ยอห์น 6:16-71

ยอห์น 6:16-71 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

พอค่ำลงพวกสาวกของพระองค์ก็ไปที่ทะเลสาบ แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูก็ยังไม่เสด็จไปหาพวกเขา ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดแรง เมื่อพวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินมาบนทะเล กำลังเข้ามาใกล้เรือ พวกเขาต่างตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” พวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่เหลืออยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับพวกสาวก พวกสาวกของพระองค์ไปกันตามลำพังเท่านั้น เวลานั้นมีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียส ผ่านมาใกล้ตำบลที่พวกเขากินขนมปังหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าขอบพระคุณแล้ว ดังนั้นเมื่อฝูงชนเห็นว่าพระเยซูและพวกสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของพระเจ้าได้?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน? ท่านจะทำอะไร? บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านให้ พวกเขากินอาหารจากสวรรค์’ ” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราเป็นผู้ประทานอาหารแท้ที่มาจากสวรรค์ให้กับพวกท่าน เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย แต่เราก็บอกพวกท่านแล้วว่าท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่วางใจ สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือ ให้เรารักษาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเรา ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว แต่ทำให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “อย่าซุบซิบกันเลย ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน’ ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น นี่แหละเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกินและเสียชีวิต คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์” คำเหล่านี้พระองค์ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อพวกสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” และเมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ? ถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่พระองค์อยู่แต่ก่อนนั้น จะว่าอย่างไร? พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต เนื้อหนังนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต แต่ในพวกท่านมีบางคนไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าใครไม่เชื่อและใครเป็นคนที่จะทรยศพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น’ ” ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท คนหนึ่งในสาวกสิบสองคน เพราะว่าเขาเป็นคนที่จะทรยศพระองค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 6

