ลูกา 4:1-32
ลูกา 4:1-32 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
พระเยซูเต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์กลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณนำพระองค์ไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง มารร้ายมาลองใจพระองค์ถึงสี่สิบวัน ในช่วงนั้นพระองค์ไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อครบสี่สิบวันแล้ว พระเยซูก็หิวจัด มารร้ายท้าทายกับพระองค์ว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้า ก็เสกหินก้อนนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ” แต่พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า ‘ชีวิตที่เที่ยงแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนมปังเพียงอย่างเดียว’” แล้วมารร้ายก็นำพระเยซูขึ้นไปบนที่สูง แล้วแสดงอาณาจักรทั้งหมดในโลกให้พระองค์เห็นในชั่วพริบตาเดียว มันพูดว่า “เราจะยกอำนาจและความรุ่งเรืองทั้งหมดนี้ให้ เพราะมันถูกมอบให้กับเราแล้ว และเราอยากจะให้กับใครก็ให้ได้ ถ้าท่านกราบไหว้บูชาเรา แผ่นดินทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของท่าน” พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า ‘ให้กราบไหว้บูชาองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า และให้รับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียว’” แล้วมารร้ายก็นำพระเยซูไปที่เมืองเยรูซาเล็ม ให้พระองค์ไปยืนบนจุดที่สูงที่สุดของวิหาร มันพูดว่า “ถ้าท่านเป็นลูกพระเจ้าจริงก็กระโดดลงไปเลย เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ มาปกป้องคุ้มครองท่าน เหล่าทูตสวรรค์ก็จะรับท่านไว้ เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระแทกหิน’” แต่พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า ‘อย่าได้ลองดีกับองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า’” เมื่อมารร้ายได้ลองใจพระองค์ครบทุกอย่างแล้ว มันก็จากไปเพื่อคอยหาโอกาสเหมาะอีก พระเยซูกลับไปแคว้นกาลิลี พระองค์เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ ชื่อเสียงของพระองค์แพร่กระจายไปทั่วแถบนั้น พระองค์สอนอยู่ตามที่ประชุมต่างๆ และทุกคนต่างยกย่องพระองค์ แล้วพระเยซูก็ไปเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์เติบโตมา เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระองค์ก็ไปที่ประชุมเหมือนที่ทำเป็นประจำ พระองค์ยืนขึ้นเพื่ออ่านข้อความจากพระคัมภีร์ พระองค์ได้รับม้วนหนังสือมา เป็นหนังสืออิสยาห์ซึ่งเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง แล้วคลี่ม้วนหนังสือนั้นออกเพื่อหาข้อความที่เขียนไว้ว่า “พระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิตอยู่กับเรา เพราะพระองค์แต่งตั้งให้เราประกาศข่าวดีกับคนจน พระองค์ส่งเรามาบอกนักโทษว่าจะได้เป็นอิสระ บอกคนตาบอดว่าจะมองเห็น บอกคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงว่าจะได้เป็นอิสระ และบอกว่าถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะมาช่วยคนของพระองค์” จากนั้นพระองค์ม้วนหนังสือส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล แล้วนั่งลง แล้วทุกสายตาในที่นั้นก็จ้องเขม็งมาที่พระองค์ พระองค์เริ่มพูดกับพวกเขาว่า “ในวันนี้เรื่องในพระคัมภีร์ที่คุณเพิ่งได้ยินเราอ่านไปนั้นได้เป็นจริงแล้ว” ทุกคนก็ได้พูดเยินยอพระองค์ และแปลกใจในคำพูดน่าทึ่งที่ออกมาจากปากพระองค์ พวกเขาถามกันว่า “นี่ลูกโยเซฟไม่ใช่หรือ” แล้วพระองค์พูดว่า “พวกคุณจะต้องยกคำสุภาษิตนี้มาอ้างกับเราแน่ ที่ว่า ‘หมอเอ๋ย รักษาตัวเองเสียก่อนเถอะ’ แล้วพวกคุณคงอยากจะพูดว่า ‘ทำเรื่องอัศจรรย์ที่นี่ในบ้านเมืองของเจ้าสิ อย่างที่เราได้ยินว่าเจ้าทำที่เมืองคาเปอรนาอุม’ แต่เราจะบอกให้รู้นะว่า ไม่มีผู้พูดแทนพระเจ้าคนไหนที่ได้รับการยอมรับในบ้านเมืองของตัวเองหรอก ดูอย่างสมัยของเอลียาห์สิ เมื่อเกิดฝนแล้งเป็นเวลาถึงสามปีครึ่ง จนเกิดความอดอยากไปทั่ว มีแม่ม่ายมากมายในหมู่ชาวอิสราเอล แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปหาแม่ม่ายชาวอิสราเอลพวกนั้น แต่กลับส่งไปหาแม่ม่ายคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนยิวที่เมืองศาเรฟัทในเขตแดนไซดอน ก็เหมือนกับในสมัยของเอลีชา ที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า มีคนเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงมากมายในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการชำระให้สะอาดเลย ยกเว้นแต่คนที่ชื่อนาอามานเพียงคนเดียว และเขาเป็นคนซีเรียไม่ใช่คนยิว” เมื่อทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมชาวยิวได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธแค้นมาก เขาลุกฮือกันขึ้น บังคับให้พระเยซูออกไปนอกเมือง ไปที่หน้าผาบนเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ หวังจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ก็ฝ่าวงล้อมของพวกเขาไปได้ พระเยซูไปเมืองคาเปอรนาอุมในแคว้นกาลิลี และพระองค์สั่งสอนประชาชนในวันหยุดทางศาสนา พวกเขาต่างก็ทึ่งในคำสอนของพระองค์ เพราะพระองค์สอนอย่างคนที่มีสิทธิอำนาจ
ลูกา 4:1-32 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
พระเยซูทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร ที่ซึ่งพระองค์ทรงถูกมารทดลองถึงสี่สิบวัน ตลอดวันเหล่านั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสุดแล้ว พระองค์ก็ทรงหิว มารจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” แต่พระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้’ ” แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไปบนที่สูง สำแดงราชอาณาจักรต่างๆ ทั่วพิภพให้พระองค์เห็นภายในพริบตาเดียว แล้วมารพูดกับพระองค์ว่า “อำนาจและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่าเราได้รับมอบสิทธิ์นี้ไว้แล้ว และเราปรารถนาจะให้ใครก็ได้ตามใจเรา ถ้าท่านกราบนมัสการเรา ทุกๆ สิ่งจะเป็นของท่าน” แต่พระเยซูตรัสตอบมารว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์ แต่ผู้เดียว’” แล้วมารจึงนำพระองค์ไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปจากที่นี่ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้ป้องกันรักษาท่านไว้ และ เหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่าน ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน ’ ” พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ ” เมื่อมารทดลองทุกอย่างจนหมดแล้ว จึงจากพระองค์ไปจนกว่าจะถึงโอกาสเหมาะ พระเยซูเสด็จกลับไปที่แคว้นกาลิลีด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ และกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วทุกแว่นแคว้นโดยรอบ พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา และได้รับการสรรเสริญจากคนทั้งหลาย แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตเช่นเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม เขาจึงส่งคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ทรงพบข้อที่เขียนไว้ว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วประทับลง และตาของทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาก็จ้องดูพระองค์ พระองค์จึงเริ่มต้นตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหูก็สำเร็จแล้วในวันนี้” ทุกคนก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจในถ้อยคำที่ประกอบด้วยพระคุณซึ่งพระองค์ตรัส และกล่าวว่า “คนนี้เป็นลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ?” พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านคงอยากจะกล่าวภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือ ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด’ และพวกท่านคงอยากจะพูดว่า ‘สิ่งต่างๆ ที่เราได้ยินว่าท่านทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงทำในเมืองของตัวเองที่นี่ด้วยซิ’ ” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการยอมรับในบ้านเกิดของตัวเอง และเราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า มีหญิงม่ายอยู่มากมายท่ามกลางพวกอิสราเอลในสมัยของเอลียาห์ เมื่อท้องฟ้าปิดถึงสามปีหกเดือนจนเกิดการกันดารอาหารอย่างมากทั่วทั้งแผ่นดิน พระเจ้าไม่ทรงใช้เอลียาห์ให้ไปหาหญิงม่ายคนใดในพวกนั้นเลย เว้นแต่หญิงม่ายในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน และมีคนโรคเรื้อนอยู่มากมายท่ามกลางพวกอิสราเอลในสมัยของเอลีชาผู้เผยพระวจนะด้วย แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายเว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย” เมื่อทุกคนในธรรมศาลาได้ยินอย่างนั้นก็ฉุนเฉียวอย่างยิ่ง จึงลุกขึ้นผลักไสพระองค์ออกจากเมือง และพาพระองค์ไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักให้พระองค์ตกลงไป แต่พระองค์ทรงฝ่าพ้นพวกเขาและเสด็จจากไป แล้วพระองค์เสด็จไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และทรงสั่งสอนพวกเขาในวันสะบาโต เขาก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ
ลูกา 4:1-32 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
พระเยซูประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จกลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกพญามารทดลองถึงสี่สิบวัน ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร พญามารจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำของพระเจ้า’” แล้วพญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปยังภูเขาที่สูง สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วพญามารได้ทูลพระองค์ว่า “อำนาจทั้งสิ้นนี้และสง่าราศีของราชอาณาจักรนั้นเราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่ามอบเป็นสิทธิไว้แก่เราแล้ว และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น เหตุฉะนั้น ถ้าท่านจะกราบนมัสการเรา สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด” ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ป้องกันรักษาท่านไว้’ และ ‘เหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน’” พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” เมื่อพญามารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปชั่วคราว พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาต่างๆของเขา และได้รับความสรรเสริญจากคนทั้งปวง แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์ เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า ‘พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ฟกช้ำเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลงและตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์ พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” คนทั้งปวงก็เป็นพยานรับรองคำของพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า “คนนี้เป็นบุตรชายของโยเซฟมิใช่หรือ” พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย’” พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีศาสดาพยากรณ์คนใดได้รับการต้อนรับในบ้านเมืองของตน แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอลคราวเอลียาห์ เมื่อท้องฟ้าปิดเสียถึงสามปีกับหกเดือนจึงเกิดกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน และเอลียาห์มิได้รับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแคว้นเมืองไซดอน และมีคนโรคเรื้อนหลายคนในพวกอิสราเอลคราวเอลีชาศาสดาพยากรณ์ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นเลย เว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย” เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้สั่งสอนเขาทั้งหลายทุกวันสะบาโต คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ
ลูกา 4:1-32 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไป ถึงสี่สิบวัน ในถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกมารทดลอง ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร มารจึงทูลพระองค์ว่า <<ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร>> ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า <<มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้>> แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไป สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์เห็น แล้วมารได้ทูลพระองค์ว่า <<อำนาจทั้งสิ้นนี้ และศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรนั้นเราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่ามอบเป็นสิทธิ์ไว้แก่เราแล้ว และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น เหตุฉะนั้นถ้าท่านจะกราบนมัสการเรา สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด>> ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า <<มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว>> แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า <<ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ป้องกันรักษาท่านไว้ และ เหล่าทูตสวรรค์ จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน>> พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า <<มีคำกล่าวไว้ว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน>> เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา และได้รับความสรรเสริญจากคนทั้งปวง แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลง และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์ พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า <<คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว>> คนทั้งปวงก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า <<คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ>> พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า <<ท่านทั้งหลายคงจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า <หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุมจงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย> >> พระองค์ตรัสอีกว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการต้อนรับในเมืองของตน แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอล ในคราวเอลียาห์เมื่อท้องฟ้าปิดเสียถึงสามปีกับหกเดือน จึงเกิดกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน และเอลียาห์มิได้รับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน และมีคนโรคเรื้อนหลายคนในพวกอิสราเอลในคราวเอลีชาผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นเลย เว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย>> เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขาซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้ทรงสั่งสอนเขาทั้งหลายในวันสะบาโต คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ
ลูกา 4:1-32 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
พระเยซูทรงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์เสด็จกลับมาจากแม่น้ำจอร์แดนและพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นกันดาร พระองค์ทรงถูกมารทดลองที่นั่นเป็นเวลาสี่สิบวัน ในระหว่างนั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย เมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้วพระองค์ก็ทรงหิว มารทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าก็จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว’” มารนำพระองค์ขึ้นไปยังที่สูงและสำแดงให้พระองค์เห็นอาณาจักรทั้งหมดของโลกในคราวเดียว และทูลพระองค์ว่า “สิทธิอำนาจและความโอ่อ่าตระการทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้ได้ถูกมอบไว้แก่เราแล้วและเราจะยกให้ใครก็ได้ตามใจชอบ ฉะนั้นหากท่านนมัสการเรา ทั้งหมดนี้จะเป็นของท่าน” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” มารนำพระองค์มายังกรุงเยรูซาเล็มและให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหารแล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไปจากที่นี่เถิด เพราะมีคำเขียนไว้ว่า “ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้ระแวดระวังพิทักษ์รักษาท่าน ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’” เมื่อมารทดลองทุกอย่างนี้แล้ว ก็ละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ พระเยซูเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลี ทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแถบนั้น พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาต่างๆ ของเขา ทุกคนพากันสรรเสริญพระองค์ พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น และในวันสะบาโตพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำและทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมาก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ และให้คนตาบอดมองเห็น ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” จากนั้นพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนแก่เจ้าหน้าที่แล้วประทับนั่งลง สายตาทุกคู่ในธรรมศาลาก็จ้องมองมาที่พระองค์ พระเยซูทรงเอ่ยขึ้นว่า “ในวันนี้พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นจริงแล้วตามที่ท่านได้ฟัง” คนทั้งปวงกล่าวยกย่องพระองค์และประหลาดใจในพระดำรัสอันทรงพระคุณจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พวกเขาถามกันว่า “คนนี้เป็นลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ?” พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “แน่นอน ท่านคงจะยกภาษิตนี้กล่าวกับเราว่า ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด! สิ่งที่เราได้ยินว่าท่านทำที่เมืองคาเปอรนาอุมจงทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย’ ” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะสักคนที่ได้รับการยอมรับในบ้านเกิดของตน เรายืนยันกับท่านว่ามีหญิงม่ายมากมายในอิสราเอลสมัยเอลียาห์เมื่อฟ้าถูกปิดไม่ให้ฝนตกเป็นเวลาสามปีครึ่งและเกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแผ่นดิน กระนั้นเอลียาห์ก็ไม่ได้ถูกส่งไปหาใครยกเว้นหญิงม่ายที่ศาเรฟัทในเขตไซดอน และในสมัยผู้เผยพระวจนะเอลีชาก็มีคนโรคเรื้อนมากมายในอิสราเอล แต่ไม่มีคนไหนหายจากโรคยกเว้นนาอามานคนซีเรีย” เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัด เขาจึงลุกขึ้นผลักไสพระองค์ออกจากเมืองมาถึงชะง่อนเขาที่ตั้งเมืองเพื่อจะผลักพระองค์ลงไปจากหน้าผา แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่าฝูงชนออกไปและเสด็จไปตามทางของพระองค์ จากนั้นพระองค์เสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุมซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี และพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนประชาชนในวันสะบาโต พวกเขาเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์เพราะถ้อยคำของพระองค์มีสิทธิอำนาจ
