ยอห์น 4:7-41

ยอห์น 4:7-41 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า <<ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง>> ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า <<ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย>> (เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า <<ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า <ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง> เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า>> นางทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ และยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย>> พระเยซูตรัสตอบว่า <<ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์>> นางทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด>> นางทูลพระองค์ว่า <<ดิฉันไม่มีผัวค่ะ>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง>> นางทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง>> นางทูลพระองค์ว่า <<ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น>> ขณะนั้นสาวกของพระองค์ก็มาถึง เขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า <<พระองค์ทรงประสงค์อะไร>> หรือ <<ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง>> หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า <<มาเถิด มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม>> คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด>> แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า <<เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้>> พวกสาวกจึงถามกันว่า <<มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ>> พระเยซูตรัสกับเขาว่า <<อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน เพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริง คือ <คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว> เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้รับประโยชน์จากแรงของเขา>> ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้น ได้มีศรัทธาในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้นที่ว่า <<ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ>> ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่กับเขา และพระองค์ก็ประทับที่นั่นสองวัน และคนอื่นเป็นจำนวนมากได้วางใจ เพราะพระดำรัสของพระองค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 4

ยอห์น 4:7-41 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

เมื่อหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยได้ไหม?” (สาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง) หญิงชาวสะมาเรียทูลว่า “ท่านเป็นยิว ส่วนดิฉันเป็นหญิงชาวสะมาเรีย ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้อย่างไร?” (เพราะชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้ารู้จักของที่พระเจ้าประทานและรู้จักผู้ที่ขอน้ำจากเจ้า เจ้าคงจะขอจากผู้นั้นและผู้นั้นจะให้น้ำซึ่งให้ชีวิตแก่เจ้า” หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านไม่มีอะไรที่จะใช้ตักน้ำและบ่อก็ลึก ท่านจะได้น้ำซึ่งให้ชีวิตมาจากไหน? ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ซึ่งให้บ่อนี้แก่เราหรือ? และยาโคบเองกับลูกหลานตลอดจนฝูงสัตว์ก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้” พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ใดดื่มน้ำที่เราให้จะไม่กระหายอีกเลย อันที่จริงน้ำซึ่งเราให้เขานั้นจะกลายเป็นน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์” หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันเพื่อดิฉันจะไม่กระหายอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำที่นี่เสมอๆ” พระเยซูตรัสบอกนางว่า “จงไปเรียกสามีของเจ้ามา” นางทูลว่า “ดิฉันไม่มีสามี” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี อันที่จริงเจ้ามีสามีห้าคนแล้ว และชายคนที่เจ้าอยู่ด้วยขณะนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปนั้นก็ออกจะจริงทีเดียว” หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านชาวยิวอ้างว่าเราต้องนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระบิดาไม่ใช่ที่ภูเขานี้หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกท่านชาวสะมาเรียนมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จักเพราะความรอดมาจากพวกยิว กระนั้นก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็น ผู้นมัสการแบบที่พระบิดาทรงแสวงหา พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กำลังเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา” แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้าคือผู้นั้น” ขณะนั้นเองเหล่าสาวกก็กลับมาถึง และพากันประหลาดใจที่พบพระองค์ทรงสนทนาอยู่กับผู้หญิง แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด?” หรือ “ทำไมพระองค์ทรงสนทนากับนาง?” แล้วหญิงนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำ กลับเข้าเมือง และบอกกับผู้คนว่า “มาเถิด มาดูชายผู้หนึ่งซึ่งบอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” พวกเขาจึงออกจากเมืองมุ่งหน้ามาหาพระองค์ ขณะนั้นเหล่าสาวกทูลรบเร้าพระองค์ว่า “รับบี รับประทานอาหารบ้างเถิด” แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานซึ่งพวกท่านไม่รู้” เหล่าสาวกจึงพูดกันว่า “มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา และทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ ท่านพูดไม่ใช่หรือว่าอีกสี่เดือนก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว? เราบอกท่านว่าจงลืมตาดูท้องนาเถิด! ข้าวสุกพร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว เวลานี้ผู้เกี่ยวก็กำลังรับค่าจ้าง เวลานี้เขากำลังเก็บเกี่ยวพืชผลสำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อผู้หว่านและผู้เกี่ยวจะยินดีด้วยกัน ดังนี้จึงเป็นจริงตามคำกล่าวที่ว่า ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ เราส่งพวกท่านไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกท่านไม่ได้ลงแรง คนอื่นได้ตรากตรำทำงานหนัก และพวกท่านได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงแรงของเขา” ชาวสะมาเรียมากมายจากเมืองนั้นเชื่อในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงนั้นที่ว่า “พระองค์ทรงบอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ” ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ พวกเขาจึงรบเร้าให้พระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นสองวัน และเนื่องด้วยพระดำรัสของพระองค์คนอื่นๆ อีกมากมายได้หันมาเชื่อในพระองค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 4

ยอห์น 4:7-41 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

มี​หญิง​ชาวสะมาเรีย คน​หนึ่ง​มา​ตัก​น้ำ​ที่​บ่อ พระเยซู​พูด​กับ​เธอ​ว่า “ขอ​น้ำ​ดื่ม​หน่อย” (พระเยซู​อยู่​คน​เดียว เพราะ​พวก​ศิษย์​ไปหา​ซื้อ​อาหาร​ใน​เมือง) หญิง​ชาวสะมาเรีย​พูด​ว่า “คุณ​มา​ขอ​น้ำ​ฉัน​ดื่ม​ได้​ยังไง​กัน คุณ​เป็น​คนยิว ฉัน​เป็น​หญิง​สะมาเรีย” (ปกติ​แล้ว​คน​ยิว​จะ​ไม่​ยุ่งเกี่ยว กับ​คน​สะมาเรีย) พระเยซู​ตอบ​หญิง​นั้น​ว่า “นี่​ถ้า​คุณ​รู้​ว่า​พระเจ้า​อยาก​ให้​อะไร​กับ​คุณ และ​รู้​ว่า​เรา​ที่​ขอ​น้ำ​คุณ​ดื่ม​อยู่นี้​เป็น​ใคร คุณ​ก็​คงจะ​ขอ​จาก​เรา และ​เรา​ก็​จะ​ให้​น้ำ​ที่​ให้​ชีวิต กับ​คุณ” หญิง​คน​นั้น​พูด​ว่า “คุณ​คะ แล้ว​คุณ​จะ​ไป​เอา​น้ำ​ที่​ให้​ชีวิต​นั้น​มา​จาก​ไหน​ล่ะ ใน​เมื่อ​ถังตักน้ำ​ก็​ไม่​มี แถม​บ่อนี้​ก็​ลึก คุณ​คง​ไม่​ได้​ยิ่งใหญ่​ไป​กว่า​ยาโคบ บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ที่​ให้​บ่อน้ำนี้​มา​หรอก​นะ ตัว​ยาโคบ​เอง​กับ​ลูกๆ​และ​ฝูง​สัตว์เลี้ยง​ของ​เขา​ก็​ดื่ม​น้ำ​จาก​บ่อนี้​กัน​ทั้งนั้น​แหละ” พระองค์​ตอบ​ว่า “ทุก​คน​ที่​ดื่ม​น้ำ​จาก​บ่อนี้​ก็​จะ​หิว​น้ำ​อีก แต่​คน​ที่​ดื่ม​น้ำ​ที่​เรา​ให้​จะ​ไม่​หิว​น้ำ​อีก​เลย เพราะ​น้ำ​ที่​เรา​ให้​เขา​ดื่ม​จะ​กลาย​เป็น​น้ำพุ​ที่​ไหล​ไม่​หยุด​อยู่​ใน​ตัว​เขา​และ​นำ​ชีวิต​ที่​อยู่​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป​มา​ให้” หญิง​คน​นั้น​จึง​พูด​ว่า “คุณ​คะ ขอ​น้ำ​นั้น​ให้​ฉัน​ดื่ม​บ้าง​สิ​คะ จะ​ได้​ไม่​หิว​น้ำ​อีก​และ​ไม่​ต้อง​กลับ​มา​ตัก​น้ำ​อีก” พระองค์​จึง​บอก​เธอ​ว่า “ไป​เรียก​สามี​ของ​คุณ​มา​ที่​นี่​หน่อย” เธอ​ตอบ​ว่า “ฉัน​ไม่​มี​สามี​ค่ะ” พระองค์​บอก​ว่า “เออ ก็​จริง​ของ​คุณ​ที่​บอก​ว่า​ไม่​มี​สามี เพราะ​คุณ​มี​สามี​มา​ห้า​คน​แล้ว และ​คน​ที่​อยู่​ด้วย​ตอนนี้​ก็​ไม่​ใช่​สามี​ของ​คุณ มัน​ก็​จริง​อย่าง​ที่​คุณ​บอก” เธอ​ร้อง​ว่า “คุณ​คะ ฉัน​เชื่อ​แล้ว​ว่า​คุณ​เป็น​ผู้พูดแทนพระเจ้า บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ได้​กราบไหว้บูชา​พระเจ้า​ที่​ภูเขานี้ แต่​พวก​คุณ​ชาวยิว​กลับ​พูด​ว่า​จะ​ต้อง​ไป​กราบไหว้บูชา​พระเจ้า​ที่​เมือง​เยรูซาเล็ม​เท่า​นั้น” พระองค์​ตอบ​ว่า “เชื่อ​เรา​สิ ใกล้​จะ​ถึง​เวลา​แล้ว​ที่​มัน​จะ​ไม่​สำคัญ​อีก​ต่อ​ไป​ว่า​จะ​กราบไหว้บูชาพระเจ้า​พระบิดา​ที่​ภูเขานี้​หรือ​ที่​เมือง​เยรูซาเล็ม