ยอห์น 9:1-27

ยอห์น 9:1-27 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ขณะพระองค์เสด็จไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็มองเห็น เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน?” บางคนก็พูดว่า “ใช่คนนั้นแหละ” คนอื่นว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น” ตัวเขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น” พวกเขาจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร?” เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซูทำโคลนทาตาของข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออก’ ข้าพเจ้าก็ไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” พวกเขาจึงถามว่า “เขาอยู่ไหน?” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ” พวกเขาจึงพาคนที่เคยตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต พวกฟาริสีถามเขาว่าตาของเขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่า “ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็น” พวกฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโต” แต่คนอื่นพูดว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญอย่างนั้นได้อย่างไร?” พวกเขาก็ขัดแย้งกัน พวกเขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งพวกเขาเรียกบิดามารดาของคนนั้นมา แล้วถามว่า “ชายคนนี้เป็นลูกของเจ้าที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือ? แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น?” บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงมองเห็นหรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด ถามเขาเอาเองเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเล่าเรื่องเองได้” การที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าใครยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนนั้นจะถูกขับออกจากธรรมศาลา เพราะเหตุนี้บิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามเขาเอาเองเถิด” พวกเขาจึงเรียกคนที่เคยตาบอดให้มาหาเป็นครั้งที่สองและบอกเขาว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” เขาตอบว่า “ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว” พวกเขาจึงถามเขาว่า “คนนั้นทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าถึงหายบอด?” คนนั้นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านถึงอยากฟังอีก? อยากเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 9

ยอห์น 9:1-27 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

เมื่อ​พระเยซู​กำลัง​เดิน​อยู่​นั้น ก็​เห็น​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​เกิด​มา​ตาบอด พวก​ศิษย์​ของ​พระองค์​ถาม​ว่า “อาจารย์ ที่​เขา​เกิด​มา​ตาบอด​เพราะ​บาป​กรรม​ของ​เขา หรือ​ของ​พ่อ​แม่​เขา​ครับ” พระเยซู​ตอบ​ว่า “ไม่​ใช่​บาป​กรรม​ของ​เขา​หรือ​ของ​พ่อ​แม่​เขา​หรอก แต่​ที่​เขา​ตาบอด​ก็​เพื่อ​ทุก​คน​จะ​ได้​เห็น​สิ่ง​อัศจรรย์​ที่​พระเจ้า​จะ​ทำ​ให้​กับ​เขา พวก​เรา​ต้อง​ทำงาน​ของ​พระองค์​ผู้ที่​ส่ง​เรา​มา​ใน​ตอน​กลาง​วัน เพราะ​กลาง​คืน​กำลัง​มา​และ​จะ​ไม่​มี​ใคร​ทำงาน​ได้ ขณะ​ที่​เรา​ยัง​อยู่​ใน​โลกนี้ เรา​เป็น​ความสว่าง​ของ​โลก” เมื่อ​พระองค์​พูด​แล้ว ก็​ถ่ม​น้ำลาย​ผสม​กับ​ดิน​เคล้า​กัน​เป็น​โคลน แล้ว​เอา​มา​ทา​ที่​ตา​ของ​ชาย​ตาบอด พระองค์​บอก​เขา​ว่า “ไป​ล้าง​โคลน​ออก​ที่​สระ​สิโลอัม” (คำ​ว่า​สิโลอัม หมายถึง​ส่ง​ไป) ชาย​คน​นั้น​ไป​ล้าง​โคลน​ออก เมื่อ​ล้าง​แล้ว​กลับ​มา เขา​ก็​สามารถ​มอง​เห็น​ได้ ดังนั้น​เพื่อน​บ้าน​ของ​ชาย​ตาบอด​และ​คน​อื่นๆ​ที่​เคย​เห็น​เขา​เป็น​ขอทาน​มา​ก่อน ต่าง​ก็​พูด​กัน​ว่า “คนนี้​เป็น​คน​ที่​เคย​นั่ง​ขอทาน​อยู่​ไม่​ใช่​หรือ” บางคน​ก็​บอก​ว่า “ใช่ เขา​นั่น​แหละ” คน​อื่นๆ​บอก​ว่า “ไม่​ใช่​เขา​หรอก แต่​เป็น​คน​อื่น​ที่​มี​หน้า​ตา​คล้าย​เขา” ชาย​คน​นั้น​บอก​ว่า “เป็น​ผม​เอง​ครับ” พวก​เขา​ถาม​ว่า “แล้ว​มอง​เห็น​ได้​ยังไง” เขา​ตอบ​ว่า “ชาย​ที่​ชื่อ​เยซู ได้​ทำ​โคลน​เอา​มา​ทา​ที่​ตา​ของ​ผม และ​เขา​บอก​ว่า ‘ไป​ล้าง​โคลน​ออก​ที่​สระ​สิโลอัม’ ผม​ก็​ไป​ล้าง​โคลน​ออก​ที่​สระ​นั้น และ​ตา​ของ​ผม​ก็​มองเห็น” คน​เหล่า​นั้น​ถาม​ว่า “แล้ว​ชาย​คน​นั้น​อยู่​ที่​ไหน​ล่ะ” เขา​ก็​ตอบ​ว่า “ผม​ไม่​รู้” คน​เหล่า​นั้น​พา​ชาย​ที่​เคย​ตาบอด​นี้ ไป​หา​พวกฟาริสี (วัน​ที่​พระเยซู​ทำ​โคลน​รักษา​ชาย​ตาบอด​เป็น​วันหยุดทางศาสนา) พวก​ฟาริสี​ถาม​เขา​ว่า เขา​มองเห็น​ได้​อย่าง​ไร เขา​ก็​ตอบ​ว่า “เขา​เอา​โคลน​มา​ทา​ที่​ตา​ของ​ผม แล้ว​ผม​ก็​ไป​ล้าง​โคลน​ออก และ​ตอนนี้​ผม​ก็​มอง​เห็น​แล้ว” พวก​ฟาริสี​บาง​คน​ก็​พูด​ว่า “คน​ที่​ทำ​อย่างนี้​ไม่​ได้​มา​จาก​พระเจ้า​หรอก เพราะ​ไม่​ได้​รักษา​กฎวันหยุดทางศาสนา” แต่​คน​อื่นๆ​พูด​ว่า “คน​บาป​จะ​ทำ​สิ่ง​อัศจรรย์​อย่างนี้​ได้​ยังไง” ดังนั้น​พวก​เขา​ก็​เลย​มี​ความ​เห็น​ขัด​กัน​ใน​เรื่องนี้ พวก​ฟาริสี​ถาม​ชาย​ที่​เคย​ตาบอด​อีก​ว่า “แก​คิด​ว่า​คน​ที่​ทำ​ให้​ตา​แก​หาย​บอด​เป็น​ใคร” เขา​ตอบ​ว่า “เขา​เป็น​ผู้พูดแทนพระเจ้า” พวก​ผู้นำ​ชาว​ยิว​ไม่​เชื่อ​ว่า​เขา​เคย​ตาบอด แล้ว​ตอนนี้​มองเห็น​ได้ พวก​เขา​จึง​เรียก​พ่อ​แม่​ของ​ชาย​คนนี้​มา​ถาม ว่า “เขา​เป็น​ลูก​ที่​พวกเจ้า​บอก​ว่า​เกิด​มา​ตาบอด​ใช่​ไหม แล้ว​ทำไม​เขา​ถึง​มองเห็น​แล้ว” พ่อ​แม่​ของ​เขา​ตอบ​ว่า “เรา​รู้​ว่า​เขา​เป็น​ลูก​ของ​เรา​และ​เกิด​มา​ตาบอด แต่​เรา​ไม่​รู้​หรอก​ว่า​ทำไม​เขา​ถึง​มองเห็น​ได้​และ​ใคร​รักษา​เขา ไป​ถาม​เขา​เอา​เอง​สิ เพราะ​เขา​ก็​โต​แล้ว​และ​เล่า​เรื่อง​ให้​คุณ​ฟัง​ได้​แล้ว” (ที่​พ่อ​แม่​ของ​เขา​พูด​อย่างนี้ เพราะ​กลัว​พวก​ผู้นำ​ชาวยิว พวก​ผู้นำ​ชาวยิว​ได้​ตกลง​กัน​ก่อน​แล้ว​ว่า ใคร​พูด​ว่า​พระเยซู​เป็น​พระคริสต์ ก็​จะ​ถูก​ไล่​ออก​จาก​ที่​ประชุม​ชาวยิว นั่น​เป็น​เหตุ​ที่​พ่อ​แม่​ของ​เขา​พูด​ว่า “เขา​โต​แล้ว ไป​ถาม​เขา​เอา​เอง​เถิด”) พวก​ผู้นำ​ชาวยิว​จึง​เรียก​ชาย​ที่​เคย​ตาบอด​มา​อีก​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง แล้ว​บอก​ว่า “แก​ต้อง​ให้​เกียรติ​กับ​พระเจ้า​โดย​พูด​ความจริง เรา​รู้​ว่า​ชาย​คน​นั้น​เป็น​คน​บาป” เขา​ก็​ตอบ​ว่า “ผม​ไม่​รู้​หรอก​ว่า​เขา​เป็น​คน​บาป​หรือ​เปล่า รู้​แต่​ว่า​ผม​เคย​ตาบอด​และ​ตอนนี้​มอง​เห็น​แล้ว” พวก​เขา​จึง​ถาม​ชาย​ที่​เคย​ตาบอด​ว่า “เขา​ทำ​อะไร​กับ​แก​บ้าง เขา​รักษา​ตา​แก​ยังไง” เขา​ตอบ​ว่า “ผม​ได้​เล่า​ไป​แล้ว​แต่​พวก​คุณ​ไม่​ยอม​ฟัง แล้ว​จะ​ให้​เล่า​อีก​ทำไม​ล่ะ พวก​คุณ​อยาก​จะ​เป็น​ศิษย์​เขา​ด้วย​หรือ”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 9

