ยอห์น 12:20-50

ยอห์น 12:20-50 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านเจ้าข้า เราอยากจะเห็นพระเยซู” ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปไปทูลพระเยซู และพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์ ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น “เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า “เราให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก” ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นก็พูดกันว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆ ว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับพระองค์” พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่าน ไม่ใช่เพื่อเรา เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน ขณะที่พวกท่านมีความสว่าง จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกของความสว่าง” เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้วก็ทรงจากไป และทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์ ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ? และพระกรของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ใคร?” เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อวางใจไม่ได้ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา ให้เรารักษาเขาให้หาย” อิสยาห์กล่าวอย่างนี้ เพราะว่าท่านเห็นพระสิริของพระองค์และกล่าวถึงพระองค์ อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา เพราะว่าพวกเขารักการชมของมนุษย์ มากกว่าการชมของพระเจ้า และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเอง แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 12

ยอห์น 12:20-50 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

ในหมู่ประชาชนที่ขึ้นไปเพื่อนมัสการในเทศกาลนั้นมีบางคนเป็นชาวกรีก พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากเบธไซดาในแคว้นกาลิลีและขอร้องเขาว่า “ท่านเจ้าข้า พวกเราอยากเห็นพระเยซู” ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปมาทูลพระเยซู พระเยซูตรัสตอบว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติสิริ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ได้ตกลงไปในดินและตายไปก็จะคงอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าตายแล้วก็จะเกิดผลให้มีเมล็ดอื่นๆ มากมาย ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิต ส่วนผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะรักษาชีวิตไว้และมีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่รับใช้เราต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย พระบิดาของเราจะให้เกียรติแก่ผู้ที่รับใช้เรา “ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะว่าอย่างไร? จะว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากยามนี้ไปเถิด’ อย่างนั้นหรือ? ไม่เลยเพราะเรามาถึงยามนี้ก็เพื่อเหตุนี้ ข้าแต่พระบิดา ขอทรงทำให้พระนามของพระองค์ได้รับพระเกียรติสิริ!” แล้วมีพระสุรเสียงจากฟ้าสวรรค์ว่า “เราได้ทำให้พระนามนั้นรับพระเกียรติสิริแล้วและจะทำให้พระนามนั้นรับพระเกียรติสิริอีก” ฝูงชนซึ่งอยู่ที่นั่นและได้ยินเสียงนี้ก็กล่าวว่าเกิดฟ้าร้อง คนอื่นๆ พูดว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดกับพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของพวกท่านมิใช่เพื่อเรา บัดนี้ได้เวลาพิพากษาโลกนี้แล้ว บัดนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกขับไล่ออกไป แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินตรึงบนไม้กางเขน แล้วเราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา” พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร ฝูงชนพูดขึ้นว่า “พวกข้าพเจ้าทราบจากหนังสือบทบัญญัติว่า พระคริสต์จะทรงดำรงนิรันดร์ เหตุใดท่านจึงพูดว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ ใครคือ ‘บุตรมนุษย์’ ผู้นี้?” แล้วพระเยซูตรัสบอกพวกเขาว่า “ท่านจะมีความสว่างอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินต่อไปขณะที่ยังมีแสงสว่างก่อนที่ความมืดจะจู่โจมเข้ามา ผู้ที่เดินในความมืดไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน จงวางใจในความสว่างขณะที่ท่านยังมีความสว่างเพื่อท่านจะได้กลายเป็นลูกของความสว่าง” เมื่อตรัสจบแล้วพระเยซูก็เสด็จไปและทรงซ่อนตัวให้พ้นจากพวกเขา แม้พระเยซูได้กระทำหมายสำคัญทั้งปวงนี้ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ ทั้งนี้เป็นไปตามคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคำของเรา และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงแก่ผู้ใด?” ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อเพราะตามที่อิสยาห์กล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า “พระองค์ได้ทำให้ตาของพวกเขามืดบอดและทำให้จิตใจของพวกเขาตายด้าน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเห็นด้วยตา ไม่เข้าใจด้วยจิตใจ ทั้งไม่ยอมหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย” อิสยาห์กล่าวเช่นนี้เพราะเขาเห็นพระเกียรติสิริของพระเยซูและกล่าวถึงพระองค์ กระนั้นในเวลาเดียวกันแม้ในหมู่ผู้นำก็มีหลายคนที่เชื่อในพระองค์ แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงตัวเพราะกลัวจะถูกพวกฟาริสีอเปหิจากธรรมศาลา เนื่องจากพวกเขารักการสรรเสริญจากมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญจากพระเจ้า แล้วพระเยซูทรงร้องว่า “เมื่อผู้ใดเชื่อในเรา เขาไม่เพียงเชื่อในเราเท่านั้นแต่ยังเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เมื่อเขามองดูเราเขาก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เราเข้ามาในโลกในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด “ส่วนผู้ที่ได้ยินคำของเราแล้วไม่ปฏิบัติตามเราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อพิพากษาโลกแต่เพื่อช่วยโลกให้รอด มีผู้พิพากษาสำหรับคนที่ปฏิเสธเราและไม่ยอมรับถ้อยคำของเราอยู่แล้ว คือถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเองจะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้ายนั้น เพราะเราไม่ได้พูดตามใจของเราเองแต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาได้ทรงบัญชาเราว่าจะพูดอะไรและพูดอย่างไร เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ฉะนั้นสิ่งใดๆ ที่เราพูดก็คือสิ่งที่พระบิดาได้ตรัสบอกให้เราพูด”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 12

