เลวีนิติ 13:12-59
เลวีนิติ 13:12-59 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
ถ้าโรคผิวหนังเรื้อรังนั้น เกิดลุกลามไปบนผิวหนังส่วนอื่น จนเกิดเป็นโรคติดเชื้อไปทั่วผิวหนังของคนๆนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้า นักบวชต้องตรวจดูทุกส่วนของร่างกาย นักบวชต้องดู ถ้าหากโรคมันลุกลามจนทั่วร่างกายของคนผู้นั้น จนตัวเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหมด นักบวชต้องประกาศให้คนที่ติดเชื้อนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์เพราะตัวเขาบริสุทธิ์แล้ว เพราะผิวหนังได้เปลี่ยนเป็นสีขาวหมดแล้ว แต่ทันทีที่มีแผลสดเกิดขึ้น เขาจะกลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ทันที นักบวชต้องตรวจดูแผลสด และประกาศว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เพราะแผลสดเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ มันคือโรคผิวหนังเรื้อรัง ถ้าแผลสดนั้นหายดีแล้วเหลือแต่จุดขาว คนๆนั้นต้องไปพบนักบวช ถ้านักบวชตรวจดูและพบว่าแผลนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว นักบวชต้องประกาศให้คนที่ติดเชื้อนั้นเป็นคนบริสุทธิ์และคนๆนั้นก็จะบริสุทธิ์ เมื่อมีฝีเกิดขึ้นบนผิวหนังตามร่างกายของคนๆหนึ่ง และมันก็ได้รับการรักษาจนหาย และมีรอยแผลพุพองหรือจุดขาวออกสีแดงเรื่อๆเกิดขึ้นในที่ที่เคยเป็นฝี คนๆนั้นต้องไปพบนักบวช นักบวชจะตรวจดู ถ้าแผลนั้นกินลึกเข้าในผิวหนัง และขนบริเวณรอบๆเปลี่ยนเป็นสีขาว นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มันคือโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากฝี แต่ถ้านักบวชตรวจดูแผลแล้ว ไม่พบขนสีขาว แผลก็ไม่กินลึกลงไปและยังเริ่มจางลง นักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกเป็นเวลาเจ็ดวัน ถ้าแผลยังลุกลามไปตามผิวหนัง นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือแผลติดเชื้อ แต่ถ้าจุดใสๆนั้นยังมีอยู่ที่เดิมและไม่กระจายลุกลาม มันเป็นเพียงสะเก็ดแผลจากฝี นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์ หรือเมื่อคนใดคนหนึ่งมีแผลไฟไหม้บนผิวหนัง และเกิดแผลรอยไหม้เป็นจุดสีขาวหรือสีออกแดงเรื่อๆ นักบวชต้องตรวจแผลดู ถ้าขนที่บริเวณแผลเปลี่ยนเป็นสีขาวและมันเกิดเป็นแผลลึกเข้าไปในเนื้อ มันคือโรคผิวหนังอันตราย ที่เกิดจากแผลไฟไหม้ นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคผิวหนังอันตราย แต่ถ้านักบวชตรวจดูแล้ว ไม่มีขนสีขาวบริเวณแผลและแผลก็ไม่กินลึกลงในเนื้อ ทั้งยังค่อยๆจางลง นักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกมาเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดถ้านักบวชไปตรวจดูคนๆนั้นอีก แล้วถ้าเห็นว่าแผลลุกลามไปบนผิวหนัง นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคผิวหนังเรื้อรัง แต่ถ้าแผลนั้นยังอยู่แบบเดิมไม่ลุกลามออกไป และเริ่มจางลง มันเป็นเพียงแผลพุพองจากไฟไหม้ นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์ เพราะนั่นคือสะเก็ดแผลที่เกิดจากแผลไฟไหม้ ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงมีแผลติดเชื้อบนหนังหัวหรือที่คาง แล้วนักบวชดูที่แผลติดเชื้อนั้น แล้วพบว่ามันกินลึกลงไปถึงเนื้อ และผมเริ่มบางลงและกลายเป็นสีเหลือง นักบวชต้องประกาศว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เพราะมันคือโรคหิด เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังต่อหนังหัวและคาง ถ้านักบวชตรวจดูแผลหิดนั้น แล้วพบว่ามันไม่ถึงกับเป็นแผลลึกเข้าไปในหนัง และไม่มีผมสีดำในแผล นักบวชต้องแยกคนติดเชื้อคนนั้นออกจากประชาชนเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดนักบวชจะมาตรวจดูแผลอีกครั้ง ถ้าเห็นแผลไม่ลุกลาม ไม่มีผมสีเหลืองๆในแผล อีกทั้งเชื้อหิดไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อ คนๆนั้นต้องโกนผมหรือหนวดทิ้ง แต่อย่าให้ถูกแผล แล้วนักบวชต้องแยกคนๆนั้นออกมาเป็นเวลาอีกเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดนักบวชจะตรวจดูแผลหิดอีก ถ้าเห็นเชื้อไม่ลุกลามไปบนผิวหนังและไม่มีแผลกินลึกไปในเนื้อ นักบวชจะต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์ เขาต้องเอาเสื้อผ้าไปซักล้าง แล้วเขาจะกลายเป็นคนบริสุทธิ์ แต่ถ้าเชื้อหิดนั้นเกิดลุกลามหลังจากที่นักบวชได้ประกาศว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์แล้ว นักบวชจะต้องตรวจสอบคนๆนั้น และถ้าพบว่าเชื้อหิดนั้นลุกลามกระจายไปบนผิวหนังจริง นักบวชไม่จำเป็นต้องตรวจหาผมสีเหลืองอีกต่อไป คนๆนั้นจะกลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ แต่ถ้าเชื้อหิดไม่มีการเปลี่ยนแปลงและมีผมสีดำเกิดขึ้นในนั้น แสดงว่าเชื้อนั้นกำลังจะหาย คนๆนั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์และนักบวชจะต้องประกาศว่าคนๆนั้นบริสุทธิ์ ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงเกิดมีจุดขาวๆขึ้นเต็มตัว นักบวชต้องตรวจสอบดู ถ้าพบว่าจุดขาวเหล่านั้นเป็นเพียงสีขาวหม่นๆแสดงว่าเป็นผื่นคันธรรมดาที่ไม่เป็นอันตรายบนผิวหนัง และคนๆนั้นก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าผู้ชายผมร่วงจนหัวล้าน เขาจะยังคงบริสุทธิ์อยู่ ถ้าผมเขาร่วงจากด้านหน้าไปจนหัวเขาเถิก เขาจะยังคงบริสุทธิ์อยู่ แต่ถ้าเกิดมีแผลออกสีแดงเรื่อๆเกิดขึ้นบนหัวหรือบริเวณที่ผมร่วงบนหน้าผาก มันคือโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดบนหัวและหน้าผาก นักบวชต้องตรวจดูแผลเหล่านั้น ถ้าพบว่ามีแผลสดเกิดขึ้นบนหัวหรือบนหน้าผาก ที่กลายเป็นสีแดงเรื่อๆและมีลักษณะเหมือนแผลของโรคผิวหนังชนิดอันตรายที่เกิดบนร่างกายแล้ว แสดงว่าชายผู้นั้นเป็นโรคผิวหนังอันตราย เขาคือคนที่ไม่บริสุทธิ์ นักบวชต้องประกาศว่าเขาคือคนไม่บริสุทธิ์ เพราะเขาติดเชื้อที่หัว ถ้าคนๆหนึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดอันตราย เขาต้องฉีกเสื้อผ้าตัวเองให้ขาดและต้องไว้ผมยาว และปล่อยให้หนวดยาวรุงรัง และคอยตะโกนว่า ‘ไม่สะอาด ไม่สะอาด’ คนๆนั้นจะไม่บริสุทธิ์ตลอดเวลาที่เขายังมีแผลติดเชื้อ เขาจะเป็นคนไม่บริสุทธิ์ และต้องไปอยู่คนเดียวที่นอกค่าย หากเกิดเชื้อรา ขึ้นบนเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อขนสัตว์หรือลินิน ของใดก็ตามที่ถักหรือทอจากขนสัตว์หรือลินิน หรือแม้กระทั่งบนหนังสัตว์และของที่ทำจากหนังสัตว์ ถ้าจุดที่เป็นราบนเสื้อผ้า หรือบนหนัง หรือของที่ถักหรือทอ หรืออะไรก็ตามที่ทำจากหนังสัตว์นั้น เป็นสีเขียวหรือสีแดง มันเป็นเชื้อที่กำลังลุกลามกระจายไปทั่ว ต้องนำของนั้นไปให้นักบวชดู นักบวชจะตรวจสอบจุดที่เป็นเชื้อราเหล่านั้น และแยกของสิ่งนั้นออกมาไว้ต่างหากเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ด นักบวชจะไปตรวจสอบดูจุดเหล่านั้นอีกครั้ง ถ้ามันยังกระจายไปบนเสื้อผ้า บนของถักหรือทอ หรือบนหนังสัตว์ หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ก็ตาม โดยลุกลามเป็นเชื้อรา มันจะเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ นักบวชต้องเอาเสื้อผ้า ของถักหรือทอจากลินินหรือขนสัตว์หรือของที่ทำจากหนังสัตว์ที่เกิดเป็นเชื้อรานั้นไปเผาทิ้ง เพราะมันเป็นเชื้อราลุกลาม มันต้องถูกไฟเผา ถ้านักบวชตรวจดูพบว่าเชื้อราเหล่านั้นไม่ได้กระจายไปบนเสื้อผ้า บนของถักหรือทอ หรือบนของที่ทำจากหนังสัตว์นั้นแต่อย่างใด นักบวชต้องสั่งให้คนนำผ้านั้นไปซักล้างจุดเหล่านั้นออก และนักบวชต้องแยกของนั้นออกมาไว้ต่างหากเป็นเวลาเจ็ดวัน หลังจากนั้น นักบวชจะกลับมาตรวจดูอีกครั้ง ถ้าพบว่าเชื้อราเหล่านั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะไม่กระจายออก มันจะเป็นของไม่บริสุทธิ์ ท่านต้องเอาไปเผาไฟ ไม่ว่าจุดนั้นจะอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังบนของนั้นก็ตาม แต่ถ้านักบวชตรวจดูแล้ว พบว่าเชื้อราเหล่านั้นเริ่มจางลงหลังจากถูกซักล้าง ให้เขาตัดส่วนที่เป็นเชื้อราออกจากหนังสัตว์ ผ้า หรือสิ่งทอเหล่านั้น และถ้ามันยังปรากฏอีกบนผ้าหรือเครื่องหนังเหล่านั้น และลุกลามไป ท่านต้องเอาของเหล่านั้นไปเผาไฟทิ้ง แต่ถ้าจุดนั้นหายไปจากผ้า สิ่งทอ หรือเครื่องหนังที่ท่านได้นำไปล้าง ท่านต้องเอามันไปล้างซ้ำอีกครั้ง แล้วมันจะบริสุทธิ์” นี่คือกฎเกี่ยวกับเชื้อราบนเสื้อผ้า ทั้งที่ทำจากขนสัตว์หรือลินิน ทั้งที่ทำโดยการถัก หรือทอ หรือบนเครื่องหนัง เพื่อตัดสินว่าของเหล่านี้บริสุทธิ์หรือไม่
เลวีนิติ 13:12-59 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ถ้าอาการของโรคเรื้อนนั้นลามออกไปทั่วผิวหนัง ปกคลุมผิวหนังทั่วตัวผู้ป่วย และแผ่ไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้า ตามที่ปุโรหิตเห็น ปุโรหิตต้องตรวจดู ถ้าอาการของโรคเรื้อนนั้นแผ่ไปทั่วตัว ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาดด้วยโรคของเขาแล้ว ตัวของเขาเผือก เขาสะอาด แต่ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน ให้ปุโรหิตตรวจดูที่เนื้อแผลสด และประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเนื้อแผลสดนั้นทำให้เป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน ถ้าเนื้อแผลสดนั้นเปลี่ยนไปอีกกลายเป็นสีขาว ให้เขามาหาปุโรหิต และให้ปุโรหิตตรวจเขา และถ้าโรคนั้นกลายเป็นโรคเผือก ให้ปุโรหิตประกาศว่า คนที่เป็นโรคนั้นสะอาด เขาก็สะอาด “ถ้าร่างกายของคนใดมีแผลฝีซึ่งหายแล้ว ถ้าที่แผลเป็นนั้นบวมขึ้นมามีสีขาวหรือมีรอยสีแดงเรื่อๆ ปรากฏ ก็ให้ผู้นั้นไปแสดงตัวต่อปุโรหิต และปุโรหิตจะตรวจดู ถ้าปรากฏว่าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนังและขนที่บริเวณนั้นหงอก ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อนที่พุขึ้นมาที่แผลฝี แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้วเห็นว่าขนที่นั่นไม่หงอก และแผลไม่ลึกกว่าผิวหนัง และสีของแผลจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน ถ้าโรคนั้นลามไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว แต่ถ้าบริเวณนั้นคงที่อยู่ไม่ลามออกไป ก็เป็นแต่เพียงแผลเป็นของฝี ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด “หรือ เมื่อส่วนของร่างกายถูกไฟลวก และเนื้อแผลสดตรงนั้นเป็นรอยสีแดงเรื่อๆ หรือสีขาว ให้ปุโรหิตตรวจดู ถ้าขนในบริเวณนั้นหงอกและแผลลึกกว่าผิวหนัง แสดงว่าเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าขนในบริเวณนั้นไม่หงอก และแผลไม่ลึกกว่าผิวหนัง และสีของแผลจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าแผลนั้นลามออกไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน ถ้าแผลที่เป็นนั้นคงที่ ไม่ลามไปตามผิวหนัง และสีของแผลจางลง เป็นเพียงแผลบวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก “ถ้าชายหรือหญิงคนใดมีผื่นที่ศีรษะหรือที่คาง ให้ปุโรหิตตรวจดูผื่นนั้น