ยอห์น 9:1-27 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

เมื่อพระเยซูเสด็จดำเนินไปนั้น พระองค์​ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่​กำเนิด และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์​ว่า “พระอาจารย์​เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรื​อบ​ิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซู​ตรัสตอบว่า “​มิใช่​ชายคนนี้หรื​อบ​ิดามารดาของเขาได้​ทำบาป แต่​เพื่อให้​พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่​มี​ผู้​ใดทำงานได้ ตราบใดที่​เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” เมื่อตรั​สด​ังนั้นแล้ว พระองค์​ก็​ทรงบ้วนน้ำลายลงที่​ดิน แล​้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอดนั้น แล​้วตรั​สส​ั่งเขาว่า “จงไปล้างออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (​สิ​โลอัมแปลว่า ใช้​ไป​) เขาจึงไปล้างแล้วกลับเห็นได้ เพื่อนบ้านและคนทั้งหลายที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนตาบอดมาก่อน จึงพู​ดก​ั​นว​่า “คนนี้​มิใช่​หรือที่เคยนั่งขอทาน” บางคนก็​พูดว่า “คนนั้นแหละ” คนอื่​นว​่า “เขาคล้ายคนนั้น” แต่​เขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น” เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้​อย่างไร​” เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซู ได้​ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างออกเสีย’ ข้าพเจ้าก็​ได้​ไปล้างตาจึงมองเห็นได้” เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “​ผู้​นั้นอยู่​ที่ไหน​” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่​ทราบ​” เขาจึงพาคนที่​แต่​ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริ​สี วันที่​พระเยซู​ทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็​นว​ันสะบาโต พวกฟาริ​สี​ก็ได้​ถามเขาอี​กว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น เขาบอกคนเหล่านั้​นว​่า “เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น” ฉะนั้นพวกฟาริ​สี​บางคนพูดว่า “ชายคนนี้​ไม่ได้​มาจากพระเจ้าเพราะเขามิ​ได้​รักษาวันสะบาโต” คนอื่​นว​่า “คนบาปจะทำการอัศจรรย์เช่นนั้นได้​อย่างไร​” พวกเขาก็แตกแยกกัน เขาจึงพู​ดก​ับคนตาบอดอี​กว่า “​เจ้​าคิ​ดอย​่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้​ทำให้​ตาของเจ้าหายบอด” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์” แต่​พวกยิวไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้​นว​่า เขาตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา แล​้วพวกเขาถามเขาทั้งสองว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรชายของเจ้าหรือที่​เจ้​าบอกว่าตาบอดมาแต่​กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น” บิ​ดามารดาของชายคนนั้นตอบเขาว่า “เราทราบว่าคนนี้เป็นบุตรชายของเรา และทราบว่าเขาเกิดมาตาบอด แต่​ไม่รู้​ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น หรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด เราก็​ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาจะเล่าเรื่องของเขาเองได้” ที่​บิ​ดามารดาของเขาพู​ดอย​่างนั้​นก​็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้​วว​่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องไล่​ผู้​นั้นเสียจากธรรมศาลา เหตุ​ฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว” คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่​แต่​ก่อนตาบอดนั้นมาอีกและบอกเขาว่า “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เรารู้​อยู่​ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” เขาตอบว่า “ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่​ทราบ สิ​่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือว่า ข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่​เดี๋ยวนี้​ข้าพเจ้ามองเห็นได้” คนเหล่านั้นจึงถามเขาอี​กว่า “เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด” ชายคนนั้นตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว และท่านไม่​ฟัง ทำไมท่านจึงอยากฟั​งอ​ีก ท่านอยากเป็นสาวกของท่านผู้นั้นด้วยหรือ”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 9

ยอห์น 9:1-27 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด>> พระเยซูตรัสตอบว่า <<มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก>> เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า <<จงไปล้างโคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด>> (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้ เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า <<คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน>> บางคนก็พูดว่า <<ใช่คนนั้นแหละ>> คนอื่นว่า <<ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น>> ตัวเขาเองพูดว่า <<ข้าพเจ้าคือคนนั้น>> เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า <<ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร>> เขาตอบว่า <<ชายคนหนึ่งชื่อเยซูได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า <จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออกเสีย> ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตา จึงมองเห็นได้>> เขาจึงถามว่า <<ผู้นั้นอยู่ที่ไหน>> คนนั้นบอกว่า <<ข้าพเจ้าไม่ทราบ>> เขาจึงพาคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอด เป็นวันสะบาโต พวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น และเขาบอกคนเหล่านั้นว่า <<เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น>> พวกฟาริสีบางคนพูดว่า <<ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขามิได้รักษาวันสะบาโต>> แต่คนอื่นพูดว่า <<คนบาปจะทำหมายสำคัญเช่นนั้นได้อย่างไร>> พวกเขาก็แตกแยกกัน เขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า <<เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้ทำให้ตาของเจ้าหายบอด>> ชายคนนั้นตอบว่า <<ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ>> พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา แล้วถามว่า <<ชายคนนี้เป็นบุตรของเจ้าหรือ ที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น>> บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า <<ข้าพเจ้าทราบว่าคนนี้เป็นบุตรของข้าพเจ้า และทราบว่าเขาเกิดมาตาบอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น ใครทำให้ตาของเขาหายบอด ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาคงเล่าเรื่องของเขาเองได้>> ที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้น ก็เพราะกลัวพวกยิวเพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากธรรมศาลา เหตุฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า <<เขาโตแล้ว ถามตัวเขาเองเถิด>> คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นมาหาเป็นครั้งที่สอง และบอกเขาว่า <<จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เรารู้อยู่ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป>> เขาตอบว่า <<ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบ ก็คือว่าข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว>> คนเหล่านั้นจึงถามเขาว่า <<เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด>> ชายคนนั้นตอบเขาว่า <<ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วและท่านไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากฟังอีก อยากเป็นสาวกของท่านผู้นั้นด้วยหรือ>>

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 9

ยอห์น 9:1-27 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

ขณะเสด็จไปตามทางพระองค์ทรงเห็นชายตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ใครกันที่ทำบาป ชายผู้นี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด?” พระเยซูตรัสว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือบิดามารดาของเขาที่ทำบาป แต่การนี้เกิดขึ้นเพื่อสำแดงพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเขา ตราบใดที่ยังเป็นเวลากลางวันอยู่พวกเราต้องทำงานของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา จวนจะถึงเวลากลางคืนแล้ว เวลานั้นไม่มีใครทำงานได้ ขณะที่เราอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้แล้วก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่พื้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนนั้น พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างออกที่สระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ส่งไป) ชายคนนั้นจึงไปล้างโคลนออกและขณะกลับบ้านก็มองเห็นได้ เพื่อนบ้านของเขาและผู้ที่เคยเห็นเขานั่งขอทานถามกันว่า “นี่เป็นชายคนเดียวกับคนที่เคยนั่งขอทานไม่ใช่หรือ?” บางคนก็ว่าใช่ บางคนก็ว่า “ไม่ใช่ เพียงแต่หน้าตาคล้ายๆ กัน” แต่ตัวเขาเองยืนยันว่า “ข้าพเจ้าคือชายคนนั้น” พวกเขาคาดคั้นว่า “แล้วตาของท่านหายบอดได้อย่างไร?” เขาตอบว่า “ชายคนที่เรียกกันว่าพระเยซูเอาโคลนทาที่ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าและสั่งให้ข้าพเจ้าไปล้างออกที่สระสิโลอัม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปล้างออกแล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นได้” พวกเขาถามว่า “ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ” พวกเขานำคนที่เคยตาบอดมาพบพวกฟาริสี วันที่พระเยซูทรงทำโคลนรักษาตาของคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต ดังนั้นพวกฟาริสีจึงถามด้วยว่าเขามองเห็นได้อย่างไร คนนั้นบอกว่า “เขาผู้นั้นเอาโคลนทาที่ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปล้างออกและเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็มองเห็น” ฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ถือรักษาวันสะบาโต” แต่คนอื่นๆ ถามว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร?” พวกเขาจึงแตกแยกกัน ในที่สุดพวกเขาหันมาถามชายตาบอดอีกว่า “เจ้าจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น? ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด” เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้เผยพระวจนะ” พวกยิวยังไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอดและกลับมองเห็นได้จนกระทั่งได้เรียกบิดามารดาของเขามา พวกเขาถามว่า “นี่คือลูกชายของเจ้าใช่ไหม? นี่คือคนที่เจ้าบอกว่าตาบอดแต่กำเนิดใช่ไหม? เดี๋ยวนี้เขามองเห็นได้อย่างไร?” บิดามารดาของเขาตอบว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นลูกของเราและเรารู้ว่าเขาตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เราไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขามองเห็นได้อย่างไร หรือใครรักษาตาของเขาให้หายบอด จงถามเขาเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาพูดเองได้” บิดามารดาของเขาพูดเช่นนั้นเพราะกลัวพวกยิวเพราะพวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าใครยอมรับพระเยซูเป็นพระคริสต์จะถูกอเปหิจากธรรมศาลา ฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงบอกว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จงถามเขาเถิด” พวกนั้นจึงเรียกตัวคนที่เคยตาบอดมาพบเป็นครั้งที่สองและพูดว่า “จงถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วยการพูดความจริง เรารู้ว่าคนนั้นเป็นคนบาป” เขาตอบว่า “เขาเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือข้าพเจ้าเคยตาบอดแต่เดี๋ยวนี้มองเห็นแล้ว!” แล้วพวกเขาจึงถามว่า “เขาทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าก็บอกไปแล้วและพวกท่านไม่ฟัง ทำไมท่านอยากฟังอีก? ท่านอยากเป็นสาวกของเขาด้วยหรือ?”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 9

ยอห์น 9:1-27 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ขณะ​ที่​พระ​องค์​เดิน​ผ่าน​ไป ก็​ได้​พบ​ชาย​ตา​บอด​แต่​กำเนิด​คน​หนึ่ง บรรดา​สาวก​ถาม​พระ​องค์​ว่า “รับบี ใคร​เป็น​ผู้​ทำ​บาป ชาย​ผู้​นี้​หรือ​บิดา​มารดา เขา​จึง​เกิด​มา​ตา​บอด” พระ​เยซู​ตอบ​ว่า “ไม่​ใช่​ทั้ง​ชาย​คน​นี้​หรือ​บิดา​มารดา​ของ​เขา​ที่​ทำ​บาป แต่​ที่​เป็น​ไป​เช่น​นี้​เพื่อ​ว่า งาน​ของ​พระ​เจ้า​จะ​ได้​ปรากฏ​ให้​เห็น​ใน​ตัว​เขา เรา​ต้อง​ปฏิบัติ​งาน​ของ​พระ​องค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา​ตราบที่​ยัง​วัน​อยู่ เวลา​กลางคืน​กำลัง​จะ​มา​ถึง​ซึ่ง​ไม่​มี​ผู้​ใด​ทำงาน​ได้ ขณะ​ที่​เรา​ยัง​อยู่​ใน​โลก เรา​คือ​ความ​สว่าง​ของ​โลก” เมื่อ​พระ​องค์​กล่าว​เช่น​นั้น​แล้ว​ก็​บ้วน​น้ำลาย​ลง​บน​พื้นดิน​เพื่อ​ผสม​ให้​เป็น​โคลน แล้ว​ทา​ที่​ตา​ทั้ง​สอง​ของ​คน​ตา​บอด พระ​องค์​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “จง​ไป​ล้าง​ตา​ใน​สระ​สิโลอัม​เถิด” (สิโลอัม​แปล​ว่า ถูก​ส่ง​ไป) เขา​จึง​ไป​ล้าง​โคลน​ออก เมื่อ​กลับ​มา​ก็​มองเห็น​ได้ เพื่อน​บ้าน​และ​พวก​ที่​เคย​เห็น​เขา​เป็น​ขอทาน​มา​ก่อน​ก็​พูด​ว่า “นี่​เป็น​คน​ที่​เคย​นั่ง​ขอทาน​อยู่​ไม่​ใช่​หรือ” บาง​คน​พูด​ว่า “ใช่ เขา​นั่น​แหละ” บ้าง​ก็​ยัง​พูด​ว่า “ไม่​ใช่ แต่​เขา​เหมือน​กับ​คน​นั้น” ชาย​ตา​บอด​เอง​พูด​ว่า “ข้าพเจ้า​เป็น​คน​นั้น” พวก​เขา​จึง​กล่าว​กับ​ชาย​ตา​บอด​ว่า “ตา​ของ​เจ้า​หาย​บอด​ได้​อย่างไร” เขา​ตอบ​ว่า “คน​ที่​ชื่อ​เยซู​ได้​ทำ​โคลน​ทา​ที่​ตา​ข้าพเจ้า​และ​บอก​ข้าพเจ้า​ว่า ‘จง​ไป​ที่​สิโลอัม​และ​ล้าง​ตา​เถิด’ ข้าพเจ้า​ก็​ไป​ล้าง​ออก​แล้ว​ก็​มองเห็น​ได้” พวก​เขา​พูด​กับ​ชาย​นั้น​ว่า “ท่าน​ผู้​นั้น​อยู่​ที่​ไหน” เขา​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​ไม่​ทราบ” พวก​เขา​พา​คน​ที่​เคย​ตา​บอด​มา​หา​พวก​ฟาริสี วัน​ที่​พระ​เยซู​ทำ​โคลน​และ​ให้​ตา​ของ​เขา​หาย​บอด​เป็น​วัน​สะบาโต พวก​ฟาริสี​ถาม​เขา​อีก​ว่า​ตา​ของ​เขา​หาย​บอด​ได้​อย่างไร และ​เขา​ก็​บอก​ว่า “ท่าน​ใช้​โคลน​ทา​ที่​ตา​ทั้ง​สอง​ของ​ข้าพเจ้า และ​เมื่อ​ข้าพเจ้า​ล้าง​ออก ข้าพเจ้า​ก็​มองเห็น” ดังนั้น​ฟาริสี​บาง​คน​จึง​ได้​พูด​ว่า “ชาย​ผู้​นี้​ไม่​ได้​มา​จาก​พระ​เจ้า เพราะ​ว่า​เขา​ไม่​ได้​ถือ​กฎ​วัน​สะบาโต” แต่​ใน​ขณะ​ที่​บาง​คน​กลับ​พูด​ว่า “คน​บาป​จะ​กระทำ​ปรากฏการณ์​อัศจรรย์​เช่น​นี้​ได้​อย่างไร” พวก​ฟาริสี​จึง​แบ่ง​ฝัก​แบ่ง​ฝ่าย​กัน​เอง แล้ว​พวก​เขา​ก็​หัน​มา​พูด​กับ​คน​ตา​บอด​อีก​ว่า “เจ้า​มี​ความ​เห็น​อย่างไร​เกี่ยว​กับ​ชาย​ผู้​นี้ ใน​เมื่อ​เขา​ทำ​ให้​เจ้า​มองเห็น” ชาย​ที่​เคย​ตา​บอด​จึง​พูด​ว่า “ท่าน​เป็น​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า” ชาว​ยิว​ไม่​เชื่อ​เรื่อง​ที่​ว่า เขา​เคย​ตา​บอด​และ​กลับ​มองเห็น​ได้ จน​กระทั่ง​เรียก​บิดา​มารดา​ของ​คน​ที่​ตา​หาย​บอด​คน​นั้น​มา และ​ซักไซ้​คน​ทั้ง​สอง​ว่า “นี่​เป็น​บุตร​ของ​เจ้า​ที่​ว่า​ตา​บอด​แต่​กำเนิด​หรือ แล้ว​บัดนี้​เขา​เห็น​ได้​อย่างไร” บิดา​มารดา​ของ​เขา​ตอบ​ว่า “เรา​ทราบ​ว่า​เขา​เป็น​บุตร​ของ​เรา​และ​ตา​บอด​แต่​กำเนิด แต่​บัดนี้​เขา​มองเห็น​ได้​อย่างไร​นั้น​เรา​ไม่​ทราบ หรือ​ใคร​ทำ​ให้​ตา​หาย​บอด​เรา​ก็​ไม่​ทราบ ถาม​เขา​เถิด เขา​โต​พอ​ที่​จะ​พูด​เอง​ได้” บิดา​มารดา​ของ​เขา​พูด​เช่น​นั้น​เพราะ​กลัว​ชาว​ยิว ด้วย​เหตุ​ว่า​ชาว​ยิว​ได้​ตกลง​กัน​ไว้​ว่า ถ้า​ผู้​ใด​ยอมรับ​ว่า​พระ​องค์​เป็น​พระ​คริสต์ ผู้​นั้น​ก็​จะ​ถูก​ขับไล่​ออก​จาก​ศาลา​ที่​ประชุม ด้วย​เหตุ​นี้​เอง​บิดา​มารดา​ของ​เขา​จึง​พูด​ว่า “เขา​โต​แล้ว ถาม​เขา​เถิด” ดังนั้น​เขา​เหล่า​นั้น​จึง​เรียก​คน​ที่​เคย​ตา​บอด​มา​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง และ​พูด​กับ​เขา​ว่า “จง​สรรเสริญ​พระ​เจ้า​เถิด พวก​เรา​ทราบ​ว่า​ชาย​ผู้​นี้​เป็น​คน​บาป” เขา​กลับ​ตอบ​ว่า “ท่าน​เป็น​คน​บาป​หรือ​ไม่​นั้น ข้าพเจ้า​ไม่​ทราบ แต่​สิ่ง​หนึ่ง​ที่​ข้าพเจ้า​ทราบ​คือ ข้าพเจ้า​เคย​ตา​บอด และ​บัดนี้​ข้าพเจ้า​มองเห็น” คน​เหล่า​นั้น​พูด​กับ​เขา​ว่า “เขา​ทำ​อะไร​กับ​เจ้า เขา​ทำ​ให้​เจ้า​มองเห็น​ได้​อย่างไร” ชาย​ที่​เคย​ตา​บอด​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​บอก​ท่าน​แล้ว ท่าน​ก็​ไม่​ฟัง ทำไม​ท่าน​จึง​อยาก​ได้ยิน​อีก​เล่า ท่าน​อยาก​เป็น​สาวก​ด้วย​หรือ”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 9