ยอห์น 12:20-50 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

ใน​ช่วง​เทศกาล​วัน​ปลด​ปล่อย​มี​พวก​กรีก​บางคน​มา​กราบไหว้บูชา​พระเจ้า​ที่​เมือง​เยรูซาเล็ม​ด้วย พวก​กรีก​ได้​ไป​หา​ฟีลิป ที่​มา​จาก​หมู่บ้าน​เบธไซดา​ใน​แคว้น​กาลิลี และ​พูด​ว่า “คุณ​ครับ พวก​เรา​อยาก​จะ​เจอ​พระเยซู” ฟีลิป​บอก​อันดรูว์ แล้ว​เขา​ทั้ง​สอง​ก็​ไป​บอก​พระเยซู พระเยซู​บอก​เขา​ทั้งสอง​ว่า “ถึง​เวลา​แล้ว​ที่​พระเจ้า​จะ​แสดง​ให้​เห็น​ว่า บุตร​มนุษย์​นั้น​ยิ่งใหญ่​แค่​ไหน เรา​จะ​บอก​ให้​รู้​ว่า ถ้า​เมล็ด​พืช​ไม่​ตก​ลง​ดิน​และ​ตาย มัน​ก็​จะ​เป็น​แค่​เมล็ด​เดียว​เหมือน​เดิม แต่​ถ้า​มัน​ตาย มัน​จะ​งอก​เป็น​เมล็ด​พืช​อีก​มากมาย คน​ที่รัก​ชีวิต​ของ​ตน​เอง​ก็​จะ​สูญเสีย​ชีวิต​ไป แต่​คน​ที่​เกลียด​ชีวิต​ของ​ตน​ใน​โลกนี้​ก็​จะ​ได้​รักษา​ชีวิต​ไว้​ให้​อยู่​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป ถ้า​ใคร​รับใช้​เรา เขา​ก็​จะ​ต้อง​ติดตาม​เรา​ไป​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ที่​ไหน​ก็​ตาม คน​รับใช้​ของ​เรา​ก็​จะ​ต้อง​อยู่​ที่​นั่น​ด้วย ถ้า​ใคร​รับใช้​เรา พระบิดา​ก็​จะ​ให้​เกียรติ​คน​นั้น” “ตอนนี้​เรา​กำลัง​กลุ้มใจ​มาก​จน​ไม่​รู้​จะ​พูด​ยังไง​ดี จะ​ให้​เรา​พูด​ว่า ‘พระบิดา ช่วย​ลูก​ให้​พ้น​จาก​ช่วง​เวลา​แห่ง​ความ​ทุกข์​นี้​ด้วย’ อย่าง​นั้น​หรือ เรา​เข้า​มา​ใน​โลกนี้​ก็​เพื่อ​จะ​ทน​ต่อ​ความทุกข์​นี้ พระบิดา ขอ​ให้​คน​เห็น​ถึง​ความ​ยิ่งใหญ่​ของ​พระองค์” ทันใดนั้น ก็​มี​เสียง​ดัง​มา​จาก​สวรรค์​ว่า “เรา​ได้​ทำ​อย่าง​นั้น​แล้ว และ​เรา​จะ​ทำ​ต่อ​ไป” คน​ที่​อยู่​ที่​นั่น​ได้ยิน​เสียง​จาก​ท้องฟ้า บางคน​บอก​ว่า​เป็น​เสียง​ฟ้าร้อง ส่วน​คน​อื่น​บอก​ว่า “ทูตสวรรค์​พูด​กับ​เขา” พระเยซู​จึง​บอก​ว่า “เสียง​ที่​ได้ยิน​นั้น เกิด​ขึ้น​เพื่อ​พวก​คุณ​ไม่​ใช่​เพื่อ​เรา ถึง​เวลา​ที่​โลกนี้​จะ​ถูก​ตัดสิน​แล้ว เจ้า​ผู้ครอบ​ครอง​โลกนี้ จะ​ถูก​ขับไล่​ออก​ไป เมื่อ​เรา​ถูก​ยก​ขึ้น จาก​แผ่นดิน​โลก เรา​ก็​จะ​ทำ​ให้​ทุกๆ​คน​มาหา​เรา” (พระองค์​พูด​อย่างนี้ เพื่อ​บอก​ให้​รู้​ว่า​พระองค์​จะ​ต้อง​ตาย​แบบ​ไหน) ฝูงชน​จึง​พูด​ขึ้น​มา​ว่า “ก็​ไหน​พระคัมภีร์​บอก​ว่า พระคริสต์ จะ​มี​ชีวิต​ตลอด​ไป แล้ว​ทำไม​ท่าน​มา​พูด​ว่า ‘บุตร​มนุษย์​ต้อง​ถูก​ยก​ขึ้น’ ‘บุตร​มนุษย์’ คือ​ใคร​หรือ” พระเยซู​บอก​ว่า “ความสว่าง​จะ​อยู่​กับ​พวกคุณ​อีก​ประเดี๋ยวเดียว เพราะฉะนั้น​ให้​เดิน​ใน​ขณะ​ที่​ยัง​มี​ความสว่าง​อยู่ เพื่อ​เมื่อ​ความมืด​มา​ถึง มัน​จะ​ได้​ไม่​ปกคลุม​พวกคุณ เพราะ​คน​ที่​เดิน​อยู่​ใน​ความมืด​จะ​มอง​ไม่​เห็น​ว่า​จะ​ไป​ทาง​ไหน ให้​ไว้วางใจ​ใน​ความสว่าง​นั้น​ใน​ขณะ​ที่​พวกคุณ​ยัง​มี​ความสว่าง​อยู่ แล้ว​พวกคุณ​จะ​ได้​เป็น​ลูก​ของ​ความสว่าง” เมื่อ​พูด​จบ​แล้ว​พระองค์​ก็​จาก​ไป และ​ได้​ซ่อน​ตัว​จาก​ฝูงชน ทั้งๆ​ที่​พระเยซู​ทำ​สิ่ง​อัศจรรย์​มากมาย​ต่อหน้า​ฝูงชน แต่​พวก​เขา​ก็​ยัง​ไม่​เชื่อ​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​จริง​ตาม​ที่​อิสยาห์​ผู้พูดแทนพระเจ้า​ได้​พูด​ไว้​ว่า “องค์​เจ้า​ชีวิต มี​ใคร​บ้าง​ที่​เชื่อ​เรื่อง​ที่​เรา​บอก มี​ใคร​บ้าง​ที่​เห็น​ฤทธิ์​อำนาจ​ของ​องค์​เจ้า​ชีวิต” และ​ที่​พวก​เขา​ไม่​เชื่อ​ก็​เพราะ​พระเจ้า​ได้​พูด​ผ่าน​ทาง​อิสยาห์​ว่า “เรา​ทำ​ให้​ตา​ของ​พวก​เขา​บอด และ​ใจของ​พวก​เขา​ดื้อด้าน เพื่อ​ตา​ของ​พวกเขา​จะ​ได้​มอง​ไม่​เห็น และ​จิตใจ​ของ​พวกเขา​จะ​ได้​ไม่​เข้าใจ พวกเขา​จึง​ไม่​ได้​หัน​กลับ​มา​หา​เรา​เพื่อ​ให้​เรา​รักษา” อิสยาห์​พูด​อย่างนี้​เพราะ​เขา​เห็น​แล้ว​ว่า​ต่อ​ไป​ภายหน้า​พระเยซู​จะ​ยิ่งใหญ่​แค่​ไหน มี​พวก​ยิว​หลาย​คน​รวมทั้ง​พวก​ผู้นำ​ชาวยิว​ได้​มา​เชื่อ​พระเยซู แต่​พวก​เขา​ไม่​กล้า​ยอมรับ​พระองค์​อย่าง​เปิดเผย เพราะ​กลัว​พวก​ฟาริสี และ​ไม่​อยาก​ถูก​ไล่​ออก​จาก​ที่​ประชุม​ชาวยิว พวก​เขา​รัก​เกียรติ​ที่​มา​จาก​มนุษย์​มาก​กว่า​เกียรติ​ที่​มา​จาก​พระเจ้า พระเยซู​ได้​ตะโกน​ว่า “ใคร​ไว้วางใจ​เรา ไม่​ใด้​แค่​ไว้วางใจ​ใน​ตัวเรา​เท่านั้น แต่​ก็​ไว้วางใจ​พระบิดา​ผู้​ที่​ส่ง​เรา​มา​ด้วย คน​ที่​มอง​เห็น​เรา​ก็​เห็น​พระองค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา​ด้วย เรา​เข้า​มา​เป็น​แสงสว่าง​ให้​กับ​โลกนี้​เพื่อ​ว่า​ทุก​คน​ที่​ไว้วางใจ​เรา​จะ​ไม่​อยู่​ใน​ความมืด​อีก​ต่อ​ไป ส่วน​คน​ที่​ฟัง​คำ​สั่งสอน​ของ​เรา​แต่​ไม่​ทำ​ตาม เรา​ก็​ไม่​ตัดสิน​ลงโทษ​เขา​หรอก เพราะ​เรา​ไม่​ได้​มา​เพื่อ​ตัดสิน​ลงโทษ​โลกนี้ แต่​เรา​มา​เพื่อ​จะ​ช่วย​โลกนี้​ให้​รอด แต่​จะ​มี​สิ่ง​หนึ่ง​ที่​จะ​ตัดสิน​ลงโทษ​คน​ที่​ไม่​ยอมรับ​เรา​และ​คำพูด​ของ​เรา นั่น​ก็​คือ​คำพูด​ของ​เรา​นี้เอง​ที่​จะ​ลงโทษ​คน​เหล่า​นั้น​ใน​วัน​สุดท้าย เพราะ​คำพูด​เหล่านี้​เรา​ไม่​ได้​พูด​เอา​เอง แต่​พระบิดา​ผู้ที่​ส่ง​เรา​มา​เป็น​ผู้​สั่ง​ให้​พูด และ​เรา​ก็​รู้​ว่า​คำสั่งนี้​ของ​พระองค์​จะ​นำ​ไป​ถึง​ชีวิต​ที่​อยู่​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป เรา​ถึง​พูด​ตาม​ที่​พระบิดา​สั่ง”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 12

ยอห์น 12:20-50 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในเทศกาลเลี้ยงนั้​นม​ีพวกกรี​กบ​้าง พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพู​ดก​ั​บท​่านว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าใคร่จะเห็นพระเยซู” ฟี​ลิปจึงไปบอกอันดรูว์ และอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปทูลพระเยซู และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถึงเวลาแล้​วท​ี่​บุ​ตรมนุษย์จะได้รับสง่าราศี เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่​ได้​ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็​จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่​ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็​จะงอกขึ้นเกิดผลมาก ผู้​ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้​ที่​ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็​จะรักษาชีวิ​ตน​ั้นไว้​นิรันดร์ ถ้าผู้ใดจะปรนนิบั​ติ​เรา ให้​ผู้​นั้นตามเรามา และเราอยู่​ที่ไหน ผู้​ปรนนิบัติ​เราจะอยู่​ที่​นั่นด้วย ถ้าผู้ใดปรนนิบั​ติ​เรา