ถ้าเป็นลึกกว่าผิวหนัง และผมหรือขนบริเวณนั้นเหลืองและบาง ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นผื่นคัน เป็นโรคเรื้อนที่ศีรษะหรือที่คาง ถ้าปุโรหิตตรวจดูผื่นคันนั้น ปรากฏว่าเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง และไม่มีผมดำหรือขนดำอยู่ในบริเวณนั้น ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นผื่นคันนั้นไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจบริเวณที่คันนั้น ถ้าบริเวณที่คันนั้นไม่ลาม ไม่มีผมหรือขนเหลืองในบริเวณนั้นและบริเวณที่คันไม่ลึกกว่าผิวหนัง ก็ให้คนนั้นโกนผมหรือขนเสีย แต่ห้ามโกนบริเวณที่คัน ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่มีบริเวณที่คันนั้นไว้อีกเจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ด ก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตรงบริเวณที่คัน ถ้าบริเวณที่คันนั้นไม่ลามไปตามผิวหนัง และเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วจะสะอาด แต่ถ้าเขาชำระตัวแล้ว ยังปรากฏว่า ผื่นคันนั้นลามไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา ถ้าผื่นคันนั้นลามไปตามผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาผมสีเหลืองหรือขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว “แต่ถ้าตามสายตาของเขาโรคคันนั้นคงที่ และมีผมดำหรือขนดำงอกอยู่ในบริเวณนั้น ผื่นคันนั้นหายแล้ว เขาก็สะอาด และให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด “เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงมีรอยขาวที่ผิวหนัง ให้ปุโรหิตตรวจเขา ถ้ารอยที่ผิวหนังนั้นเป็นสีขาวขุ่น นั่นเป็นเกลื้อนที่พุขึ้นในผิวหนัง เขาสะอาด “ถ้าชายคนใดมีผมร่วงจากศีรษะ เขาเป็นคนศีรษะล้าน แต่เขาสะอาด ถ้าชายคนใดมีผมที่หน้าผากและที่ขมับร่วง หน้าผากของเขาล้าน แต่เขาสะอาด แต่ถ้าตรงศีรษะล้านหรือหน้าผากล้าน มีบริเวณเป็นรอยสีแดงเรื่อๆ เขาเป็นโรคเรื้อนพุขึ้นที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านนั้น ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าที่บวมนั้นสีแดงเรื่อๆ อยู่ที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่ปรากฏตามผิวหนัง ชายผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคของเขาอยู่ที่ศีรษะ “ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด ให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้แล้วร้องว่า ‘มลทิน มลทิน’ เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย “เมื่อในเครื่องแต่งกายมีรอยเหมือนเชื้อเรื้อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายขนสัตว์หรือผ้าป่าน อยู่ที่ด้ายถักหรือด้ายทอ อยู่ที่ผ้าป่านหรือผ้าขนสัตว์หรืออยู่ในหนัง หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง ถ้าเชื้อนั้นทำให้เครื่องแต่งกายมีสีเขียวๆ หรือแดงๆ ที่ด้ายถักหรือด้ายทอ ที่หนังหรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง นั่นเป็นเชื้อเรื้อน จะต้องนำไปแสดงต่อปุโรหิต ให้ปุโรหิตตรวจเชื้อนั้น และให้กักสิ่งที่มีเชื้อนั้นไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูเชื้อนั้นอีก ถ้าเชื้อนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายถักหรือด้ายทอ ที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ เชื้อนั้นเป็นเชื้อเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน ให้เขาเผาเครื่องแต่งกายนั้นเสีย ไม่ว่าเป็นเชื้อที่ด้ายถักหรือด้ายทอ เป็นที่ผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ที่มีเชื้อ เพราะเป็นเชื้อเรื้อนที่ร้าย จึงให้เผาเสียในไฟ “ถ้าปุโรหิตตรวจดู เชื้อนั้นไม่ได้ลามไปในเครื่องแต่งกายที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือในสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ ก็ให้ปุโรหิตบัญชาให้เขาซักสิ่งที่มีเชื้อนั้นเสีย และให้กักไว้อีกเจ็ดวัน เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูสิ่งที่มีเชื้อนั้นอีก ถ้าบริเวณที่มีเชื้อไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าเชื้อนั้นไม่ลามออกไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณมีเชื้อเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก “ถ้าปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าเชื้อนั้นจางลงหลังจากซักแล้ว ก็ให้ฉีกบริเวณนั้นออกเสียจากเครื่องแต่งกายหรือหนังสัตว์ หรือด้ายถักหรือด้ายทอ ถ้ายังปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกายไม่ว่าที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือในสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ และเชื้อนั้นลามออกไปแล้ว เจ้าจงเผาสิ่งที่มีเชื้อนั้นด้วยไฟ ถ้าเชื้อนั้นหมดไปจากเครื่องแต่งกายทั้งที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือสิ่งที่ทำด้วยหนังสัตว์ เมื่อซักแล้วเชื้อนั้นหมดไป ก็ให้ซักอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วจะสะอาด” นี่เป็นกฎว่าด้วยเชื้อเรื้อนในเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือเป็นที่สิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
