ที่เราเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” เมื่อสิ้นพระสุรเสียงนั้นแล้ว พระเยซูก็ทรงปรากฏอยู่เพียงลำพัง พวกเขาก็ปิดเรื่องนี้เงียบ และในช่วงเวลาต่อมาเขาไม่ได้เล่าให้ใครฟังถึงสิ่งที่เขาเห็นนั้น วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกสามคนนั้นลงมาจากภูเขาแล้ว มหาชนมาพบพระองค์ นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องว่า “ท่านอาจารย์ โปรดช่วยดูลูกของข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้ามีลูกเพียงคนเดียว เวลาเขาถูกผีสิง เด็กก็กรีดร้องขึ้นทันที ผีมักจะทำให้เขาชักดิ้นชักงอจนน้ำลายฟูมปาก ทำให้เนื้อตัวเขาฟกช้ำ และไม่ค่อยยอมออกจากตัวเขา ข้าพเจ้าขอให้พวกสาวกของพระองค์ขับมันออก แต่เขาทำไม่ได้” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อและวิปลาส เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดกลั้นกับพวกท่านนานเพียงไร? จงไปพาบุตรของท่านมาที่นี่” ระหว่างที่เด็กคนนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มลงชัก แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้น และทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาของเขา ทุกคนต่างก็ประหลาดใจมากในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ระหว่างที่พวกเขายังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างที่พระเยซูทรงทำนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงฟังคำเหล่านี้ให้ดี คือว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์” แต่พวกสาวกไม่เข้าใจคำตรัสนี้ เพราะความหมายถูกซ่อนไว้จากพวกเขา เพื่อเขาจะไม่เข้าใจ และพวกเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงเรื่องนี้ มีการทุ่มเถียงกันเกิดขึ้นท่ามกลางพวกสาวกว่าในพวกเขาใครยิ่งใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของพวกเขา จึงให้เด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ พระองค์ แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าใครยอมรับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา คนนั้นก็ยอมรับเรา และใครที่ยอมรับเรา คนนั้นก็ยอมรับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะคนที่เล็กน้อยที่สุดในพวกท่านคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ลูกา 9:18-48 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ต่อมาเมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “คนทั้งปวงพูดกันว่า เราเป็นผู้ใด” เหล่าสาวกทูลตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์โบราณเป็นขึ้นมาใหม่” พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า” พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด ตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธท่าน ในที่สุดท่านจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามท่านจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” พระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียตัวของตนเองหรือถูกทิ้งเสีย ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านมาด้วยสง่าราศีของท่านเองและของพระบิดาและของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า” ต่อมาภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ ดูเถิด มีชายสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสส และเอลียาห์ ผู้มาปรากฏด้วยสง่าราศี และกล่าวถึงการมรณาของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้วเขาก็ได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และเห็นชายสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ ต่อมาเมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่เข้าใจว่าตัวได้พูดอะไร เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเข้าอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” เมื่อพระสุรเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูทรงสถิตอยู่องค์เดียว เขาทั้งสามก็เก็บเรื่องนี้ไว้ และในกาลครั้งนั้นเขามิได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด” เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย” แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น แล้วเหล่าสาวกก็เกิดเถียงกันว่า ในพวกเขาใครจะเป็นใหญ่ที่สุด ฝ่ายพระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของเขา จึงให้เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้พระองค์ แล้วตรัสกับเขาว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆคนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ได้รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะว่าในพวกท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่”
ลูกา 9:18-48 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด>> เหล่าสาวกทูลตอบว่า <<เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณเป็นขึ้นมาใหม่>> พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร>> เปโตรทูลตอบว่า <<เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า>> พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด และตรัสว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่>> พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า <<ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านจะมาด้วยพระสิริของท่านเอง ของพระบิดา และของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ แต่เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า>> ภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ ดูเถิด มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์ ผู้มาปรากฏด้วยศักดิ์ศรี และกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้ว เขาก็ได้เห็นพระสิริของพระองค์ และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ เมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> เปโตรไม่รู้สึกตัวว่าได้พูดอะไร เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเขาอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด>> เมื่อพระสุรเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูทรงสถิตอยู่องค์เดียว เขาทั้งสามก็นิ่งอยู่ และในกาลครั้งนั้นเขามิได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้น ร้องว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดดูบุตรของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว และดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำไม่ใคร่ออกจากเขาเลย ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้>> พระเยซูตรัสตอบว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด>> เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะความใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่ เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า <<ท่านทั้งหลายจงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือมนุษย์>> แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น แล้วเหล่าสาวกก็เกิดเถียงกันว่าในพวกเขาใครเป็นใหญ่ ฝ่ายพระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของเขาจึงให้เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้พระองค์ แล้วตรัสกับเขาว่า <<ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆคนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ได้รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะว่าในพวกท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้น้อยผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่>>
ลูกา 9:18-48 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
ครั้งหนึ่งขณะพระเยซูทรงกำลังอธิษฐานเป็นการส่วนพระองค์และเหล่าสาวกอยู่ด้วย พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่าเป็นผู้เผยพระวจนะในสมัยเก่าก่อนคนหนึ่งที่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย” พระองค์ตรัสถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า? พวกท่านว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “ทรงเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า” พระเยซูทรงกำชับพวกเขาอย่างเคร่งครัดไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร และตรัสว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์หลายประการ ถูกบรรดาผู้อาวุโสและพวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ปฏิเสธ พระองค์จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามจะทรงมีชีวิตกลับเป็นขึ้นมาใหม่” จากนั้นพระองค์ตรัสกับเขาทั้งปวงว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะมีชีวิตรอด จะมีประโยชน์อะไรที่คนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียตัวของเขาเอง? ถ้าผู้ใดอับอายในตัวเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายในตัวเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์และพระเกียรติสิริของพระบิดา พร้อมทั้งศักดิ์ศรีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่จะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าก่อนที่จะลิ้มรสความตาย” ราวแปดวันหลังจากที่พระเยซูตรัสดังนั้น พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ขณะพระองค์ทรงกำลังอธิษฐาน พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์สว่างสุกใสดังแสงฟ้าแลบ มีชายสองคนคือโมเสสกับเอลียาห์ มาปรากฏกายอย่างเปี่ยมด้วยสง่าราศีและสนทนากับพระเยซู พวกเขาพูดถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งพระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม เปโตรกับเพื่อนๆ ง่วงมาก แต่เมื่อตาสว่างเต็มที่พวกเขาก็เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ ขณะคนทั้งสองกำลังจะจากไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่) ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เมฆก็ปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขา เมื่ออยู่ในเมฆพวกเขากลัวมาก มีพระสุรเสียงดังจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังเขาเถิด” เมื่อสิ้นเสียงนั้น พวกเขาเห็นว่ามีพระเยซูอยู่เพียงผู้เดียว สาวกทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว และในเวลานั้นพวกเขาไม่เล่าสิ่งที่ตนเห็นให้ใครฟัง วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเขาลงมาจากภูเขาแล้ว มีฝูงชนกลุ่มใหญ่มาพบพระเยซู ชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องทูลว่า “พระอาจารย์ ขอพระองค์โปรดมาทอดพระเนตรลูกชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวของข้าพระองค์ มีวิญญาณเข้าสิงเขาและเขาจะกรีดร้องทันที มันทำให้เขาชักทุรนทุราย น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และมันกำลังทำลายเขา ข้าพระองค์ขอร้องสาวกของพระองค์ให้ขับมันออก แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้” พระเยซูตรัสว่า “คนในยุคที่ขาดความเชื่อและวิปริต เราจะอยู่กับพวกท่านและต้องทนพวกท่านไปนานเท่าใด? พาลูกของท่านมาที่นี่เถิด” แม้ขณะที่เด็กกำลังมา ผีก็ยังทำให้เขาล้มชักบนพื้น แต่พระเยซูทรงกำราบวิญญาณชั่ว และรักษาเด็กคนนั้นแล้วส่งคืนให้บิดา เขาทั้งหลายล้วนศรัทธาในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจในการทั้งปวงที่พระเยซูได้ทรงกระทำ พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงตั้งใจฟังสิ่งที่เราจะบอกท่านให้ดี คือบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์” แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอะไร เพราะความข้อนี้ถูกเก็บงำจากเขาเพื่อเขาจะไม่เข้าใจ และเขาก็ไม่กล้าทูลถามพระองค์เรื่องนี้ เกิดการโต้เถียงกันในหมู่สาวกว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ข้างพระองค์ แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เพราะผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่พวกท่านทั้งปวง ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ลูกา 9:18-48 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ถามบรรดาสาวกที่อยู่ด้วยว่า “ฝูงชนพูดกันว่าเราเป็นใคร” สาวกตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างพูดว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่า เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจากสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก” พระองค์ถามว่า “แต่พวกเจ้าพูดว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “พระคริสต์ของพระเจ้า” พระเยซูกำชับพวกเขาไม่ให้บอกใครๆ พระองค์กล่าวว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และพวกผู้ใหญ่ บรรดามหาปุโรหิต และอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจะไม่ยอมรับ บุตรมนุษย์จะถูกประหารชีวิตและ 3 วันต่อมาจะฟื้นคืนชีวิต” แล้วพระองค์กล่าวกับทุกคนที่นั่นว่า “ถ้าใครปรารถนาที่จะตามเรามาจะต้องไม่เห็นแก่ตนเอง เขาจะแบกไม้กางเขนของตนเป็นประจำทุกวันและติดตามเรา เพราะใครก็ตามที่ต้องการช่วยชีวิตของตนให้รอดจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตของเขาเพื่อเราก็จะมีชีวิตที่รอดพ้น จะมีประโยชน์อะไร หากคนหนึ่งได้ทั้งโลกมาเป็นของตน แต่ต้องสูญเสียชีวิตของเขาไป ใครก็ตามที่มีความอายเพราะเราและคำพูดของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะเขา ในเวลาที่ท่านมาด้วยสง่าราศีของท่าน ของพระบิดาและของบรรดาทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากที่พระเยซูกล่าวสิ่งนี้ได้ประมาณ 8 วันก็พาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาด้วยเพื่ออธิษฐาน ขณะที่พระองค์อธิษฐานอยู่ ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และเสื้อตัวนอกที่สวมก็บังเกิดขาวประกายเจิดจ้า มีชาย 2 คนกำลังสนทนาอยู่กับพระองค์คือโมเสสและเอลียาห์ เขาทั้งสองปรากฏตัวด้วยสง่าราศีที่รุ่งโรจน์ และกำลังสนทนากันถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งใกล้ถึงเวลาที่จะกระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นที่เมืองเยรูซาเล็ม เปโตรและสาวกอีก 2 คนที่ติดตามมาด้วยกำลังเคลิ้ม แต่เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นพระสง่าราศีของพระเยซู และชาย 2 คนนั้นก็ยืนอยู่ด้วย ขณะที่ชายทั้งสองกำลังจากไป เปโตรพูดกับพระเยซูโดยไม่รู้สึกตัวว่า “นายท่าน ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสส และกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” ขณะที่กำลังพูด เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน ณ ที่นั้นไว้ จนต่างก็เกิดความตระหนกยิ่ง ทั้งมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา คือผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว จงฟังท่านเถิด” สิ้นเสียงนั้นแล้วสาวกทั้งสามก็พบพระเยซูแต่เพียงลำพัง และพวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้โดยไม่แพร่งพรายกับผู้ใดในเวลานั้นว่า พวกเขาได้พบอะไรมาบ้าง ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระองค์และเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาก็พบว่า มีผู้คนมากมายมารอพบพระองค์ ชายคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนขึ้นว่า “อาจารย์ ขอท่านโปรดดูลูกชายของข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น มีวิญญาณเข้าสิงเขา ทำให้กรีดร้องดังทันทีทันใด แล้วเขาจะชักจนน้ำลายฟูมปาก มันทำให้เขาล้มลุกคลุกคลาน และแทบจะไม่ได้ละไปจากร่างของเขาเลย ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนให้สาวกของท่านขับไล่มันไปเสีย แต่พวกเขาทำไม่ได้” พระเยซูตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ และบิดเบือนเสียจริง เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้า และทนต่อเจ้าไปนานสักเท่าไร จงนำตัวลูกชายของเจ้ามาที่นี่เถิด” ขณะที่เด็กกำลังเดินมา มารก็ทำให้เขาล้มลงกับพื้นและชัก แต่พระเยซูห้ามวิญญาณร้าย และรักษาเด็กจนหายดี แล้วส่งกลับไปหาพ่อของเขา ฝูงชนต่างอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจกับสิ่งทั้งปวงที่พระเยซูกระทำ พระองค์กล่าวกับพวกสาวกว่า “จงฟังเราให้ดี จวนเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์” แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าวถึง เขาไม่อาจเห็นความหมายที่แฝงอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามถึงความนัยนั้น พวกสาวกเริ่มถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจำนวนพวกเขา พระเยซูทราบถึงความคิดของสาวกจึงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์ แล้วกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ผู้ใดก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา ก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และผู้ใดที่รับเรา ก็นับว่ารับพระองค์ผู้ส่งเรามา ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกเจ้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”