พระบิดาของเราก็จะทรงประทานเกียรติ​แก่​ผู้​นั้น บัดนี้​จิ​ตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะพูดว่าอะไร จะว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์​ให้​พ้นเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ หามิได้ เพราะด้วยความประสงค์​นี้​เองเราจึงมาถึงเวลานี้ ข้าแต่พระบิดา ขอให้​พระนามของพระองค์​ได้​รับเกียรติ” แล้วก็​มี​พระสุรเสียงมาจากฟ้าว่า “เราได้​ให้​รับเกียรติ​แล้ว และจะให้รับเกียรติ​อีก​” ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ยืนอยู่​ที่​นั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้​นก​็​พู​ดว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆก็​พูดว่า “​ทูตสวรรค์​องค์​หน​ึ่งได้​กล​่าวกับพระองค์” พระเยซู​ตรัสตอบว่า “เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ไม่ใช่​เพื่อเรา บัดนี้​ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้​แล้ว เดี๋ยวนี้​ผู้​ครองโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย และเรา ถ้าเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักชวนคนทั้งปวงให้มาหาเรา” พระองค์​ตรัสเช่นนั้นเพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์​อย่างไร คนทั้งหลายจึงทูลพระองค์​ว่า “พวกเราได้ยินจากพระราชบัญญั​ติว​่า พระคริสต์จะอยู่​เป็นนิตย์ เหตุ​ไฉนท่านจึงว่า ‘​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ บุ​ตรมนุษย์นั้นคือผู้ใดเล่า” พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า “ความสว่างจะอยู่กั​บท​่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อย​ั​งม​ีความสว่างอยู่​ก็​จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้​ที่​เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่​รู้​ว่าตนไปทางไหน เมื่อท่านทั้งหลายมี​ความสว่าง ก็​จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง” เมื่อพระเยซูตรั​สด​ังนั้นแล้​วก​็เสด็จจากไป และซ่อนพระองค์​ให้​พ้นจากพวกเขา ถึงแม้​ว่าพระองค์​ได้​ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการทีเดียวต่อหน้าเขา เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์ เพื่อคำของอิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​จะสำเร็จซึ่งว่า ‘​พระองค์​เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงแก่​ผู้ใด​’ ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่​ได้ เพราะอิสยาห์​ได้​กล​่าวอี​กว่า ‘​พระองค์​ได้​ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้​แข​็งกระด้างไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาและเราจะรักษาเขาให้​หาย​’ อิสยาห์​กล​่าวดังนี้เมื่อท่านได้​เห​็นสง่าราศีของพระองค์ และได้​กล​่าวถึงพระองค์ อย่างไรก็ดี​แม้​ในพวกขุนนางก็​มี​หลายคนเชื่อในพระองค์​ด้วย แต่​เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริ​สี เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า พระเยซู​ทรงประกาศว่า “​ผู้​ที่​เชื่อในเรานั้น หาได้เชื่อในเราไม่ แต่​เชื่อในพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา และผู้​ที่​เห​็นเราก็​เห​็นพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อผู้ใดที่เชื่อในเราจะมิ​ได้​อยู่​ในความมืด ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่​เชื่อ เราก็​ไม่​พิพากษาผู้​นั้น เพราะว่าเรามิ​ได้​มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่​มาเพื่อจะช่วยโลกให้​รอด ผู้​ใดที่ปฏิเสธเราและไม่รับคำของเรา ผู้​นั้นจะมี​สิ​่งหนึ่งพิพากษาเขา คือคำที่เราได้​กล​่าวแล้ว นั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย เพราะเรามิ​ได้​กล​่าวตามใจเราเอง แต่​ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา พระองค์​นั้นได้ทรงบัญชาให้​แก่​เรา เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิ​ตน​ิรันดร์ เหตุ​ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็​พู​ดตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 12

ยอห์น 12:20-50 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้น มีพวกกรีกบ้าง พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า <<ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู>> ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปทูลพระเยซู และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธำรงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์ ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น <<บัดนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะพูดอย่างไร จะว่า <ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการย์แห่งกาลนี้> อย่างนั้นหรือ หามิได้ เพราะด้วยความประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงการย์แห่งกาลนี้ ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์จงได้รับเกียรติ>> แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า <<เราได้ให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก>> คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นและพูดว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆก็พูดว่า <<ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้กล่าวกับพระองค์>> พระเยซูตรัสตอบว่า <<เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อเรา บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา>> พระองค์ตรัสเช่นนั้น เพื่อสำแดงว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร คนทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า <<ข้าพเจ้าทราบจากพระธรรมว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ เหตุไฉนท่านจึงว่า <บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น> บุตรมนุษย์นั้น คือผู้ใดเล่า>> พระเยซูตรัสกับเขาว่า <<ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง>> เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงจากเขาไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำหมายสำคัญหลายประการทีเดียวให้เขาเห็น เขาทั้งหลายก็ยังไม่วางใจในพระองค์ ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะซึ่งว่า <<พระองค์เจ้าข้า ผู้ใดจะเชื่อสิ่งที่เราได้ประกาศ และพระกรของพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด>> ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า <<พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้มืดมัวไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย>> อิสยาห์กล่าวดังนี้ เพราะว่าท่านได้เห็นพระสิริของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์ อย่างไรก็ดีแม้ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนศรัทธาในพระองค์ แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกอเปหิออกจากธรรมศาลา เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์ มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า และพระเยซูทรงประกาศว่า <<บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่กระทำตาม เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา ผู้นั้นจะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เราได้กล่าวแล้วนั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาพระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา>>

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 12

ยอห์น 12:20-50 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ใน​บรรดา​ผู้​คน​ที่​ขึ้น​ไป​นมัสการ​ใน​งาน​เทศกาล​นั้น​มี​ชาว​กรีก​ร่วม​ไป​ด้วย พวก​เขา​ได้​ไป​หา​ฟีลิป​ซึ่ง​มา​จาก​หมู่บ้าน​เบธไซดา​ใน​แคว้น​กาลิลี และ​พูด​กับ​เขา​ว่า “นาย​ท่าน พวก​เรา​อยาก​จะ​เห็น​พระ​เยซู” ฟีลิป​ไป​บอก​อันดรูว์ แล้ว​ทั้ง​ฟีลิป​กับ​อันดรูว์​ก็​ไป​บอก​พระ​เยซู พระ​เยซู​ตอบ​เขา​ทั้ง​สอง​ว่า “ถึง​กำหนด​เวลา​แล้ว​ที่​บุตรมนุษย์​จะ​ได้​รับ​พระ​บารมี เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​เจ้า​ว่า ถ้า​เมล็ด​ข้าว​สาลี​ไม่​ตก​ลง​บน​พื้นดิน​และ​ตาย​ไป เมล็ด​นั้น​ก็​จะ​อยู่​เพียง​เมล็ด​เดียว แต่​ถ้า​เมล็ด​ตาย​ไป​ก็​จะ​เกิด​ผล​งอกงาม ผู้​ที่​รัก​ชีวิต​ของ​ตน​จะ​สูญเสีย​ชีวิต​นั้น​ไป และ​ผู้​ที่​ชัง​ชีวิต​ของ​ตน​ใน​โลก​นี้​จะ​รักษา​ชีวิต​ไว้​ได้​ชั่วนิรันดร์ ถ้า​ผู้​ใด​รับใช้​เรา​ก็​ให้​ติดตาม​เรา​มา และ​เรา​อยู่​ที่​ไหน​ผู้​รับใช้​ของ​เรา​ก็​จะ​อยู่​ด้วย ถ้า​ผู้​ใด​รับใช้​เรา พระ​บิดา​ก็​จะ​ให้​เกียรติ​แก่​ผู้​นั้น ขณะ​นี้​จิตใจ​ของ​เรา​เป็น​ทุกข์ จะ​ให้​เรา​พูด​อย่างไร​ดี จะ​ให้​พูด​ว่า ‘พระ​บิดา โปรด​ช่วย​ข้าพเจ้า​ให้​พ้น​จาก​ช่วง​เวลา​นี้​เถิด’ อย่าง​นั้น​หรือ ก็​ไม่​ได้ เป็น​เพราะ​เหตุ​นี้​เรา​จึง​ได้​มา​เผชิญ​ช่วง​เวลา​นี้​อยู่ พระ​บิดา ขอ​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​ได้​รับ​พระ​บารมี​เถิด” ใน​ขณะ​นั้น​ได้​มี​เสียง​จาก​สวรรค์​ว่า “เรา​ทั้ง​ได้​รับ​บารมี​แล้ว และ​จะ​ได้​รับ​อีก” บาง​คน​ใน​ฝูง​ชน​ที่​ยืน​ฟัง​อยู่​พูด​กัน​ว่า​เป็น​เสียง​ฟ้า​ร้อง บ้าง​ก็​ว่า​ทูต​สวรรค์​ได้​พูด​กับ​พระ​องค์ พระ​เยซู​ตอบ​ว่า “เสียง​นี้​ไม่​ได้​เปล่ง​ออก​มา​เพื่อ​เรา แต่​เพื่อ​พวก​ท่าน บัดนี้​การ​กล่าวโทษ​อยู่​กับ​โลก​นี้ และ​บัดนี้​ผู้​ครอง​โลก​จะ​ถูก​โยน​ออก​ไป​แล้ว เมื่อ​เรา​ถูก​ชู​ขึ้น​เหนือ​โลก เรา​จะ​นำ​ให้​ทุก​คน​มา​หา​เรา” พระ​องค์​กล่าว​เช่น​นี้​เพื่อ​ชี้​ให้​เห็น​ว่า​พระ​องค์​จะ​ต้อง​สิ้น​ชีวิต​อย่างไร