ลูกา 4:1-32 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
พระเยซูเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์กลับมาจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้นำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร ระหว่างนั้นพญามารยั่วยุพระองค์เป็นเวลา 40 วัน โดยที่ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้รับประทานอะไรเลยจึงรู้สึกหิว พญามารได้พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็ทำให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังสิ” พระเยซูตอบว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘มนุษย์มิอาจยังชีพได้ด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียว’” พญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปเพื่อให้ดูทุกอาณาจักรในโลกในพริบตาเดียว แล้วพูดกับพระองค์ว่า “เราจะยกสิทธิอำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านั้นให้แก่ท่าน เพราะเราได้รับมอบมาแล้ว และเราจะยกให้ใครก็ได้ หากท่านก้มลงนมัสการเรา สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นของท่าน” พระเยซูตอบพญามารว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘เจ้าจงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว’” พญามารได้นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็มโดยให้ยืนบนยอดสูงสุดของพระวิหาร และพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงจากที่นี่สิ เพราะมีบันทึกไว้ว่า ‘พระองค์จะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ มาปกป้องท่านให้ปลอดภัย ทูตสวรรค์จะช่วยรับท่านไว้ในมือ เพื่อว่าเท้าของท่านจะได้ไม่กระทบแม้หินสักก้อน’” พระเยซูตอบว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’” เมื่อพญามารจบสิ้นการยั่วยุทุกประการแล้วก็ได้จากไป แต่ก็พร้อมจะกลับมาอีกเมื่อมีโอกาส พระเยซูกลับไปยังแคว้นกาลิลีโดยฤทธานุภาพของพระวิญญาณ เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ได้แพร่ไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ พระองค์เริ่มสอนในศาลาที่ประชุมต่างๆ ซึ่งก็ได้รับการสรรเสริญจากคนทั่วไป พระองค์มายังเมืองนาซาเร็ธ อันเป็นสถานที่ซึ่งเจริญวัยมา พระองค์เข้าไปในศาลาที่ประชุมในวันสะบาโตตามปกติวิสัย และก็ยืนขึ้นอ่าน พระคัมภีร์ที่ยื่นให้แก่พระองค์คือฉบับที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าบันทึกไว้ พระองค์จึงคลี่พระคัมภีร์ออก พบตอนที่เขียนว่า “พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา เพราะว่าพระองค์เจิมเรา เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ยากไร้ พระองค์ส่งเรามาประกาศกับนักโทษ เพื่อให้ได้รับการปลดปล่อย คนตาบอดจะมองเห็น และเพื่อปลดปล่อยผู้ที่ถูกบีบบังคับไปสู่อิสระ เพื่อประกาศปีที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระเยซูก็ม้วนพระคัมภีร์ ก่อนจะคืนให้กับผู้ที่เก็บรักษา จากนั้นก็นั่งลงขณะที่อยู่ในเป้าสายตาของผู้คนทั้งหลายในศาลาที่ประชุม พระองค์ได้เริ่มกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งที่พระคัมภีร์ระบุไว้ในตอนนี้ได้บรรลุผลแล้วขณะที่ท่านกำลังฟังกันในวันนี้” ผู้คนทั้งปวงก็พากันสรรเสริญพระองค์ แต่ก็ประหลาดใจในคำกล่าวอันเป็นพระคุณซึ่งออกมาจากปากของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงพูดกันว่า “นี่เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ” พระเยซูได้กล่าวขึ้นว่า “พวกท่านคงจะต้องกล่าวสุภาษิตนี้กับเราอย่างแน่นอน ‘เป็นแพทย์ก็ต้องรักษาตนเอง’ อะไรก็ตามที่พวกเราได้ยินว่าท่านแสดงในเมืองคาเปอร์นาอุม ก็เชิญแสดงในเมืองที่ท่านเติบโตมานี้ด้วย” พระองค์พูดต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดเป็นที่ยอมรับในเมืองที่ตนเติบโตมา แต่เราจะย้ำความจริงกับท่านว่า ในสมัยของเอลียาห์ มีหญิงม่ายจำนวนมากในอิสราเอล ขณะที่ท้องฟ้าไม่เอื้อฝนถึงสามปีครึ่ง ความอดอยากแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปช่วยหญิงม่ายเหล่านั้น แต่ไปเพื่อช่วยหญิงม่ายเพียงคนเดียวในเมืองศาเรฟัทแขวงไซดอน และในสมัยเอลีชาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า มีผู้เป็นโรคเรื้อนจำนวนมากในอิสราเอล และไม่มีใครสักคนที่ได้รับการรักษาให้หาย ยกเว้นนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น” เมื่อทุกคนในศาลาที่ประชุมฟังแล้วก็เกิดโทสะขึ้น จึงลุกขึ้นไล่พระองค์ไปจากเมือง และนำไปยังหน้าผาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ เพื่อจะโยนพระองค์ลงมา แต่พระองค์ฝ่าหมู่คนเหล่านั้นไปได้ และไปตามทางของพระองค์ พระเยซูมายังเมืองคาเปอร์นาอุมในแคว้นกาลิลี และสั่งสอนประชาชนในวันสะบาโต ผู้คนพากันอัศจรรย์ใจกับการสั่งสอนของพระองค์ เพราะคำพูดของพระองค์มีสิทธิอำนาจ