ยอห์น 6:16-71 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

พอ​ตก​เย็น​พวก​ศิษย์​ของ​พระองค์​ไป​ที่​ทะเลสาบ พวก​เขา​ลง​เรือ​และ​เริ่ม​ข้าม​ฟาก​ไป​ที่​เมือง​คาเปอรนาอุม ตอน​นั้น​มืด​แล้ว แต่​พระเยซู​ยัง​ไม่​ได้​มา​หา​พวก​เขา เกิด​พายุ​ขึ้น​ทำ​ให้​คลื่น​ใน​ทะเลสาบ​ปั่นป่วน​รุนแรง​มาก หลังจาก​ที่​พวก​ศิษย์​พายเรือ​ออก​จาก​ฝั่ง​มา​ได้​ประมาณ​ห้า​ถึง​หก​กิโลเมตร พวก​เขา​เห็น​พระเยซู​กำลัง​เดิน​อยู่​บน​น้ำ​ตรง​มา​ที่​เรือ พวก​เขา​ต่าง​ก็​ตกใจ​กลัว แต่​พระเยซู​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “นี่​เรา​เอง ไม่​ต้อง​กลัว” พวก​เขา​ก็​ดีอก​ดีใจ​และ​รับ​พระองค์​ขึ้น​มา​บน​เรือ แล้ว​เรือ​ก็​ถึง​ฝั่ง​ที่​พวก​เขา​จะ​ไป​ทันที วัน​ต่อมา​ฝูงชน​ที่​ยัง​คง​อยู่​ใน​บริเวณ​ที่​พระเยซู​เลี้ยง​อาหาร​นั้น ต่าง​ก็​รู้​ว่า​ที่​นั่น​มี​เรือ​อยู่​แค่​ลำ​เดียว และ​พวกศิษย์​ลง​เรือ​ลำ​นั้น​ไป​แล้ว พระเยซู​ไม่​ได้​ไป​ด้วย พวก​เขา​ก็​เลย​ตาม​หา​พระเยซู​กัน​เป็น​การใหญ่ มี​เรือ​บาง​ลำ​มา​จาก​ทิเบเรียส​เข้า​ไป​จอด​ที่​ฝั่ง​ใกล้ๆ​กับ​ที่​พวก​เขา​ได้​กิน​อาหาร​กัน คือ​หลัง​จาก​ที่​พระเยซู​องค์​เจ้า​ชีวิต​ได้​ขอบคุณ​พระเจ้า​แล้ว เมื่อ​ประชาชน​เห็น​ว่า​ทั้ง​พระเยซู และ​พวกศิษย์​ไม่​ได้​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​ก็​ลง​เรือ​ไป​ตาม​หา​พระองค์​ที่​เมือง​คาเปอรนาอุม เมื่อ​พวก​เขา​พบ​พระเยซู​ที่​อีก​ฝั่ง​หนึ่ง​ของ​ทะเลสาบ พวก​เขา​ก็​ถาม​พระองค์​ว่า “อาจารย์​มา​ที่​นี่​ตั้งแต่​เมื่อไหร่​ครับ” พระเยซู​ตอบ​ว่า “เรา​ขอ​พูด​ตรงๆ​นะ ที่​พวกคุณ​ตาม​หา​เรา ไม่​ใช่​เป็น​เพราะ​เข้าใจ​อย่าง​ถ่องแท้​แล้ว​ถึง​สิ่ง​อัศจรรย์​ที่​พวก​คุณ​ได้​เห็น แต่​เป็น​เพราะ​ได้​กิน​อาหาร​จน​อิ่มหนำ​สำราญ​ต่าง​หาก อย่า​ทำงาน​เพื่อ​จะ​ได้​อาหาร​ที่​เน่าเสีย แต่​ให้​ทำงาน​เพื่อ​จะ​ได้​อาหาร​ทิพย์​ที่​ให้​ชีวิต​ที่​อยู่​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป บุตร​มนุษย์​จะ​ให้​อาหารทิพย์​นั้น​กับ​พวก​คุณ เพราะ​พระเจ้า​พระบิดา​ให้​สิทธิอำนาจ​กับ​บุตร​มนุษย์​ที่​จะ​ทำ​สิ่งนี้” พวก​เขา​ถาม​พระองค์​ว่า “แล้ว​พวก​เรา​ควร​จะ​ทำงาน​อะไร​ล่ะ พระเจ้า​ถึง​จะ​พอใจ” พระเยซู​ตอบ​ว่า “งาน​ที่​จะ​ทำ​ให้​พระเจ้า​พอใจ​คือ การไว้วางใจ​คนๆ​นั้น​ที่​พระเจ้า​ส่ง​มา” พวกเขา​ถาม​อีก​ว่า “อาจารย์​จะ​ทำ​สิ่ง​อัศจรรย์​อะไร​ให้​ดู​ล่ะ เพื่อ​ที่​เรา​จะ​ได้​เชื่อ​ว่า​พระเจ้า​ส่ง​อาจารย์​มา ตกลง​ว่า​จะ​ทำ​อะไร​ให้​ดู​ล่ะ บรรพบุรุษ​ของ​พวก​เรา​เคย​กิน​มานา​ใน​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้ง​ตาม​ที่​พระคัมภีร์​เขียน​ไว้​ว่า ‘เขา​ได้​ให้​ขนมปัง​จาก​สวรรค์​กับ​พวก​เขา’” พระเยซู​พูด​ว่า “จริงๆ​แล้ว​โมเสส​ไม่​ได้​เป็น​คน​ที่​ให้​ขนมปัง​จาก​สวรรค์​นั้น​กับ​คุณ​หรอก แต่​เป็น​พระบิดา​ของ​เรา​ต่างหาก​ที่​กำลัง​ให้​อาหาร​อัน​แท้จริง​จาก​สวรรค์​กับ​คุณ เพราะ​ขนมปัง​จาก​พระเจ้านั้น​ก็​คือ​คน​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์ และ​ให้​ชีวิต​กับ​โลกนี้” พวก​เขา​จึง​ว่า “ท่าน​ครับ ถ้า​อย่าง​นั้น ให้​ขนมปัง​นั้น​กับ​พวก​เรา​ตลอด​ไป​ด้วย​เถอะ” พระเยซู​พูด​ว่า “ตัว​เรา​นี่​แหละ​คือ​ขนมปัง​ที่​ให้​ชีวิต คน​ที่​มาหา​เรา​จะ​ไม่​หิว​อีก​เลย และ​คน​ที่​ไว้วางใจ​เรา​จะ​ไม่​กระหาย​น้ำ​อีก​เลย แต่​ก็​อย่าง​ที่​เรา​พูด​แล้ว พวก​คุณ​ได้​เห็น​เรา​แล้ว แต่​ก็​ยัง​ไม่​ยอม​ไว้วางใจ​เรา​อยู่​ดี ทุก​คน​ที่​พระบิดา​ยกให้กับ​เรา ก็​จะ​มา​หา​เรา และ​ใคร​ก็​ตาม​ที่​มา​หา​เรา เรา​จะ​ไม่​ไล่​เขา​ไป​จาก​เรา​เลย เพราะ​เรา​ไม่​ได้​ลง​มา​จาก​สวรรค์​เพื่อ​ทำ​ตามใจ​ตัวเอง แต่​มา​เพื่อ​ทำ​ตามใจ​ของ​พระองค์​ผู้ที่​ส่ง​เรา​มา นี่​คือ​สิ่ง​ที่​พระ​บิดา​ผู้ที่​ส่ง​เรา​มา​อยาก​ให้​เรา​ทำ คือ​ให้​เก็บ​รักษา​ทุก​คน​ที่​พระองค์​ยก​ให้​กับ​เรา​ไว้​ไม่​ให้​สูญ​หาย​ไป​สัก​คน​เดียว และ​ทำ​ให้​เขา​ฟื้นขึ้น​มา​มี​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย พระบิดา​ของ​เรา​อยาก​ให้​ทุก​คน​ที่​เห็น​พระบุตร​และ​ไว้วางใจ​พระบุตร​นั้น มี​ชีวิต​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป และ​เรา​จะ​ทำ​ให้​พวก​เขา​ฟื้นขึ้น​มา​มี​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย” พวกยิว​เริ่ม​บ่น​พึมพำ​กัน​เรื่อง​ที่​พระเยซู​พูด​ว่า “เรา​คือ​ขนมปัง​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์” พวกยิว​พูด​กัน​ว่า “นี่​มัน​เจ้า​เยซู ลูก​ของ​โยเซฟ ที่​เรา​ก็​รู้จัก​ทั้งพ่อ​และแม่​ของ​มัน​ไม่ใช่หรือ โธ่เอ๊ย แล้ว​มัน​พูด​ได้​อย่างไร​ว่า ‘เรา​ลง​มา​จาก​สวรรค์’” พระเยซู​พูด​ขึ้น​ว่า “เลิก​บ่น​กัน​ได้​แล้ว ไม่​มี​ใคร​มาหา​เรา​ได้ นอกจาก​ว่า​พระบิดา​ผู้​ส่ง​เรา​มา​จะ​พา​เขา​มาหา​เรา และ​เรา​จะ​ทำ​ให้​เขา​ฟื้นขึ้น​มา​มี​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย ผู้พูดแทนพระเจ้า​เขียน​ไว้​ว่า ‘พระเจ้า​จะ​สั่งสอน​พวก​เขา​ทุก​คน’ ทุก​คน​ที่​ได้​ฟัง​และ​เรียนรู้​จาก​พระบิดา​ก็​จะ​มาหา​เรา (ไม่​มี​ใคร​เคย​เห็น​พระบิดา นอกจาก​ผู้​ที่​มา​จาก​พระบิดา​ผู้​เคย​เห็น​พระองค์) เรา​จะ​บอก​ให้​รู้​ว่า คน​ที่​ไว้วางใจ​เรา​ก็​มี​ชีวิต​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป เรา​เป็น​ขนมปัง​ที่​ให้​ชีวิต บรรพบุรุษ​ของ​พวก​คุณ​ได้​กิน​มานา​ใน​ที่​เปล่า​เปลี่ยว​แห้งแล้ง สุดท้าย​พวก​เขา​ก็​ตาย​กัน​ไป​หมด แต่​คน​ไหน​กิน​ขนมปัง​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์ คน​นั้น​จะ​ไม่​ตาย​อีก​เลย เรา​เป็น​ขนมปัง​จาก​สวรรค์​ที่​ให้​ชีวิต คน​ที่​กิน​ขนมปังนี้​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ตลอด​ไป ขนมปังนี้​คือ​เนื้อหนัง​ของ​เรา ที่​เรา​จะ​ให้​เพื่อ​คน​ใน​โลกนี้​จะ​ได้​มี​ชีวิต” พวกยิว​ก็​เริ่ม​เถียง​กัน​เอง​ว่า “ผู้ชาย​คนนี้​จะ​เอา​เนื้อหนัง​ของ​เขา​ให้​พวก​เรา​กิน​ได้​ยังไง” พระเยซู​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “เรา​จะ​บอก​ให้​รู้​ว่า ถ้า​พวก​คุณ​ไม่​กิน​เนื้อหนัง และ​ไม่​ดื่ม​เลือด​ของ​บุตร​มนุษย์ คุณ​ก็​ไม่​มี​ชีวิต​ที่​แท้จริง คน​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​เลือด​ของ​เรา​จะ​มี​ชีวิต​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป เรา​จะ​ให้​เขา​ฟื้นขึ้น​มา​มี​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย เพราะ​เนื้อ​ของ​เรา​เป็น​อาหารแท้ และ​เลือด​ของ​เรา​ก็​เป็น​เครื่องดื่ม​แท้ คน​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​เลือด​ของ​เรา​ก็​เป็น​หนึ่ง​เดียว​กับ​เรา และ​เรา​ก็​เป็น​หนึ่ง​เดียว​กับ​เขา พระบิดา​ผู้มีชีวิต​อยู่​ส่ง​เรา​มา และ​เรา​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​ก็​เพราะ​พระบิดา ดังนั้น​คน​ที่​กิน​เลือดเนื้อ​ของ​เรา​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​เพราะ​เรา​เหมือน​กัน นี่​คือ​ขนมปัง​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์ ซึ่ง​ไม่​เหมือน​กับ​มานา​ที่​บรรพบุรุษ​ของ​พวก​คุณ​ได้​กิน แล้ว​สุดท้าย​ก็​ยัง​ต้อง​ตายกัน แต่​คน​ที่​ได้​กิน​ขนมปังนี้​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ตลอด​ไป” พระเยซู​พูด​เรื่อง​เหล่านี้ ขณะ​ที่​พระองค์​กำลัง​สอน​อยู่​ใน​ที่ประชุม​ชาวยิว​ใน​เมือง​คาเปอรนาอุม เมื่อ​ศิษย์​หลาย​คน​ได้ยิน​เรื่อง​เหล่านี้ ก็​บ่น​กัน​ว่า “ใคร​จะ​ไป​ยอมรับ​คำสอน​ยากๆ​อย่างนี้​ได้” พระเยซู​รู้​ว่า​พวกศิษย์​กำลัง​บ่นกัน​ถึง​เรื่องนี้ พระองค์​จึง​ถาม​ว่า “คำสอน​เหล่านี้​ทำ​ให้​พวก​คุณ​ตะลึงงัน​ไป​เลย​หรือ แล้ว​พวกคุณ​จะ​ว่า​ยังไง ถ้า​ได้​เห็น​บุตร​มนุษย์​ขึ้น​ไป​สวรรค์​ที่​พระองค์​เคย​อยู่​มา​ก่อน ไม่​ใช่​พละกำลัง​ของ​มนุษย์​ที่​เป็น​ผู้​ให้​ชีวิต แต่​เป็น​พระวิญญาณ​ของ​พระเจ้า คำพูด​ที่​เรา​ได้​บอก​พวก​คุณ​นี้แหละ จะ​นำ​พระวิญญาณ​ของ​พระเจ้า​มา​ให้​กับ​คุณ เป็น​พระวิญญาณ​ที่​ให้​ชีวิต แต่​พวก​คุณ​บางคน​ก็​ไม่​เชื่อ” (ตั้ง​แต่​เริ่มแรก​พระเยซู​ก็​รู้​แล้ว​ว่า​พวก​ไหน​จะ​ไม่​เชื่อ และ​คน​ไหน​ที่​จะ​หักหลัง​พระองค์) แล้ว​พระองค์​พูด​ว่า “ก็​เพราะ​อย่างนี้​เรา​ถึง​บอก​คุณ​ว่า ‘ไม่​มี​ใคร​มา​ถึง​เรา​ได้ นอกจาก​พระบิดา​จะ​ทำให้​เขา​สามารถ​มา​ได้’” หลังจาก​ที่​พระเยซู​พูด​อย่าง​นั้น ศิษย์​จำนวน​มาก​ก็​ทิ้ง​พระเยซู​ไป แล้ว​พระเยซู​ถาม​ศิษย์​เอก​ทั้ง​สิบสอง​คน​ว่า “พวก​คุณ​คง​จะ​ไม่ทิ้ง​เรา​ไป​ด้วย​มั้ง” ซีโมน เปโตร​ตอบ​พระองค์​ว่า “จะ​ให้​พวก​เรา​ทิ้ง​อาจารย์​ไปหา​ใคร​อีก​ล่ะ​ครับ อาจารย์​มี​คำพูด​ที่​ให้​ชีวิต​ที่​อยู่​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป พวก​เรา​เชื่อ​และ​รู้​แล้ว​ว่า​อาจารย์​เป็น​องค์​พระ​ผู้​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​พระเจ้า” พระเยซู​ตอบ​พวก​เขา​ว่า “เรา​เป็น​คน​เลือก​พวก​คุณ​ทั้ง​สิบสอง​คน​มา​เอง​ถูก​ไหม แต่​คน​หนึ่ง​ใน​พวกคุณ​เป็น​มารร้าย” (พระองค์​หมายถึง​ยูดาส ลูก​ของ​ซีโมน อิสคาริโอท เพราะ​เขา​จะ​หักหลัง​พระองค์ แม้ว่า​เขา​เป็น​ศิษย์เอก​คน​หนึ่ง​ใน​สิบสอง​คน​นั้น​ก็​ตาม)