ฝูง​ชน​จึง​ตอบ​ว่า “เรา​ได้ยิน​จาก​กฎ​บัญญัติ​ว่า​พระ​คริสต์​จะ​ดำรง​อยู่​ตลอด​กาล และ​ท่าน​พูด​ได้​อย่างไร​ว่า ‘บุตรมนุษย์​จะ​ต้อง​ถูก​ชู​ขึ้น’ บุตรมนุษย์​คือ​ใคร” พระ​เยซู​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “ใน​เมื่อ​ความ​สว่าง​ยัง​อยู่​กับ​ท่าน​ยาว​นาน​ขึ้น​อีก​ชั่ว​ประเดี๋ยว​หนึ่ง จง​เดิน​ขณะ​ที่​ยัง​มี​ความ​สว่าง​อยู่ เพื่อ​ว่า​ความ​มืด​จะ​ได้​เอา​ชนะ​ท่าน​ไม่​ได้ ผู้​ที่​เดิน​อยู่​ใน​ความ​มืด​ย่อม​ไม่​รู้​ว่า​จะ​ไป​ทาง​ไหน ขณะ​ที่​มี​ความ​สว่าง ก็​จง​เชื่อ​ใน​ความ​สว่าง เพื่อ​ว่า​ท่าน​จะ​ได้​เป็น​พวก​บุตร​ของ​ความ​สว่าง” หลัง​จาก​ที่​พระ​เยซู​กล่าว​ถึง​สิ่ง​เหล่า​นี้​แล้ว​ก็​จาก​ไป​เพื่อ​หลบ​ซ่อน​ให้​พ้น​จาก​พวก​เขา ถึง​แม้​ว่า​พระ​องค์​ได้​แสดง​ปรากฏการณ์​อัศจรรย์​หลาย​สิ่ง​ต่อ​หน้า​พวก​เขา แต่​พวก​เขา​ก็​ยัง​ไม่​เชื่อ​พระ​องค์ ซึ่ง​เป็น​ไป​ตาม​คำ​ที่​อิสยาห์​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​กล่าว​ไว้​คือ “พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ใคร​บ้าง​ที่​เชื่อ​ใน​สิ่ง​ที่​ได้ยิน​จาก​พวก​เรา​แล้ว และ​อานุภาพ​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ปรากฏ​แจ้ง​แก่​ผู้​ใด” ด้วย​เหตุ​นี้​พวก​เขา​ไม่​อาจ​จะ​เชื่อ​ใน​สิ่ง​เหล่า​นี้ เพราะ​อิสยาห์​ได้​กล่าว​ไว้​อีก​ว่า “พระ​องค์​ได้​ทำ​ให้​พวก​เขา​ตา​บอด และ​ทำ​ใจ​ของ​เขา​ให้​แข็ง​กระด้าง พวก​เขา​จึง​ไม่​สามารถ​มอง​เห็น​ด้วย​ตา หรือ​เข้าใจ​ด้วย​จิตใจ​ของ​เขา และ​หัน​กลับ​มา แล้ว​เรา​จะ​รักษา​เขา​ให้​หาย​ขาด” อิสยาห์​พูด​ถึง​พระ​องค์​และ​กล่าว​อ้าง​ถึง​สิ่ง​เหล่า​นี้​ได้ เพราะ​ว่า​ได้​เห็น​พระ​บารมี​ของ​พระ​องค์​แล้ว แม้​จะ​มี​ผู้​คน​จำนวน​มาก​ใน​บรรดา​ผู้​อยู่​ใน​ระดับ​ปกครอง​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​องค์ แต่​เป็น​เพราะ​พวก​ฟาริสี พวก​เขา​จึง​ไม่​กล้า​ยอมรับ​กัน ด้วย​เกรง​ว่า​จะ​ถูก​ขับไล่​ออก​จาก​ศาลา​ที่​ประชุม ไม่​มี​ใคร​คบค้า​สมาคม​ด้วย ผู้​คน​เหล่า​นั้น​ยัง​ปรารถนา​ที่​จะ​ได้​รับ​การ​ยกย่อง​จาก​คน​มาก​กว่า​พระ​เจ้า แล้ว​พระ​เยซู​ก็​เปล่ง​เสียงดัง​ว่า “ผู้​ที่​เชื่อ​เรา​หา​ได้​เชื่อ​ใน​เรา​เท่า​นั้น​ไม่ แต่​เชื่อ​ใน​พระ​องค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา​ด้วย และ​ผู้​ที่​เห็น​เรา​ก็​เห็น​พระ​องค์​ผู้​ส่ง​เรา​มา เรา​ได้​มา​ยัง​โลก​นี้​ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​ความ​สว่าง เพื่อ​ให้​ทุก​คน​ที่​เชื่อ​เรา​จะ​ได้​ไม่​อยู่​ใน​ความ​มืด ถ้า​ผู้​ใด​ได้ยิน​คำ​พูด​ของ​เรา​และ​ไม่​กระทำ​ตาม เรา​ก็​จะ​ไม่​กล่าวโทษ​ผู้​นั้น เพราะ​เรา​ไม่​ได้​มา​เพื่อ​จะ​กล่าวโทษ​โลก แต่​มา​เพื่อ​ช่วย​โลก​ให้​รอด​พ้น มี​การ​กล่าวโทษ​สำหรับ​คน​ที่​ไม่​ยอมรับ​เรา​และ​คำ​ของ​เรา​อยู่​แล้ว คำ​ที่​เรา​พูด​ไว้​จะ​กล่าวโทษ​เขา​ใน​วัน​สุดท้าย เรา​ไม่​ได้​พูด​ตามใจ​ของ​เรา​เอง แต่​พระ​บิดา​ผู้​ส่ง​เรา​มา​ได้​สั่ง​ว่า​เรา​จะ​พูด​อะไร​และ​พูด​อย่างไร เรา​รู้​ว่า​คำ​สั่ง​ของ​พระ​องค์​เป็น​ชีวิต​อัน​เป็น​นิรันดร์ ฉะนั้น​อะไร​ก็​ตาม​ที่​เรา​พูด​เป็น​สิ่ง​ที่​พระ​บิดา​ได้​กล่าว​กับ​เรา”

แบ่งปัน
อ่าน ยอห์น 12