จริงๆ​แล้ว​พวก​คุณ​ชาวสะมาเรีย​ไม่​รู้จัก​พระเจ้า​ที่​พวก​คุณ​กราบไหว้บูชา​อยู่ แต่​พวก​เรา​ชาวยิว​รู้จัก​พระเจ้า​ที่​พวก​เรา​กราบไหว้บูชา เพราะ​พระเจ้า​จะ​ช่วย​โลกนี้​ให้​รอด​โดย​ผ่าน​ทาง​ชาวยิว แต่​เวลา​นั้น​ใกล้​จะ​มา​ถึง​แล้ว และ​ตอนนี้​ก็​มา​ถึง​แล้ว ที่​ผู้คน​กราบไหว้บูชา​อย่าง​แท้จริง​จะ​ต้อง​กราบไหว้บูชา​พระบิดา​ด้วย​อำนาจ​ของ​พระวิญญาณ​บริสุทธิ์​และ​ด้วย​ความจริง คน​อย่างนี้​แหละ​ที่​พระบิดา​ตาม​หา​ให้​มา​กราบไหว้บูชา​พระองค์​อยู่ พระเจ้า​เป็น​พระวิญญาณ ดังนั้น​คน​ที่​กราบไหว้บูชา​พระองค์​จะ​ต้อง​กราบไหว้บูชา​ด้วย​อำนาจ​ของ​พระวิญญาณ​และ​ด้วย​ความ​จริง” หญิง​คน​นั้น​จึง​พูด​ว่า “ฉัน​รู้​ว่า​พระเมสสิยาห์ (ที่​เรียกว่า ‘พระคริสต์’) กำลัง​จะ​มา และ​เมื่อ​พระองค์​มา​แล้ว พระองค์​จะ​อธิบาย​ทุก​อย่าง​ให้​เรา​รู้” พระเยซู​บอก​เธอ​ว่า “เรา​เอง​ที่​กำลัง​คุย​กับ​คุณ​อยู่​นี่ คือ​พระเมสสิยาห์” ขณะ​นั้น​พวก​ศิษย์​ของ​พระองค์​กลับ​มา​ถึง​พอดี พวก​เขา​แปลก​ใจ​ที่​เห็น​พระองค์​กำลัง​พูด​คุย​อยู่​กับ​ผู้หญิง แต่​ก็​ไม่​มี​ใคร​กล้า​ถาม​พระองค์​ว่า “อาจารย์​ต้องการ​อะไร​หรือ​ครับ” หรือ “ไป​พูด​กับ​เธอ​ทำไม​ครับ” ผู้หญิง​คน​นั้น​ทิ้ง​หม้อน้ำ​เอา​ไว้ และ​เข้า​ไป​บอก​ผู้คน​ใน​เมือง​ว่า “มา​ดู​ผู้ชาย​ที่​บอก​อดีต​ของ​ฉัน​ได้​สิ ไม่​แน่​ว่า​เขา​อาจ​จะ​เป็น​พระเมสสิยาห์​ก็​ได้” คน​ก็​พา​กัน​ออก​จาก​เมือง​ไป​หา​พระเยซู ขณะนั้น พวก​ศิษย์​กำลัง​คะยั้นคะยอ​พระเยซู​ว่า “อาจารย์ กิน​อะไร​บ้าง​สิ​ครับ” แต่​พระองค์​บอก​ว่า “เรา​มี​อาหาร​ที่​พวก​คุณ​ไม่​รู้จัก” พวก​ศิษย์​ต่าง​ก็​ถาม​กัน​ว่า “คง​ไม่​มี​ใคร​แถวนี้​เอา​อาหาร​มา​ให้​อาจารย์​นะ” พระองค์​จึง​บอก​กับ​พวก​เขา​ว่า “อาหาร​ของ​เรา​คือ​การทำตามใจ​พระองค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา และ​ทำงาน​ที่​พระองค์​ให้​เรา​ทำ​ให้​เสร็จ เมื่อ​หว่าน​เมล็ดพืช คุณ​พูด​ว่า ‘ต้อง​คอย​อีก​สี่​เดือน​ถึง​จะ​เก็บเกี่ยว’ แต่​เรา​บอก​ให้​คุณ​ลืม​ตา​ขึ้น​มา​ดู​ทุ่งนา​ที่​เต็ม​ไป​ด้วย​พืชผล ซึ่ง​พร้อม​แล้ว​ที่​จะ​ให้​เก็บเกี่ยว​เดี๋ยวนี้ ตอนนี้​คน​เก็บเกี่ยว​ก็​รับ​ค่าจ้าง​อยู่ และ​พืชผล​ที่​เก็บ​รวบรวม​มา​นี้​ก็​คือ​คน​ที่​จะ​ได้รับ​ชีวิต​ที่​อยู่​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป ดังนั้น​ทั้ง​คน​ปลูก​และ​คน​เก็บเกี่ยว​ก็​จะ​มี​ความสุข​ร่วม​กัน จะ​ได้​เป็น​ไป​ตาม​คำพูด​ที่​ว่า ‘คน​หนึ่ง​ปลูก และ​อีก​คน​หนึ่ง​เก็บเกี่ยว’ เรา​ได้​ส่ง​คุณ​ไป​เก็บเกี่ยว​สิ่ง​ที่​คุณ​ไม่​ได้​ลงแรง​ปลูก คน​อื่น​เป็น​คน​ลงแรง​และ​คุณ​ก็​ได้​ผล​ประโยชน์​จาก​น้ำพักน้ำแรง​ของ​เขา” จาก​คำพูด​ของ​ผู้หญิง​คน​นั้น​ที่​บอก​ว่า “ชาย​ที่​บอก​อดีต​ของ​ฉัน​ได้” ทำ​ให้​ชาวสะมาเรีย​จำนวน​มาก​ใน​เมือง​นั้น​มา​ไว้วางใจ​ใน​พระองค์ เมื่อ​ชาวสะมาเรีย​มาหา​พระองค์ พวก​เขา​ขอ​ร้อง​ให้​พระองค์​พัก​อยู่​กับ​พวก​เขา พระองค์​จึง​พัก​อยู่​ที่​นั่น​สอง​วัน คำพูด​ของ​พระองค์ ทำ​ให้​อีก​หลาย​คน​มา​ไว้วางใจ​พระองค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 4