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 6

ยอห์น 6:16-71 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

พอค่ำลงเหล่าสาวกของพระองค์​ก็ได้​ลงไปที่​ทะเล แล​้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม มืดแล้วแต่​พระเยซู​ก็​ยั​งม​ิ​ได้​เสด็จไปถึงเขา ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า เมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร เขาก็​เห​็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนทะเลใกล้​เรือ เขาต่างก็​ตกใจกลัว แต่​พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า “​นี่​เป็นเราเอง อย่ากลัวเลย” ดังนั้นเขาจึงรับพระองค์ขึ้นเรื​อด​้วยความเต็มใจ แล​้​วท​ันใดนั้นเรื​อก​็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น วันรุ่งขึ้น เมื่อคนที่​อยู่​ฝั่งข้างโน้นเห็​นว​่าไม่​มี​เรื​ออ​ื่​นที​่​นั่น เว้นแต่​ลำที่​เหล่​าสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็​นว​่าพระเยซู​มิได้​เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก แต่​เหล่​าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น (​แต่​มี​เรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้​สถานที่​ที่​เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่​องค์​พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว) เหตุ​ฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็​นว​่า พระเยซู​และเหล่าสาวกไม่​ได้​อยู่​ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปและตามหาพระเยซู​ที่​เมืองคาเปอรนาอุม ครั้นเขาได้พบพระองค์​ที่​ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์​ว่า “รับบี ท่านมาที่​นี่​เมื่อไร​” พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิ​ใช่​เพราะได้​เห​็นการอัศจรรย์​นั้น แต่​เพราะได้กินขนมปั​งอ​ิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่ย่อมเสื่อมสูญไป แต่​จงหาอาหารที่​ดำรงอยู่​ถึงชีวิ​ตน​ิรันดร์ซึ่​งบ​ุตรมนุษย์จะให้​แก่​ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว” แล​้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์​ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้” พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้านั้นคือการที่ท่านเชื่อในท่านที่​พระองค์​ทรงใช้​มาน​ั้น” เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์​ว่า “​ถ้าเช่นนั้น ท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและเชื่อในท่าน ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุ​รก​ันดารนั้น ตามที่​มี​คำเขียนไว้​ว่า ‘ท่านได้​ให้​เขากินอาหารจากสวรรค์’” พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่​โมเสสที่​ให้​อาหารจากสวรรค์นั้นแก่​ท่าน แต่​พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์​ให้​แก่​ท่านทั้งหลาย เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้​แก่​โลก​” เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์​ว่า “​พระองค์​เจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้​ที่​มาหาเราจะไม่หิ​วอ​ีก และผู้​ที่​เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย แต่​เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้​วว​่า ท่านได้​เห​็นเราแล้วแต่​ก็​ไม่เชื่อ สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เราจะมาสู่​เรา และผู้​ที่​มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่​เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่​เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็​คือให้เรารักษาบรรดาผู้​ที่​พระองค์​ได้​ทรงมอบไว้กับเรา มิ​ให้​หายไปสักคนเดียว แต่​ให้​ฟื้นขึ้นมาในวั​นที​่​สุด เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้​ที่​ทรงใช้เรามานั้น ที่​จะให้​ทุ​กคนที่​เห​็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรได้​มี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และเราจะให้​ผู้​นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย” พวกยิวจึ​งบ​่นพึมพำกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรั​สว​่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” เขาทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิ​ใช่​หรือ พ่อแม่​ของเขาเราก็​รู้จัก เหตุ​ใดคนนี้จึงพูดว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’ ” พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาเหล่านั้​นว​่า “อย่าบ่​นก​ันเลย ไม่มี​ผู้​ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้​ผู้​นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย มี​คำเขียนไว้ในคัมภีร์​ศาสดาพยากรณ์​ว่า ‘​ทุ​กคนจะเรียนรู้จากพระเจ้า’ เหตุ​ฉะนั้นทุกคนที่​ได้​ยินได้​ฟัง และได้​เรียนรู้​จากพระบิ​ดาก​็มาถึงเรา ไม่มี​ผู้​ใดได้​เห​็นพระบิดา นอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้​เห​็นพระบิดาแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้​ที่​เชื่อในเราก็​มี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิ​ตน​ั้น บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุ​รก​ันดารและสิ้นชีวิต แต่​นี่​เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้​ผู้​ที่​ได้​กินแล้วไม่​ตาย เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้​นั้นจะมี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้​นก​็คือเนื้อของเรา” แล​้วพวกยิ​วก​็​ทุ​่มเถียงกั​นว​่า “​ผู้​นี้​จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้​อย่างไร​” พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็​ไม่มี​ชี​วิตในตั​วท​่าน ผู้​ที่​กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็​มี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และเราจะให้​ผู้​นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้ ผู้​ที่​กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้​นั้​นก​็​อยู่​ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์​ได้​ทรงใช้เรามาและเรามี​ชี​วิตเพราะพระบิ​ดาน​ั้นฉันใด ผู้​ที่​กินเรา ผู้​นั้​นก​็จะมี​ชี​วิตเพราะเราฉันนั้น นี่​แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่​เหมือนกับมานาที่พวกบรรพบุรุษของท่านได้กินและสิ้นชีวิต ผู้​ที่​กินอาหารนี้จะมี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์” คำเหล่านี้​พระองค์​ได้​ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่​พระองค์​ทรงสั่งสอนอยู่​ที่​เมืองคาเปอรนาอุม ดังนั้นเมื่อเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้​นก​็​พูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้” เมื่อพระเยซูทรงทราบเองว่าเหล่าสาวกของพระองค์บ่นถึงเรื่องนั้น พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้​ทำให้​ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ ถ้าท่านจะได้​เห​็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่​ที่​ท่านอยู่​แต่ก่อนนั้น ท่านจะว่าอย่างไร จิ​ตวิญญาณเป็​นที​่​ให้​มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่​มีประโยชน์​อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้​กล​่าวกั​บท​่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต แต่​ในพวกท่านมีบางคนที่​ไม่เชื่อ​” เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่​เชื่อ และเป็นผู้ใดที่จะทรยศพระองค์ และพระองค์ตรั​สว​่า “​เหตุ​ฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า ‘​ไม่มี​ผู้​ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาของเราจะทรงโปรดประทานให้​ผู้​นั้น​’” ตั้งแต่​นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอยไม่​ติ​ดตามพระองค์​อีกต่อไป พระเยซู​ตรัสกับสิบสองคนนั้​นว​่า “ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ” ซี​โมนเปโตรทูลตอบพระองค์​ว่า “​พระองค์​เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์​มี​ถ้อยคำซึ่งให้​มี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อและแน่ใจแล้​วว​่า พระองค์​ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์” พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิ​ใช่​หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” พระองค์​ทรงหมายถึงยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายซี​โมน เพราะว่าเขาเป็นผู้​ที่​จะทรยศพระองค์ คือคนหนึ่งในอัครสาวกสิบสองคน