เลวีนิติ 13:12-59 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ถ้าโรคเรื้อนนั้นลามไปตามผิวหนังตามที่ปุโรหิตเห็นก็ปรากฏว่าลามไปตามผิวหนังทั่วตัวผู้ป่วยตั้งแต่ศีรษะจนเท้า ปุโรหิตต้องตรวจดู และดูเถิด ถ้าเรื้อนนั้นแผ่ไปทั่วตัว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาดด้วยโรคของเขาแล้วตัวของเขาเผือก เขาสะอาด ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน ให้ปุโรหิตตรวจดูที่เนื้อแผลสดและประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเนื้อแผลสดนั้นทำให้มลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน หรือถ้าเนื้อแผลสดนั้นเปลี่ยนไปอีกกลายเป็นสีขาว ให้เขามาหาปุโรหิต และให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคนั้นกลายเป็นโรคเผือก ให้ปุโรหิตประกาศว่า คนที่เป็นโรคนั้นสะอาด เขาสะอาด ถ้าที่ร่างกายคือผิวหนังของคนใดมีแผลฝีซึ่งหายแล้ว ถ้าที่แผลเป็นนั้นมีสีขาวบวมขึ้นมาหรือมีที่ด่างขึ้นสีแดงเรื่อๆปรากฏ ก็ให้ผู้นั้นไปสำแดงตัวต่อปุโรหิต และปุโรหิตจะตรวจดู ดูเถิด ถ้าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนัง และขนที่บริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลฝี แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้ว และดูเถิด ขนที่นั่นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนังแต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน ถ้าโรคนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว แต่ถ้าที่ด่างขึ้นนั้นคงที่อยู่ไม่ลามออกไป ก็เป็นแต่เพียงแผลเป็นของฝี ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด หรือเมื่อส่วนของร่างกายคือผิวหนังถูกไฟลวกและเนื้อแผลสดที่ตรงนั้นเป็นที่ด่างขึ้นสีแดงเรื่อๆหรือสีขาว ให้ปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ถ้าขนในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ขนในที่ด่างขึ้นนั้นไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง แต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าที่เป็นนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน ถ้าที่ด่างขึ้นนั้นคงที่อยู่ ไม่ลามออกไปในผิวหนัง แต่จาง บวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก ถ้าชายหรือหญิงคนใดมีโรคที่ศีรษะหรือที่เครา ให้ปุโรหิตตรวจดูโรคนั้น และดูเถิด ถ้าเป็นลึกกว่าผิวหนัง และผมตรงนั้นเหลืองและบาง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคคัน เป็นโรคเรื้อนที่ศีรษะหรือที่เครา และถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคคันนั้น และดูเถิด เป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง และไม่มีผมดำอยู่ในบริเวณนั้น ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นโรคคันนั้นไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น ดูเถิด ถ้าอาการคันนั้นไม่ลามออกไป และไม่มีขนเหลืองในบริเวณนั้น และปรากฏว่าอาการคันไม่ลึกกว่าผิวหนัง ก็ให้คนนั้นโกนผมเสีย แต่อย่าโกนตรงบริเวณที่คัน ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นโรคคันนั้นไว้อีกเจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตรงที่คัน ดูเถิด ถ้าที่คันนั้นไม่ลามออกไปในผิวหนัง และปรากฏว่าเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วจะสะอาด แต่ถ้าเขาชำระตัวแล้ว ยังปรากฏว่าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว แต่ถ้าตามสายตาของเขาโรคคันนั้นระงับแล้ว และมีผมดำงอกอยู่ในบริเวณนั้น โรคคันนั้นหายแล้ว เขาก็สะอาด และให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงมีที่ด่างขึ้นที่ผิวหนัง คือที่ด่างขึ้นสีขาว ให้ปุโรหิตตรวจเขา ดูเถิด ถ้าที่ด่างขึ้นที่ผิวกายนั้นเป็นสีขาวหม่น นั่นเป็นเกลื้อนที่พุขึ้นในผิวหนัง เขาสะอาด ถ้าชายคนใดมีผมร่วงจากศีรษะ เขาเป็นคนศีรษะล้าน แต่เขาสะอาด ถ้าชายคนใดมีผมที่หน้าผากและที่ขมับร่วง หน้าผากของเขาล้าน แต่เขาสะอาด แต่ถ้าตรงบริเวณศีรษะล้านหรือหน้าผากล้าน มีบริเวณเป็นโรคสีแดงเรื่อๆ เขาเป็นเรื้อนพุขึ้นที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านนั้น ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ดูเถิด ถ้าโรคบวมนั้นสีแดงเรื่อๆอยู่ที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่ปรากฏตามผิวหนัง ชายผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคของเขาอยู่ที่ศีรษะ ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด และให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้ แล้วร้องไปว่า ‘มลทิน มลทิน’ เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย เมื่อในเครื่องแต่งกายมีโรคเรื้อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายขนสัตว์หรือผ้าป่าน อยู่ที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง อยู่ที่ผ้าป่านหรือผ้าขนสัตว์ หรืออยู่ในหนัง หรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนัง ถ้าโรคนั้นทำให้เครื่องแต่งกายมีสีเขียวๆหรือแดงๆที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่งที่หนังหรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนัง นั่นเป็นโรคเรื้อน จะต้องนำไปแสดงต่อปุโรหิต และให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น และให้กักสิ่งที่เป็นโรคนั้นไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูโรคนั้นอีก ถ้าโรคนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นเป็นโรคเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน ให้ปุโรหิตเผาเครื่องแต่งกายนั้นเสีย ไม่ว่าเป็นโรคที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่ผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพราะเป็นโรคเรื้อนที่ร้าย จึงให้เผาเสียในไฟ และถ้าปุโรหิตนั้นตรวจดู และดูเถิด โรคนั้นมิได้ลามไปในเสื้อ ทั้งที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ ก็ให้ปุโรหิตบัญชาให้เขาซักตัวที่เป็นโรคนั้นเสีย และให้กักไว้อีกเจ็ดวัน เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก ถ้าปุโรหิตตรวจดูเมื่อซักแล้ว และดูเถิด โรคนั้นจาง ก็ให้ฉีกบริเวณนั้นออกเสียจากเสื้อหรือหนังสัตว์ หรือเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง ถ้าปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกายไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นลามไปแล้ว เจ้าจงเผาสิ่งที่เป็นโรคนั้นด้วยไฟ ถ้าเสื้อทั้งที่ด้วยเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ ซึ่งเมื่อซักแล้วโรคนั้นหมดไป ก็ให้ซักอีกเป็นครั้งที่สอง สะอาดได้แล้ว” นี่เป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยโรคเรื้อนในเสื้อที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือเป็นที่สิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
เลวีนิติ 13:12-59 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ถ้าโรคเรื้อนนั้นลามไปตามผิวหนัง ตามที่ปุโรหิตเห็นก็ปรากฏว่า ลามไปตามผิวหนังทั่วตัวผู้ป่วยตั้งแต่ศีรษะจนเท้า ปุโรหิตต้องตรวจดู ถ้าเรื้อนนั้นแผ่ไปทั่วตัว ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาดด้วยโรคของเขาแล้วตัวของเขาเผือก เขาสะอาด ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน ให้ปุโรหิตตรวจดูที่เนื้อแผลสด และประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเนื้อแผลสดนั้นทำให้มลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน ถ้าเนื้อแผลสดนั้นเปลี่ยนไปอีกกลายเป็นสีขาว ให้เขามาหาปุโรหิต และให้ปุโรหิตตรวจเขา และถ้าโรคนั้นกลายเป็นโรคเผือก ให้ปุโรหิตประกาศว่า คนที่เป็นโรคนั้นสะอาด เขาสะอาด <<ถ้าที่ร่างกายของคนใดมีแผลฝีซึ่งหายแล้ว ถ้าที่แผลเป็นนั้นมีสีขาวบวมขึ้นมาหรือมีรอยสีแดงเรื่อๆปรากฏ ก็ให้ผู้นั้นไปสำแดงตัวต่อปุโรหิต และปุโรหิตจะตรวจดู ถ้าปรากฏว่าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนังและขนที่ บริเวณนั้นหงอกให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคนั้นเป็นโรคเรื้อนมันพุขึ้นมาที่แผลฝี แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้วเห็นว่าขนที่นั่นก็ไม่หงอก และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง แต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน ถ้าโรคนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว แต่ถ้าบริเวณนั้นคงที่อยู่ไม่ลามออกไป ก็เป็นแต่เพียงแผลเป็นของฝีให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด <<หรือ เมื่อส่วนของร่างกายถูกไฟลวกและเนื้อแผลสด ที่ตรงนั้นเป็นรอยสีแดงเรื่อๆ หรือสีขาว ให้ปุโรหิตตรวจดู ถ้าขนในบริเวณนั้นหงอกและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนัง ก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าขนในบริเวณนั้นไม่หงอก และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง แต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าที่เป็นนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน ถ้ารอยที่เป็นนั้นทรงอยู่ ไม่ลามออกไปในผิวหนัง แต่จาง บวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก <<ถ้าชายหรือหญิงคนใดมีโรคที่ศีรษะหรือที่เครา ให้ปุโรหิตตรวจดูโรคนั้น ถ้าปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนัง และผมตรงนั้นเหลืองและบางให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทินเขาเป็นโรคคัน เป็นโรคเรื้อนที่ศีรษะหรือที่เครา และถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคคันนั้น และปรากฏว่าเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง และไม่มีผมดำอยู่ในบริเวณนั้น ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นโรคคันนั้นไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น ถ้าอาการคันนั้นไม่ลามออกไป และไม่มีขนเหลืองในบริเวณนั้นและปรากฏว่าอาการ คันไม่ลึกกว่าผิวหนัง ก็ให้คนนั้นโกนผมเสีย แต่อย่าโกนตรงบริเวณที่คัน ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นโรคคันนั้นไว้อีกเจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ด ก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตรงที่คัน ถ้าที่คันนั้นไม่ลามออกไปในผิวหนัง และปรากฏว่าเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วจะสะอาด แต่ถ้าเขาชำระตัวแล้ว ยังปรากฏว่า โรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว <<แต่ถ้าตามสายตาของเขาโรคคันนั้นระงับแล้ว และมีผมดำงอกอยู่ในบริเวณนั้น โรคคันนั้นหายแล้วเขาก็สะอาด และให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด <<เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงมีรอยขาวที่ผิวหนัง ให้ปุโรหิตตรวจเขา ถ้ารอยที่ผิวกายนั้นเป็นสีขาวหม่น นั่นเป็นเกลื้อนที่พุขึ้นในผิวหนัง เขาสะอาด <<ถ้าชายคนใดมีผมร่วงจากศีรษะ เขาเป็นคนศีรษะล้าน แต่เขาสะอาด ถ้าชายคนใดมีผมที่หน้าผากและที่ขมับร่วง หน้าผากของเขาล้าน แต่เขาสะอาด แต่ถ้าตรงบริเวณศีรษะล้าน หรือหน้าผากล้าน มีบริเวณเป็นโรคสีแดงเรื่อๆ เขาเป็นเรื้อนพุขึ้นที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านนั้น ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าโรคบวมนั้นสีแดงเรื่อๆ อยู่ที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่ปรากฏตามผิวหนัง ชายผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคของเขาอยู่ที่ศีรษะ <<ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด และให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้แล้วร้องไปว่า <มลทิน มลทิน> เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย <<เมื่อในเครื่องแต่งกายมีเรื้อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายขนสัตว์หรือผ้าป่าน อยู่ที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง อยู่ที่ผ้าป่านหรือผ้าขนสัตว์หรืออยู่ในหนัง หรือสิ่งใดๆทีี่ทำด้วยหนัง ถ้าโรคนั้นทำให้เครื่องแต่งกายมีสีเขียวๆ หรือแดงๆที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง ที่หนังหรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนัง นั่นเป็นเรื้อนจะต้องนำไปแสดงต่อปุโรหิต และให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น และให้กักสิ่งที่เป็นโรคนั้นไว้เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูโรคนั้นอีก ถ้าโรคนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นเป็นโรคเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน ให้ปุโรหิตเผาเครื่องแต่งกายนั้นเสียไม่ว่า เป็นโรคที่ด้ายเส้นยืน หรือเส้นพุ่งเป็นที่ผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพราะเป็นโรคเรื้อนที่ร้าย จึงให้เผาเสียในไฟ <<และถ้าปุโรหิตนั้นตรวจดู และโรคนั้นมิได้ลามไปในเสื้อทั้งที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ ก็ให้ปุโรหิตบัญชาให้เขาซักตัวที่เป็นโรคนั้นเสีย และให้กักไว้อีกเจ็ดวัน เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟ เผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก <<ถ้าปุโรหิตตรวจดูเมื่อซักแล้ว เห็นว่าโรคนั้นจาง ก็ให้ฉีกบริเวณนั้นออกเสียจากเสื้อหรือหนังสัตว์ หรือเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง ถ้าปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกายไม่ว่าที่ ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นลามไปแล้ว เจ้าจงเผาสิ่งที่เป็นโรคนั้นด้วยไฟ ถ้าเสื้อทั้งที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือสิ่งที่ทำด้วยหนังสัตว์ ซึ่งเมื่อซักแล้วโรคนั้นหมดไป ก็ให้ซักอีกเป็นครั้งที่สอง สะอาดได้แล้ว>> นี่เป็นกฎว่าด้วยโรคเรื้อนใน เสื้อที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือเป็นที่สิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
เลวีนิติ 13:12-59 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
“แต่หากปุโรหิตเห็นว่ารอยโรคนั้นกระจายไปทั่วตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ปุโรหิตต้องตรวจดูเขา หากรอยโรคนั้นปกคลุมไปทั้งตัว ให้ประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน เนื่องจากร่างกายของเขากลายเป็นด่างขาวไปทั้งตัว เขาจึงสะอาดไม่เป็นโรคติดต่อ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของเขามีแผล ผู้นั้นก็เป็นมลทิน เมื่อปุโรหิตพบเห็นรอยแผลนั้น ให้ประกาศว่าเขาเป็นมลทิน รอยแผลนั้นไม่สะอาด ทำให้เขาเป็นโรคติดต่อ หากรอยแผลนั้นตกสะเก็ด ให้เขากลับไปหาปุโรหิต ปุโรหิตจะตรวจดูอีกครั้ง หากแผลนั้นหายแห้งดีแล้ว ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาหายจากโรคติดต่อ เขาสะอาดพ้นมลทิน “หากผู้ใดเป็นฝีและหายแล้ว แต่รอยฝีเกิดอาการบวมด่างหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอมชมพูเรื่อๆ ผู้นั้นต้องไปให้ปุโรหิตตรวจดู หากอาการลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคติดต่อทางผิวหนังได้ลามออกมาจากฝีนั้น แต่เมื่อปุโรหิตตรวจดูแล้ว ขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยโรคนั้นไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง อีกทั้งสีก็กำลังจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน หากโรคนั้นลามออกไปตามผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อ แต่หากลักษณะของรอยโรคนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลุกลามออกไป รอยนี้ก็เป็นเพียงแผลเป็นหลังจากเป็นฝี ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน “หากผู้ใดมีแผลไฟไหม้และแผลนี้กลายเป็นสีขาวหรือสีขาวอมชมพูเรื่อๆ ให้ปุโรหิตตรวจดูรอยนั้น ถ้าขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและอาการลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง โรคติดต่อได้ลามจากรอยไหม้นั้นแล้ว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง หากปุโรหิตตรวจดูพบว่าขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยแผลนั้นก็ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง อีกทั้งสีก็กำลังจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากแผลนั้นลุกลามออกไป ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง หากลักษณะของแผลนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ได้ลุกลามออกไป แต่กำลังจางลง รอยนี้ก็เป็นเพียงรอยบวมหรือแผลเป็นจากไฟไหม้ ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน “หากชายหรือหญิงคนใดมีแผลที่ศีรษะหรือคาง ให้ปุโรหิตตรวจดูแผลนั้น หากแผลลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและบางลง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นแผลคัน เป็นโรคติดต่อที่ศีรษะหรือคาง แต่หากปุโรหิตตรวจพบว่าแผลคันนั้นไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และไม่มีขนสีดำในบริเวณนั้น ให้กักคนนั้นไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจดูผู้นั้น หากแผลคันไม่ได้ลามไปและไม่ได้มีขนสีเหลืองขึ้นมา อีกทั้งแผลนี้ก็ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง จะต้องโกนขนบริเวณรอบๆ แผลนั้นออก และปุโรหิตจะกักตัวเขาไว้อีกเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจผู้นั้นอีก หากแผลคันนี้ไม่ได้ลามไปและไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด เขาต้องซักเสื้อผ้าและถือว่าเขาปราศจากมลทิน แต่ถ้าแผลคันนั้นลามออกไปหลังจากประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทินแล้ว ปุโรหิตจะตรวจอีกครั้ง หากแผลคันนั้นลามออกไปก็ประกาศว่าเขาเป็นมลทินโดยไม่ต้องรอดูว่ามีขนสีเหลืองหรือไม่ แต่หากปุโรหิตเห็นว่าแผลนั้นไม่ลามออกไปและมีขนสีดำขึ้นบริเวณนั้น แผลคันนั้นก็หายแล้ว เขาก็ไม่เป็นมลทิน และปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด ไม่เป็นมลทิน “หากชายหรือหญิงคนใดมีรอยด่างขาวขึ้นที่ผิวหนัง ให้ปุโรหิตตรวจดู หากรอยเหล่านี้คล้ำลง รอยที่ขึ้นบนผิวหนังประเภทนี้ก็เป็นเพียงผื่นที่ไม่เป็นอันตราย เขาก็ไม่เป็นมลทิน “หากชายคนใดผมร่วงจนหัวล้านเลี่ยน เขาก็ไม่เป็นมลทิน หากผมบริเวณหน้าผากร่วงจนเถิก เขาก็ไม่เป็นมลทิน แต่ถ้าบริเวณที่ล้านนั้นมีรอยแดงเรื่อๆ ก็เป็นโรคติดต่อที่ศีรษะหรือหน้าผาก ปุโรหิตจะตรวจดู หากมีแผลบวมแดงเรื่อๆ ที่ศีรษะหรือหน้าผากคล้ายโรคติดต่อทางผิวหนัง ชายผู้นี้ก็เป็นโรคติดต่อและเป็นมลทิน ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินเพราะแผลบนศีรษะของเขา “ผู้ใดถูกตรวจพบว่าเป็นโรคติดต่อ ผู้นั้นต้องสวมเสื้อผ้าฉีกขาด ปล่อยผมรุงรังปิดส่วนล่างของใบหน้าและร้องว่า ‘เป็นมลทิน! เป็นมลทิน!’ ตราบใดที่เขายังเป็นโรคติดต่อ เขาก็เป็นมลทิน และเขาต้องอยู่ตามลำพังนอกค่าย “หากสงสัยว่ามีราขึ้นที่เสื้อผ้าขนสัตว์หรือผ้าลินิน หรือที่สิ่งถักทอจากลินิน หรือจากขนสัตว์ หรือที่แผ่นหนัง หรือเครื่องใช้ที่ทำจากหนัง และมีจุดเขียวหรือแดงที่ของนั้น เครื่องใช้เหล่านั้นก็ขึ้นรา จะต้องนำมาให้ปุโรหิตดู ปุโรหิตจะตรวจดูเชื้อรา และแยกเครื่องใช้เหล่านี้ไว้เจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจดูอีกครั้ง ถ้าเชื้อรานั้นลามออกไปก็แสดงว่ารานี้มีพิษ ของสิ่งนั้นก็เป็นมลทิน ต้องเผาทิ้งเนื่องจากมีราที่เป็นพิษ “แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูเครื่องใช้เหล่านั้นแล้วพบว่าราไม่ได้ลามออกไป ต้องนำสิ่งเหล่านั้นไปซักล้าง แล้วแยกออกจากเครื่องใช้อื่นๆ ไว้เจ็ดวัน หลังจากนั้นปุโรหิตต้องตรวจดูเครื่องใช้เหล่านี้อีก หากพบว่ายังมีราติดอยู่แม้จะไม่ได้ลามออกไปก็ให้ถือว่าเป็นมลทิน ต้องเผาทิ้ง ไม่ว่ารานั้นจะอยู่ด้านใดด้านหนึ่งบนของสิ่งนั้น แต่หลังจากซักล้างแล้ว หากปุโรหิตตรวจพบว่าราในเครื่องใช้เหล่านี้จางลง ให้ตัดส่วนที่ขึ้นราทิ้ง หากมีราปรากฏขึ้นอีกและลุกลามออกไป ให้เผาเครื่องใช้เหล่านี้ แต่หากซักล้างแล้วไม่ปรากฏร่องรอย ก็ให้นำไปซักอีกครั้ง จึงจะถือว่าสิ่งนั้นสะอาด” ทั้งหมดนี้คือกฎระเบียบเกี่ยวกับเชื้อราในเสื้อผ้า สิ่งถักทอ หรือสิ่งที่ทำจากหนัง บอกให้รู้ว่าเป็นมลทินหรือไม่
เลวีนิติ 13:12-59 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
ถ้าโรคเรื้อนลามทั่วผิวหนังของคนเป็นโรคตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเท่าที่ปุโรหิตจะมองเห็นได้ ปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคเรื้อนลามไปทั่วตัว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาดเนื่องจากตัวของเขาขาวไปทั่ว และเขาก็สะอาด แต่เมื่อใดแผลนั้นอักเสบ เขาก็เป็นมลทิน ปุโรหิตจะตรวจดูแผลที่อักเสบและประกาศว่าเขาเป็นมลทิน แผลที่อักเสบเป็นมลทินเพราะเป็นโรคเรื้อน แต่ถ้าแผลที่อักเสบกลับดีขึ้นและกลายเป็นสีขาวอีก ก็ให้เขามาหาปุโรหิต ปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคนั้นเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าคนนั้นสะอาด เพราะเขาสะอาด ถ้าผิวหนังของผู้ใดเป็นฝีซึ่งหายแล้ว แต่ต่อมาจุดที่เคยเป็นฝีเกิดบวมและเป็นแผลสีขาวหรือสีแดงเรื่อๆ ก็ต้องให้ปุโรหิตตรวจดู เมื่อปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าแผลลึกกว่าผิวหนังและมีขนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อนและกลายเป็นฝี แต่ถ้าปุโรหิตตรวจเห็นแล้วว่าขนไม่เป็นสีขาว แผลไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและจางลงด้วย ปุโรหิตต้องกักตัวเขาไว้ 7 วัน แต่ถ้าแผลลุกลามผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว ถ้าขนาดของแผลอยู่คงเดิมไม่ลุกลาม แสดงว่าเป็นแต่เพียงแผลเป็นอันเกิดจากฝี ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เมื่อผู้ใดถูกไฟไหม้ผิว