ยอห์น 4:7-41 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?” (เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย” พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่” พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่” นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่นมัสการนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม” พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น” เมื่อพวกสาวกของพระองค์กลับมา พวกเขาก็ประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไร?” หรือ “ทำไมพระองค์ถึงสนทนากับนาง?” ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เชิญรับประทานเถิด” แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้” พวกสาวกจึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาให้พระองค์แล้วหรือ?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว คนเกี่ยวกำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา” ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็วางใจในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงคนนั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ” ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึง พวกเขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับกับเขา และพระองค์ก็ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน และจำนวนคนที่วางใจในพระองค์ก็เพิ่มขึ้นเพราะพระดำรัสของพระองค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 4

ยอห์น 4:7-41 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

มี​หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซู​ตรัสกับนางว่า “​ขอน​้ำให้เราดื่มบ้าง” (ขณะนั้นสาวกของพระองค์​เข​้าไปซื้ออาหารในเมือง) หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์​ว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันผู้เป็นหญิงสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย” พระเยซู​ตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้าได้​รู้​จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้​ที่​พู​ดก​ับเจ้าว่า ‘​ขอน​้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้​าจะได้ขอจากท่านผู้​นั้น และท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่​เจ้า​” นางทูลพระองค์​ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่​มี​ถังตัก และบ่อนี้​ก็​ลึก ท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิ​ตน​ั้นมาจากไหน ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้​ได้​ให้​บ่อน​้ำนี้​แก่​เราหรือ และยาโคบเองก็​ได้​ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้​งบ​ุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย” พระเยซู​ตรัสตอบนางว่า “​ผู้​ใดที่ดื่​มน​้ำนี้จะกระหายอีก แต่​ผู้​ใดที่ดื่​มน​้ำซึ่งเราจะให้​แก่​เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลย แต่​น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิ​ตน​ิรันดร์” นางทูลพระองค์​ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน​้ำนั้นให้​ดิ​ฉันเถิด เพื่​อด​ิฉันจะได้​ไม่​กระหายอีกและจะได้​ไม่​ต้องมาตักที่​นี่​” พระเยซู​ตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่​เถิด​” นางทูลตอบว่า “​ดิ​ฉันไม่​มี​สามี​ค่ะ​” พระเยซู​ตรัสกับนางว่า “​เจ้​าพูดถูกแล้​วว​่า ‘​ดิ​ฉันไม่​มี​สามี​’ เพราะเจ้าได้​มี​สามี​ห้าคนแล้ว และคนที่​เจ้​ามี​อยู่​เดี๋ยวนี้​ก็​ไม่ใช่​สามี​ของเจ้า เรื่องนี้​เจ้​าพูดจริง” นางทูลพระองค์​ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิ​ฉันเห็นจริงแล้​วว​่าท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่​ภู​เขานี้ แต่​พวกท่านว่าสถานที่​ที่​ควรนมัสการนั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซู​ตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิ​ได้​ไหว้​นม​ัสการพระบิดาเฉพาะที่​ภู​เขานี้ หรือที่​กรุ​งเยรูซาเล็ม ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่​รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้​จัก เพราะความรอดนั้นเนื่องมาจากพวกยิว แต่​เวลานั้นใกล้​เข​้ามาแล้ว และบัดนี้​ก็​ถึงแล้ว คือเมื่อผู้​ที่​นม​ัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิ​ดาด​้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้​ที่​นม​ัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” นางทูลพระองค์​ว่า “​ดิ​ฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์​ที่​เรียกว่า พระคริสต์ จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่​เรา​” พระเยซู​ตรัสกับนางว่า “เราที่​พู​ดก​ับเจ้าคือท่านผู้​นั้น​” ขณะนั้นสาวกของพระองค์​ก็​มาถึง และเขาประหลาดใจที่​พระองค์​ทรงสนทนากับผู้​หญิง แต่​ไม่มี​ใครถามว่า “​พระองค์​ทรงประสงค์​อะไร​” หรือ “ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง” หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองและบอกคนทั้งปวงว่า “​มาด​ูท่านผู้​หน​ึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้​กระทำ ท่านผู้​นี้​มิใช่​พระคริสต์​หรือ​” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์​ว่า “พระอาจารย์​เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด” แต่​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่​รู้​” พวกสาวกจึงถามกั​นว​่า “​มี​ใครเอาอาหารมาถวายพระองค์​แล​้วหรือ” พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า “อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์​สำเร็จ ท่านทั้งหลายว่า อี​กสี่เดือนจะถึงฤดู​เก​ี่ยวข้าวมิ​ใช่​หรือ ดู​เถิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาก็​ขาว ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว คนที​่​เก​ี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิ​ตน​ิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดี​ด้วยกัน เพราะในเรื่องนี้คำที่​กล​่าวไว้​นี้​เป็นความจริง คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิ​ได้​ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้​ประโยชน์​จากแรงของเขา” ชาวสะมาเรียเป็​นอ​ันมากที่มาจากเมืองนั้นได้เชื่อในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงผู้​นั้น ที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้​กระทำ​” ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงทูลเชิญพระองค์​ให้​ประทั​บอย​ู่กับเขา และพระองค์​ก็​ประทั​บท​ี่นั่นสองวัน และคนอื่นเป็​นอ​ันมากได้เชื่อเพราะพระดำรัสของพระองค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 4

ยอห์น 4:7-41 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

พระ​เยซู​ได้​กล่าว​กับ​หญิง​ชาว​สะมาเรีย​ผู้​หนึ่ง​ที่​มา​ตัก​น้ำ​ว่า “ขอ​น้ำ​ให้​เรา​ดื่ม​หน่อย​เถิด” เนื่องจาก​ใน​ขณะ​นั้น​พวก​สาวก​ของ​พระ​องค์​กำลัง​ไป​ซื้อ​อาหาร​ใน​เมือง หญิง​ชาว​สะมาเรีย​ผู้​นั้น​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “เป็น​ไป​ได้​อย่างไร​ที่​ท่าน​ผู้​เป็น​ชาว​ยิว​จะ​มา​ขอ​น้ำ​ดื่ม​จาก​ข้าพเจ้า ใน​เมื่อ​ข้าพเจ้า​เป็น​หญิง​ชาว​สะมาเรีย” (ด้วย​เหตุ​ว่า​ชาว​ยิว​ไม่​คบหา​กับ​ชาว​สะมาเรีย) พระ​เยซู​ตอบ​นาง​ว่า “ถ้า​เจ้า​รู้จัก​ของ​ประทาน​จาก​พระ​เจ้า และ​รู้จัก​ผู้​ที่​พูด​กับ​เจ้า​ว่า ‘ขอ​น้ำ​ให้​เรา​ดื่ม​หน่อย​เถิด’ เจ้า​ก็​คง​จะ​ขอ​จาก​ท่าน​ผู้​นั้น และ​ท่าน​ผู้​นั้น​ก็​จะ​ให้​น้ำ​อัน​ก่อ​ให้​เกิด​ชีวิต​แก่​เจ้า” นาง​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “นาย​ท่าน ท่าน​ไม่​มี​อะไร​มา​ตัก​น้ำ มิ​หนำซ้ำ​บ่อ​ก็​ลึก​เสีย​ด้วย แล้ว​ท่าน​จะ​เอา​น้ำ​อัน​ก่อ​ให้​เกิด​ชีวิต​มา​จาก​ไหน ท่าน​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​ยาโคบ​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ผู้​มอบ​บ่อ​น้ำ​นี้​ให้​แก่​เรา​หรือ ยาโคบ​เอง​ได้​ดื่ม​น้ำ​จาก​บ่อ​นี้​รวม​ทั้ง​บรรดา​บุตร​และ​พวก​แพะ​แกะ​ด้วย” พระ​เยซู​ตอบ​ว่า “ทุก​คน​ที่​ดื่ม​น้ำ​นี้​จะ​กระหาย​อีก แต่​ผู้​ใด​ก็​ตาม​ที่​ดื่ม​น้ำ​ที่​เรา​ให้​จะ​ไม่​มี​วัน​กระหาย น้ำ​ที่​เรา​ให้​แก่​เขา​จะ​กลาย​เป็น​บ่อ​น้ำพุ​ใน​ตัว​เขา พุ่ง​ขึ้น​สู่​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์” หญิง​นั้น​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “นาย​ท่าน โปรด​ให้​น้ำ​นี้​แก่​ข้าพเจ้า​เถิด จะ​ได้​ไม่​กระหาย​หรือ​ต้อง​มา​ตัก​น้ำ​ที่​นี่​อยู่​ร่ำ​ไป” พระ​องค์​บอก​นาง​ว่า “จง​ไป​เรียก​สามี​เจ้า​มา​นี่​เถิด” นาง​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​ไม่​มี​สามี” พระ​เยซู​กล่าว​กับ​นาง​ว่า “เจ้า​พูด​ถูก​แล้ว​ที่​ว่า​ไม่​มี​สามี ความ​จริง​เจ้า​มี​มา​แล้ว​ถึง 5 คน และ​ชาย​ที่​เจ้า​มี​เวลา​นี้​ก็​ไม่​ใช่​สามี​ของ​เจ้า สิ่ง​ที่​เจ้า​พูด​มา​นี้​จริง​ที​เดียว” หญิง​นั้น​พูด​ว่า “นาย​ท่าน ข้าพเจ้า​เห็น​แล้ว​ว่า​ท่าน​เป็น​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ได้​นมัสการ​ที่​ภูเขา​นี้ และ​พวก​ท่าน​พูด​ว่า​เมือง​เยรูซาเล็ม​เป็น​สถานที่​ที่​ควร​ใช้​ใน​การ​นมัสการ” พระ​เยซู​กล่าว​กับ​นาง​ว่า “หญิง​เอ๋ย เชื่อ​เรา​เถิด​ว่า จะ​ถึง​เวลา​ที่​พวก​เจ้า​จะ​นมัสการ​พระ​บิดา​ใน​ที่​ซึ่ง​ไม่​ใช่​ภูเขา​นี้​หรือ​ที่​เมือง​เยรูซาเล็ม พวก​เจ้า​นมัสการ​อะไร​ที่​เจ้า​ไม่​รู้จัก แต่​พวก​เรา​นมัสการ​สิ่ง​ที่​เรา​รู้จัก เพราะ​ความ​รอด​พ้น​มา​จาก​พวก​ชาว​ยิว แต่​จะ​ถึง​เวลา ที่​จริง​บัดนี้​ก็​ถึง​เวลา​แล้ว​ที่​พวก​นมัสการ​แท้​จะ​นมัสการ​พระ​บิดา​ด้วย​วิญญาณ​และ​ความ​จริง เพราะ​ว่า​พระ​บิดา​แสวงหา​ผู้​คน​เหล่า​นี้​ให้​เป็น​ผู้​นมัสการ​พระ​องค์ พระ​เจ้า​เป็น​พระ​วิญญาณ ดังนั้น​บรรดา​ผู้​ที่​นมัสการ​พระ​องค์ ต้อง​นมัสการ​ด้วย​วิญญาณ​และ​ความ​จริง” หญิง​นั้น​พูด​ว่า “ข้าพเจ้า​ทราบ​ว่า​พระ​เมสสิยาห์​กำลัง​จะ​มา (คือ​ผู้​ที่​เรียก​ว่า​พระ​คริสต์) พระ​องค์​จะ​ประกาศ​ทุก​สิ่ง​แก่​เรา​เมื่อ​มา​ถึง” แล้ว​พระ​เยซู​กล่าว​กับ​นาง​ว่า “เรา​ที่​พูด​อยู่​กับ​เจ้า​คือ​ผู้​นั้น” ขณะ​นั้น​บรรดา​สาวก​ของ​พระ​องค์​กลับ​มา​และ​ประหลาดใจ​ที่​พบ​ว่า​พระ​องค์​กำลัง​พูด​อยู่​กับ​ผู้​หญิง แต่​ไม่​มี​ผู้​ใด​ถาม​ว่า “พระ​องค์​มี​ประสงค์​อะไร” หรือ “ทำไม​พระ​องค์​จึง​พูด​กับ​นาง” หญิง​นั้น​ทิ้ง​หม้อ​น้ำ​ไว้ แล้ว​กลับ​เข้า​ไป​ใน​เมือง​เพื่อ​บอก​ผู้​คน​ว่า “มา​เถิด มา​ดู​ชาย​ผู้​บอก​ข้าพเจ้า​ถึง​ทุก​สิ่ง​ที่​ข้าพเจ้า​ได้​กระทำ​ไป ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​พระ​คริสต์​หรือ​ไม่” ผู้​คน​ก็​ออก​จาก​เมือง​ไป​หา​พระ​องค์ ใน​ขณะ​เดียว​กัน​บรรดา​สาวก​ก็​ขอร้อง​พระ​องค์​ว่า “รับบี เชิญ​รับประทาน” แต่​พระ​องค์​กล่าว​ว่า “เรา​มี​อาหาร​สำหรับ​รับประทาน​ที่​เจ้า​ไม่​รู้จัก” บรรดา​สาวก​พูด​โต้ตอบ​กัน​ว่า “ไม่​มี​ผู้​ใด​นำ​อาหาร​มา​ให้​พระ​องค์​มิ​ใช่​หรือ” พระ​เยซู​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “อาหาร​ของ​เรา​คือ​การ​กระทำ​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​องค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา และ​ทำงาน​ของ​พระ​องค์​ให้​เสร็จ​บริบูรณ์ เจ้า​ไม่​ได้​พูด​เช่น​นี้​หรือ​ว่า ‘อีก 4 เดือน​ก็​จะ​ถึง​ฤดู​เกี่ยว​ข้าว​แล้ว’ เรา​ขอบอก​เจ้า​ว่า จง​เปิด​ตา​ดู​ทุ่งนา​อัน​เหลือง​อร่าม​เถิด​ว่า​ถึง​เวลา​เก็บ​เกี่ยว​แล้ว ผู้​เก็บ​เกี่ยว​ก็​จะ​ได้​รับ​ค่าแรง และ​รวบ​รวม​พืช​ผล​สำหรับ​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์ และ​เพื่อ​ทั้ง​คน​หว่าน​และ​คน​เก็บ​เกี่ยว​ก็​จะ​ได้​ชื่นชม​ยินดี​ร่วม​กัน ใน​กรณี​นี้ คำกล่าว​นั้น​เป็น​ความ​จริง​ที่​ว่า ‘คน​หนึ่ง​หว่าน และ​อีก​คน​เก็บ​เกี่ยว’ เรา​ส่ง​พวก​เจ้า​ไป​เก็บ​เกี่ยว​สิ่ง​ที่​เจ้า​ไม่​ได้​ลง​แรง คน​อื่นๆ ได้​ลง​แรง และ​เจ้า​ได้​รับ​ประโยชน์​จาก​แรง​ของ​เขา” ชาว​สะมาเรีย​จำนวน​มาก​ใน​เมือง​นั้น​เชื่อ​ใน​พระ​องค์ เพราะ​คำ​พูด​ของ​หญิง​คน​นั้น​ที่​ได้​ยืนยัน​ว่า “ท่าน​ได้​บอก​ทุก​สิ่ง​ที่​ข้าพเจ้า​ได้​กระทำ” ดังนั้น​เมื่อ​ชาว​สะมาเรีย​มา​หา​พระ​องค์ ก็​ได้​ขอ​ให้​พระ​องค์​พัก​อยู่​ด้วย พระ​องค์​จึง​อยู่​ที่​นั่น 2 วัน และ​มี​คน​อีก​มากมาย​ที่​เชื่อ​เพราะ​คำกล่าว​ของ​พระ​องค์

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 4