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 6

ยอห์น 6:16-71 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

พอค่ำลงเหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ไปที่ทะเลสาบ แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม มืดแล้ว แต่พระเยซูก็ยังมิได้เสด็จไปถึงเขา ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า เมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร เขาก็เห็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนทะเลใกล้เรือ เขาต่างก็ตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<นี่เราเองแหละ อย่ากลัวเลย>> ดังนั้นเขาจึงรับพระองค์ขึ้นเรือด้วยความยินดี แล้วทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น วันรุ่งขึ้นคนที่เหลืออยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก เหล่าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น แต่ก็มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียสผ่านมา ใกล้ตำบลที่เขาได้กินขนมปังหลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ท่านมาที่นี่เมื่อไร>> พระเยซูตรัสกับเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว>> แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า <<ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้>> พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา>> เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า <<ถ้าเช่นนั้นท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและวางใจในท่าน ท่านจะกระทำอะไรบ้าง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า <ท่านได้ให้ เขากินอาหารจากสวรรค์ > >> พระเยซูก็ตรัสกับเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก>> เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด>> พระเยซูตรัสกับเขาว่า <<เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย แต่เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย>> พวกยิวจึงซุบซิบกัน เรื่องพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า <<เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์>> เขาทั้งหลายว่า <<คนนี้เป็นเยซูลูกของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า <เราได้ลงมาจากสวรรค์> >> พระเยซูตรัสตอบเขาเหล่านั้นว่า <<อย่าซุบซิบกันเลย ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามาและเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะว่า <พระเจ้าจะทรงสั่งสอนเขาทุกคน> ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระบิดา นอกจากท่านที่มาจากพระเจ้าท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและสิ้นชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเห็นแก่ชีวิตของโลกนั้น ก็คือเลือดเนื้อของเรา>> แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า <<ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร>> พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่กับเราและเราอยู่กับเขา พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด ผู้ที่กินเราผู้นั้นก็จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับอาหารที่พวกบรรพบุรุษได้กินและสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์>> คำเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า <<ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้>> แต่พระเยซูทรงตระหนักว่า เหล่าสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า <<เรื่องนี้ทำให้ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ ถ้าท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น ท่านจะว่าอย่างไร จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต แต่ในพวกท่านมีบางคนที่ไม่เชื่อ>> เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่เชื่อพระองค์ และเป็นผู้ใดที่จะอายัดพระองค์ไว้ และพระองค์ตรัสว่า <<เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า <ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดผู้นั้น> >> ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า <<ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ>> ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า <<พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์ และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อ และมาทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า>> พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย>> พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมน อิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะอายัดพระองค์ไว้ คือคนหนึ่งในสาวกสิบสองคน