และบริเวณที่ไหม้เป็นแผลอักเสบที่กลายเป็นสีแดงเรื่อๆ หรือสีขาว ปุโรหิตจะต้องตรวจดูแผล ถ้าลึกลงไปใต้ผิวหนัง และมีขนเป็นสีขาว แสดงว่าเป็นโรคเรื้อนซึ่งลามไปยังจุดที่ถูกไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อน แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแผล ซึ่งไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ขนไม่เป็นสีขาว และสีจางลง ปุโรหิตต้องกักเขาไว้ 7 วัน ปุโรหิตจะตรวจดูเขาในวันที่เจ็ด ถ้าแผลลาม ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อน แต่ถ้าแผลอยู่คงเดิมโดยไม่ลาม และสีจางลง แสดงว่าแผลบวมจากการถูกไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นแต่เพียงแผลเป็นที่ถูกไฟไหม้ เมื่อชายหรือหญิงมีแผลที่ศีรษะหรือคาง ปุโรหิตต้องตรวจดูแผล ถ้าเห็นว่าลึกลงไปใต้ผิวหนัง มีขนเพียงไม่กี่เส้น และเป็นสีเหลือง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคผิวหนัง โรคเรื้อนขึ้นที่หัวหรือคาง ถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคผิวหนัง พบว่าไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและไม่มีขนสีดำ ปุโรหิตต้องกักตัวคนที่เป็นโรคผิวหนังไว้ 7 วัน ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตจะตรวจดูโรค ถ้าโรคผิวหนังไม่ได้ลุกลาม ไม่มีขนสีเหลือง ผิวที่คันไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ต้องให้เขาโกนผมและหนวดเครา ไม่ใช่โกนบริเวณแผล ปุโรหิตต้องกักตัวคนเป็นโรคผิวหนังไว้อีก 7 วัน ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตต้องตรวจดูผิวที่คัน ถ้าไม่ได้ลุกลามและไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เขาต้องซักเครื่องแต่งกาย จึงจะถือว่าเขาสะอาด แต่ถ้าโรคผิวหนังลุกลามออกไปอีกหลังจากการชำระล้าง ปุโรหิตต้องตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคผิวหนังที่คันนั้นลุกลาม ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องดูผมหรือขนสีเหลือง เขาเป็นมลทิน แต่ถ้าเท่าที่เขาตรวจดูผิวที่คันนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และมีขนดำงอก ผิวหายคันแล้ว เขาก็สะอาด ปุโรหิตก็ต้องประกาศว่าเขาสะอาด เมื่อผิวหนังของชายหรือหญิงใดมีจุดสีขาวๆ ปุโรหิตต้องตรวจดู และถ้าจุดเหล่านั้นเป็นสีขาวจางๆ นั่นเป็นเพียงตำหนิที่ผิว เขาสะอาด ถ้าชายใดผมร่วงจากศีรษะ ถึงเขาจะหัวล้านแต่เขาสะอาด และถ้าชายใดผมร่วงจากหน้าผากหรือขมับ ผมส่วนหน้าผากล้านแต่สะอาด แต่ถ้าหัวล้านหรือหน้าผากเถิกและมีจุดแดงเรื่อๆ นั่นคือโรคเรื้อนที่ลามไปถึงหัวหรือหน้าผากของเขา ปุโรหิตต้องตรวจดูตัวเขา ถ้าพบจุดแดงเรื่อๆ บวมที่หัวล้านหรือหน้าผากเถิกของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่เป็นตามตัว เขาเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นลุกลามไปถึงศีรษะของเขาแล้ว ผู้เป็นโรคเรื้อนต้องสวมเครื่องแต่งกายขาดๆ ปล่อยผม ปิดริมฝีปากบนและร้องว่า ‘เป็นมลทิน เป็นมลทิน’ เขาจะยังเป็นมลทินตราบที่เขายังเป็นโรคอยู่ เขาเป็นมลทิน และจะต้องแยกออกไปอาศัยอยู่นอกค่าย เมื่อพบว่ามีเชื้อโรคเรื้อนติดอยู่ที่เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน เนื้อผ้าทอหรือถักด้วยใยป่านหรือขนสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำจากหนังสัตว์ ถ้าเชื้อโรคที่ติดเครื่องแต่งกายเป็นสีเขียวหรือแดง ไม่ว่าบนเนื้อผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ นั่นเป็นเชื้อโรคเรื้อนติดอยู่ ต้องให้ปุโรหิตตรวจดู ปุโรหิตตรวจเชื้อโรค และกักสิ่งนั้นไว้ 7 วัน เมื่อปุโรหิตตรวจดูในวันที่เจ็ด เห็นว่าเชื้อโรคแพร่กระจายไปตามเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เชื้อโรคนั้นเป็นเชื้อโรคเรื้อนขั้นร้ายแรงและเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องเผาเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เพราะเป็นโรคเรื้อนขั้นร้ายแรง ต้องนำไปเผาไฟทิ้งเสีย ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้วเห็นว่า โรคไม่ได้แพร่กระจายไปตามเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ ปุโรหิตต้องสั่งให้คนซักสิ่งที่มีเชื้อโรคติดอยู่ และกักของไว้อีก 7 วัน ปุโรหิตต้องตรวจดูสิ่งที่มีเชื้อโรคติดอยู่ที่ได้ซักล้างแล้ว ถ้าจุดติดเชื้อไม่เปลี่ยนสี และถึงแม้เชื้อไม่แพร่กระจาย แต่ก็นับว่าเป็นมลทิน เจ้าจงใช้ไฟเผาสิ่งนั้นเสียไม่ว่าจุดติดเชื้อโรคจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกก็ตาม แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูเห็นว่าเชื้อโรคจางลงหลังจากซักล้างแล้ว เขาก็ต้องฉีกบริเวณจุดนั้นให้ขาดออกจากเครื่องแต่งกายหรือหนังสัตว์ หรือชิ้นที่ทอหรือถัก และถ้าเกิดมีเชื้อโรคติดอยู่ที่เครื่องแต่งกาย ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์อีก แสดงว่าเชื้อโรคกำลังแพร่กระจาย เจ้าก็จงใช้ไฟเผาสิ่งที่ติดเชื้อโรคเสีย ถ้าซักล้างเครื่องแต่งกาย ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ที่มีเชื้อโรคติดอยู่ จนทุกสิ่งสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้ว ก็ยังต้องซักล้างอีกเป็นครั้งที่สอง มันก็จะสะอาด” นี่เป็นกฎบัญญัติสำหรับโรคเรื้อนติดที่เครื่องแต่งกายผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เพื่อตัดสินว่าสิ่งใดสะอาดหรือเป็นมลทิน