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 6

ยอห์น 6:16-71 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

พอพลบค่ำเหล่าสาวกของพระองค์มาที่ทะเลสาบ แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูยังไม่ได้เสด็จไปสมทบกับพวกเขา ทะเลปั่นป่วนเพราะลมพัดจัด พวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณ 5 หรือ 6 กิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินบนน้ำเข้ามาหาเรือ พวกเขาจึงตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” แล้วพวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ และทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่กำลังมุ่งหน้าไป วันรุ่งขึ้นประชาชนที่อยู่อีกฟากเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่นั่นมีเรืออยู่ลำเดียว และพระเยซูก็ไม่ได้ลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก พวกสาวกไปกันเองตามลำพัง มีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียสมาจอดใกล้ๆ ที่ซึ่งประชาชนได้กินขนมปังหลังจากพระเยซูได้ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น จึงลงเรือมายังเมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซู เมื่อประชาชนพบพระองค์ที่อีกฟากของทะเลสาบก็ทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาถึงที่นี่เมื่อใด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่เน่าเสียได้ แต่จงหาอาหารที่คงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน พระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์แล้ว” แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “พวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าทรงประสงค์?” พระเยซูตรัสตอบว่า “งานของพระเจ้าคือ จงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” ดังนั้นพวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อเราจะได้เห็นและเชื่อท่าน? ท่านจะทำอะไรบ้าง? บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นกันดารตามที่มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ประทานอาหารจากสวรรค์ให้พวกเขารับประทาน’” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานอาหารแท้จากสวรรค์แก่ท่าน เพราะอาหารจากพระเจ้า คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และให้ชีวิตแก่โลก” พวกเขาทูลว่า “ท่านเจ้าข้า จากนี้ไปโปรดให้อาหารนี้แก่เราเถิด” แล้วพระเยซูประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิวโหยและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหายอีกเลย แต่ตามที่เราได้บอกท่านไว้แล้ว ท่านได้เห็นเราแต่ก็ยังไม่เชื่อ คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขาไป เพราะเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราเองแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา และพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาคือ ไม่ให้เราสูญเสียคนทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว แต่จะให้คนเหล่านี้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” แล้วพวกยิวจึงเริ่มพากันบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์” พวกเขาพูดว่า “นี่คือเยซูลูกชายของโยเซฟไม่ใช่หรือ? เราก็รู้จักพ่อแม่ของเขา เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” พระเยซูตรัสตอบว่า “หยุดบ่นกันได้แล้ว ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงชักนำเขามาหาเรา และเราจะให้เขาเป็นขึ้นในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘เขาทั้งหลายจะรับการสอนจากพระเจ้า’ ทุกคนที่ฟังพระบิดาและเรียนรู้จากพระองค์ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นกันดาร ถึงกระนั้นพวกเขาก็ตาย แต่นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ซึ่งคนใดได้กินแล้วจะไม่ตาย เราเป็นอาหารซึ่งให้ชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดได้กินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป อาหารนี้คือเนื้อของเราซึ่งเราจะให้เพื่อโลกนี้จะได้มีชีวิต” แล้วชาวยิวจึงเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากท่านไม่กินเนื้อของบุตรมนุษย์และดื่มโลหิตของพระองค์ ท่านก็ไม่มีชีวิตอยู่ภายในตัวท่าน ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่เพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเราก็จะมีชีวิตอยู่เพราะเราฉันนั้น นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ บรรพบุรุษของท่านกินมานาและตายไป แต่ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้ขณะทรงสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลาในเมืองคาเปอรนาอุม สาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูด ว่า “คำสอนนี้ยากจริง ใครจะรับได้?” พระเยซูทรงทราบว่าเหล่าสาวกของพระองค์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านขุ่นเคืองใจหรือ? จะว่าอย่างไรถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นสู่สถานที่ซึ่งพระองค์เคยอยู่มาก่อน! พระวิญญาณประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย ถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่านเป็นวิญญาณและเป็นชีวิต ถึงกระนั้นก็มีบางคนในพวกท่านที่ไม่เชื่อ” เนื่องจากพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกว่าคนใดในพวกเขาที่ไม่เชื่อและใครจะทรยศพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงได้บอกท่านว่า ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดให้เขามา” ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็หันกลับและเลิกติดตามพระองค์ พระเยซูตรัสถามสาวกทั้งสิบสองคนว่า “แล้วพวกท่านจะจากไปด้วยหรือ?” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า เราจะไปหาใคร? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบว่า “เราได้เลือกพวกท่านทั้งสิบสองคนไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นคนหนึ่งในพวกท่านคือมารร้าย!” (พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสผู้เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท ถึงแม้ยูดาสเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน แต่ภายหลังเขาก็ทรยศพระองค์)

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 6

ยอห์น 6:16-71 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ครั้น​ถึง​เวลา​เย็น​พวก​สาวก​ของ​พระ​องค์​ก็​เดิน​ลง​ไป​ยัง​ทะเลสาบ แล้ว​ลง​เรือ​ข้าม​ทะเลสาบ​ไป​ยัง​เมือง​คาเปอร์นาอุม จน​มืด​แล้ว​พระ​เยซู​ก็​ยัง​ไม่​ได้​กลับ​มา​หา​พวก​เขา ลม​พายุ​ได้​ทำ​ให้​เกิด​คลื่น​ลม​แรง​ใน​ทะเลสาบ เมื่อ​พวก​สาวก​ตี​กรรเชียง​ไป​ได้​ห้า​หก​กิโลเมตร ก็​เห็น​พระ​เยซู​เดิน​บน​ผิว​น้ำ​เข้า​ไป​ใกล้​เรือ พวก​เขา​พา​กัน​ตกใจ​กลัว​ยิ่งนัก แต่​พระ​องค์​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “นี่​เรา​เอง อย่า​กลัว​เลย” พวก​เขา​จะ​รับ​พระ​องค์​ขึ้น​เรือ แต่​พริบตา​เดียว​เท่า​นั้น​เรือ​ก็​ถึง​ฝั่ง​ที่​เขา​จะ​ไป​กัน วัน​รุ่งขึ้น​ฝูง​ชน​ที่​ยัง​พัก​อยู่​อีก​ฟาก​ของ​ทะเลสาบ​เห็น​ว่า ก่อน​หน้า​นั้น​มี​เพียง​เรือ​ลำ​เดียว​จอด​อยู่ และ​พวก​สาวก​ได้​ใช้​เรือ​ลำ​นั้น​ออก​กัน​ไป พระ​เยซู​ไม่​ได้​ไป​ด้วย หลัง​จาก​นั้น​มี​เรือ​จาก​เมือง​ทิเบเรียส​ลำ​อื่นๆ จอด​อยู่​ที่​ฝั่ง​ใกล้​บริเวณ​ที่​พระ​เยซู​เจ้า​ได้​กล่าว​ขอบคุณ​พระ​เจ้า​สำหรับ​ขนมปัง​ที่​พวก​เขา​ได้​รับประทาน​กัน เมื่อ​ฝูง​ชน​เห็น​ว่า พระ​เยซู​และ​บรรดา​สาวก​ไม่​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​ลง​เรือ​กัน​ไป​ตาม​หา​พระ​เยซู​ที่​เมือง​คาเปอร์นาอุม เมื่อ​พวก​เขา​พบ​พระ​องค์​ที่​อีก​ฟาก​หนึ่ง​ของ​ทะเลสาบ จึง​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “รับบี ท่าน​มา​ที่​นี่​เมื่อไร” พระ​เยซู​กล่าว​ตอบ​ว่า “เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ที่​ท่าน​ตาม​หา​เรา​มิ​ใช่​เพราะ​ท่าน​เห็น​ปรากฏการณ์​อัศจรรย์​ต่างๆ แต่​เป็น​เพราะ​ท่าน​ได้​รับประทาน​ขนมปัง​จน​อิ่ม อย่า​ลงทุน​ลงแรง​เพื่อ​อาหาร​ที่​เน่าเสีย​ได้ แต่​เพื่อ​อาหาร​ที่​จะ​ดำรง​ถึง​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์​ซึ่ง​บุตรมนุษย์​จะ​ให้​แก่​พวก​ท่าน ด้วย​ว่า​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ได้​ประทับ​ตรา​แสดง​ถึง​การ​ยอมรับ​พระ​บุตร​แล้ว” เขา​เหล่า​นั้น​จึง​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “พวก​เรา​ควร​จะ​ทำ​อย่างไร​จึง​จะ​ปฏิบัติ​งาน​ของ​พระ​เจ้า​ได้” พระ​เยซู​กล่าว​ตอบ​ว่า “งาน​ของ​พระ​เจ้า​คือ​การ​เชื่อ​ใน​ผู้​ที่​พระ​เจ้า​ได้​ส่ง​มา” ดังนั้น​เขา​เหล่า​นั้น​จึง​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “แล้ว​ท่าน​จะ​แสดง​ปรากฏการณ์​อัศจรรย์​อะไร​ให้​เรา​ดู​ได้​บ้าง เรา​จะ​ได้​เชื่อ​ท่าน ท่าน​จะ​ทำ​อะไร​ได้​บ้าง บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ได้​กิน​มานา​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร​ตาม​ที่​มี​บันทึก​ไว้​ว่า ‘พระ​องค์​ให้​พวก​เขา​กิน​อาหาร​จาก​สวรรค์’” พระ​เยซู​จึง​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า โมเสส​ไม่​ได้​ให้​อาหาร​จาก​สวรรค์​แก่​ท่าน แต่​เป็น​พระ​บิดา​ของ​เรา​ที่​ให้​อาหาร​แท้​จริง​จาก​สวรรค์ เพราะ​ว่า​อาหาร​ของ​พระ​เจ้า​คือ​ผู้​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์​และ​มอบ​ชีวิต​ให้​แก่​โลก” ดังนั้น​พวก​เขา​จึง​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “พระ​องค์​ท่าน โปรด​ให้​อาหาร​นี้​แก่​พวก​เรา​เสมอ​ไป​เถิด” พระ​เยซู​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “เรา​คือ​อาหาร​แห่ง​ชีวิต ผู้​ที่​มา​หา​เรา​จะ​ไม่​มี​วัน​หิว และ​ผู้​ที่​เชื่อ​ใน​เรา​จะ​ไม่​มี​วัน​กระหาย แต่​เรา​ขอบอก​ท่าน​ว่า ท่าน​ได้​เห็น​เรา​แล้ว และ​ยัง​ไม่​เชื่อ ทุก​คน​ที่​พระ​เจ้า​มอบ​ให้​แก่​เรา​จะ​มา​หา​เรา และ​ผู้​ที่​มา​หา​เรา เรา​จะ​ไม่​ขับไล่​เขา​ออก​ไป​เลย เรา​ได้​ลง​มา​จาก​สวรรค์​มิ​ใช่​เพื่อ​ทำ​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​เรา​เอง แต่​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​องค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา ความ​ประสงค์​ของ​พระ​องค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา​คือ เรา​ไม่​ควร​ให้​ผู้​ใด​ที่​พระ​องค์​ได้​มอบ​ให้​แก่​เรา​ต้อง​หลงหาย​ไป​แม้​เพียง​คน​เดียว แต่​เรา​จะ​ให้​เขา​ฟื้น​คืน​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย ความ​ประสงค์​ของ​พระ​บิดา​ของ​เรา​คือ ทุก​คน​ที่​หัน​เข้า​หา​พระ​บุตร และ​เชื่อ​ใน​พระ​องค์​จะ​มี​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์ และ​เรา​เอง​จะ​ให้​ผู้​นั้น​ฟื้น​คืน​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย” ชาว​ยิว​จึง​พา​กัน​บ่น​พึมพำ​ต่อ​กัน​เมื่อ​พระ​องค์​กล่าว​ว่า “เรา​คือ​อาหาร​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์” เขา​เหล่า​นั้น​พูด​ว่า “นี่​เยซู​บุตร​ของ​โยเซฟ​ที่​เรา​รู้จัก​ทั้ง​บิดา​มารดา​ไม่​ใช่​หรือ แล้ว​ขณะ​นี้​พูด​ได้​อย่างไร​ว่า ‘เรา​ได้​ลง​มา​จาก​สวรรค์’” พระ​เยซู​กล่าว​ตอบ​ว่า “อย่า​มัว​แต่​บ่น​พึมพำ​กัน​อยู่​ใน​หมู่​ท่าน​เลย ไม่​มี​ผู้​ใด​ที่​มา​หา​เรา​ได้​นอกจาก​พระ​บิดา​ผู้​ส่ง​เรา​มา เป็น​ผู้​นำ​ให้​เขา​มา​หา​เรา และ​เรา​จะ​ให้​เขา​ฟื้น​คืน​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย มี​บันทึก​ใน​หมวด​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​ว่า ‘พระ​เจ้า​จะ​สั่งสอน​เขา​ทุก​คน’ ทุก​คน​ที่​ได้ยิน​และ​เรียน​รู้​จาก​พระ​บิดา​ก็​มา​หา​เรา มิ​ใช่​ว่า​มี​ใคร​เคย​เห็น​พระ​บิดา เว้นแต่​ผู้​ที่​มา​จาก​พระ​เจ้า​เท่า​นั้น​ที่​ได้​เห็น​พระ​บิดา​แล้ว เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ผู้​ที่​เชื่อ​จึง​มี​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์ เรา​คือ​อาหาร​แห่ง​ชีวิต บรรพบุรุษ​ของ​ท่าน​ได้​กิน​มานา​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร​และ​ได้​ตาย​ไป นี่​คือ​อาหาร​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์ คน​ที่​กิน​ก็​จะ​ไม่​ตาย เรา​คือ​อาหาร​ที่​มี​ชีวิต​ซึ่ง​ลง​มา​จาก​สวรรค์ ผู้​ใด​กิน​อาหาร​นี้​ก็​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ตลอด​กาล และ​อาหาร​ที่​เรา​จะ​ให้​เพื่อ​ชีวิต​ของ​โลก​ด้วย​ก็​คือ เลือดเนื้อ​ของ​เรา” ใน​ยาม​นี้​ชาว​ยิว​เริ่ม​โต้เถียง​กัน​ว่า “ชาย​ผู้​นี้​สามารถ​ให้​เลือดเนื้อ​เรา​กิน​ได้​อย่างไร” พระ​เยซู​จึง​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ถ้า​ท่าน​ไม่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​โลหิต​ของ​บุตรมนุษย์ ท่าน​ก็​ไม่​มี​ชีวิต​ใน​ตัว​ท่าน​เอง ผู้​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​โลหิต​ของ​เรา​จะ​มี​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์ และ​เรา​จะ​ให้​ฟื้น​คืน​ชีวิต​ใน​วัน​สุดท้าย เพราะ​ว่า​เนื้อ​ของ​เรา​คือ​อาหาร​แท้​เช่น​เดียว​กับ​โลหิต​ของ​เรา​ที่​เป็น​ของ​ดื่ม​แท้ ผู้​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​โลหิต​ของ​เรา​ก็​ดำรง​อยู่​ใน​เรา และ​เรา​ก็​ดำรง​อยู่​ใน​ผู้​นั้น พระ​บิดา​ผู้​ดำรง​ชีวิต​ได้​ส่ง​เรา​มา และ​เรา​ดำรง​ชีวิต​ก็​เพราะ​พระ​บิดา ดังนั้น​ผู้​ที่​กิน​เรา​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​ก็​เพราะ​เรา นี่​คือ​อาหาร​ที่​ลง​มา​จาก​สวรรค์ ไม่​เหมือน​อาหาร​ที่​บรรพบุรุษ​กิน​และ​ตาย​ไป ผู้​ที่​กิน​อาหาร​นี้​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ตลอด​กาล” พระ​องค์​กล่าว​ถึง​สิ่ง​เหล่า​นี้ ขณะ​ที่​สั่งสอน​ใน​ศาลา​ที่​ประชุม​ที่​เมือง​คาเปอร์นาอุม เมื่อ​สาวก​จำนวน​มาก​ของ​พระ​องค์​ได้ยิน​จึง​พูด​ว่า “ถ้อยคำ​เหล่า​นี้​ยาก​ที่​จะ​เข้าใจ ใคร​จะ​ยอมรับ​ได้” แต่​พระ​เยซู​ทราบ​ดี​ว่า พวก​สาวก​แอบ​บ่น​พึมพำ​กัน​ใน​เรื่อง​นี้​อยู่ จึง​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “สิ่ง​นี้​เป็น​เหตุ​ให้​เจ้า​ต้อง​ลำบากใจ​หรือ ถ้า​เจ้า​เห็น​บุตรมนุษย์​ขึ้น​ไป​ยัง​ที่​ซึ่ง​ท่าน​อยู่​แต่​ก่อน แล้ว​เจ้า​จะ​ว่า​อย่างไร พระ​วิญญาณ​เป็น​ผู้​ให้​ชีวิต ฝ่าย​เนื้อหนัง​ไม่​ได้​รับ​ประโยชน์​อันใด คำกล่าว​ที่​เรา​ได้​บอก​ให้​เจ้า​ฟัง​เป็น​วิญญาณ​และ​ชีวิต แต่​พวก​เจ้า​บาง​คน​ก็​ไม่​เชื่อ” พระ​เยซู​ทราบ​แต่​แรก​แล้ว​ว่า​มี​ใคร​บ้าง​ที่​ไม่​เชื่อ และ​ทราบ​ดี​ว่า​ผู้​ใด​จะ​ทรยศ​พระ​องค์ พระ​องค์​กล่าว​ว่า “ด้วย​เหตุ​นี้​เรา​จึง​บอก​เจ้า​ว่า ไม่​มี​ผู้​ใด​ที่​มา​หา​เรา​ได้ นอกจาก​พระ​บิดา​จะ​โปรด​ให้​ผู้​นั้น​มา” ด้วย​เหตุ​นี้​เอง​บรรดา​สาวก​จำนวน​มาก​ของ​พระ​องค์​จึง​ได้​ปลีกตัว​ออก​ไป และ​ไม่​ได้​ติดตาม​พระ​องค์​ต่อ​ไป​อีก พระ​เยซู​จึง​กล่าว​กับ​สาวก​ทั้ง​สิบ​สอง​ว่า “เจ้า​อยาก​จะ​จาก​เรา​ไป​ด้วย​หรือ” ซีโมน​เปโตร​ตอบ​ว่า “พระ​องค์​ท่าน เรา​จะ​ไป​หา​ใคร​ได้ พระ​องค์​มี​คำกล่าว​แห่ง​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์ พวก​เรา​เชื่อ​และ​ทราบ​ว่า พระ​องค์​เป็น​องค์​ผู้​บริสุทธิ์​ของ​พระ​เจ้า” พระ​เยซู​ตอบ​พวก​เขา​ว่า “เรา​เอง​เป็น​ผู้​ที่​เลือก​พวก​เจ้า​ทั้ง​สิบ​สอง​มิ​ใช่​หรือ แต่​ถึง​อย่าง​นั้น​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​เจ้า​ก็​เป็น​พญามาร” พระ​องค์​หมายถึง​ยูดาส​บุตร​ของ​ซีโมน​อิสคาริโอท เพราะ​ว่า​เขา​เป็น​ผู้​ที่​จะ​ทรยศ​พระ​องค์ และ​เป็น​คน​หนึ่ง​ใน​สาวก​ทั้ง​สิบ​สอง

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 6