ยอห์น 11:28-57
ยอห์น 11:28-57 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
เมื่อทูลอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า “อาจารย์เสด็จมาแล้วและทรงเรียกเธอ” เมื่อมารีย์ได้ยิน ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ที่ที่มารธาพบพระองค์นั้น เมื่อพวกยิวกำลังปลอบโยนมารีย์อยู่ที่บ้าน พวกเขาเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป พวกเขาจึงตามไป นึกว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์สะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด” พระเยซูทรงกันแสง พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร” แต่บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?” พระเยซูสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากอุโมงค์ไว้ พระเยซูตรัสว่า “จงเอาหินออกเสีย” มารธาพี่สาวของคนตายจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?” พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด” ดังนั้นเมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระเยซูก็วางใจในพระองค์ แต่บางคนไปหาพวกฟาริสีเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงทำให้เขาฟัง ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา” แต่คนหนึ่งในพวกเขาที่ชื่อคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” เขาไม่ได้กล่าวอย่างนั้นตามความคิดของเขาเอง แต่เพราะเหตุที่เขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น และไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์ เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และประทับอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว มีชาวชนบทจำนวนมากขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อชำระตัว เมื่อพวกเขาชุมนุมกันอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกเขาก็มองหาพระเยซูพูดกันว่า “คิดอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ?” พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็ออกคำสั่งว่า หากใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
ยอห์น 11:28-57 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
หลังจากที่มารธาพูดอย่างนี้แล้ว เธอก็กลับไปบอกมารีย์น้องสาวของเธอเป็นการส่วนตัว “อาจารย์มาแล้ว และถามหาน้องอยู่” เมื่อมารีย์ได้ยินว่า พระเยซูมา เธอก็รีบไปหาพระองค์ (พระเยซูยังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้าน แต่ยังคงอยู่ที่เดิมที่มารธาไปหา) เมื่อพวกยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพ เมื่อมารีย์ไปถึงก็เห็นพระเยซู เธอก้มลงกราบที่เท้าของพระองค์ และคร่ำครวญว่า “อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของดิฉันก็คงไม่ตาย” เมื่อพระเยซูเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามเธอมาร้องไห้ด้วย พระองค์ก็รู้สึกโกรธ และเป็นทุกข์ พระองค์ถามว่า “พวกคุณเอาศพเขาไปฝังไว้ที่ไหน” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ อาจารย์” พระเยซูร้องไห้ พวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากขนาดไหน” แต่บางคนก็พูดว่า “ผู้ชายคนนี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วทำไมเขาจะช่วยให้ลาซารัสรอดตาย ไม่ได้ล่ะ” พระเยซูรู้สึกโกรธอีก และเมื่อมาถึงอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสก็มีหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์อยู่ พระองค์จึงสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ” มารธาพี่สาวของลาซารัสจึงบอกพระองค์ว่า “อาจารย์คะ คงเหม็นแย่แล้วล่ะ เพราะเขาตายมาสี่วันแล้ว” พระเยซูบอกเธอว่า “คุณลืมแล้วหรือที่เราบอกว่า ถ้าคุณไว้วางใจ คุณจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” พวกเขาจึงเลื่อนหินออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้าขึ้นพูดว่า “พระบิดา ลูกขอขอบคุณพระองค์ที่ฟังลูก ลูกรู้ว่าพระองค์ฟังลูกอยู่เสมอ แต่ที่ลูกพูดก็เพื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา” หลังจากพระเยซูพูดจบ พระองค์ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมา โดยที่ยังมีผ้าลินินพันมือพันเท้า ที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่รอบ พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เป็นอิสระ” เมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ ก็พากันไว้วางใจพระองค์ แต่มีบางคนในพวกนั้นไปเล่าเรื่องนี้ให้พวกฟาริสีฟัง พวกหัวหน้านักบวช และพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสมาชิกสภาแซนฮีดริน แล้วพูดกันว่า “พวกเราจะทำยังไงดี ชายคนนี้ได้ทำสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้าเราขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ประชาชนจะแห่กันไปเชื่อเขาหมด และพวกโรมันก็จะมาทำลายวิหารและชาติของเรา” แต่มีชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขาชื่อ คายาฟาส ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณนี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังไม่เข้าใจอีกว่า การที่จะให้ชายคนหนึ่งตายแทนประชาชน ก็ยังดีกว่าให้คนทั้งชาติต้องมาถูกทำลาย” คายาฟาสไม่ได้คิดที่จะพูดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทำให้เขาพูดอย่างนั้น เพราะเขาเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พระเจ้าก็เลยทำให้คายาฟาสเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะตายแทนชนชาติยิว แล้วพระเยซูไม่ได้ตายแทนชนชาติยิวเท่านั้น แต่พระองค์ตายเพื่อรวบรวมลูกๆของพระเจ้าทุกคนที่กระจัดกระจายไปทั่วโลก ให้มาอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็หาทางที่จะฆ่าพระเยซู พระเยซูจึงไม่ไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยในหมู่คนยิวอีก พระองค์ออกจากหมู่บ้านเบธานีไปที่หมู่บ้านเอฟราอิม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แล้วพระองค์กับพวกศิษย์ก็พักอยู่ที่นั่น เมื่อใกล้ถึงเทศกาลวันปลดปล่อย มีคนมากมายจากชนบทหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเยรูซาเล็มก่อนหน้าเทศกาลไม่กี่วันเพื่อชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับเทศกาลนั้น ผู้คนได้เที่ยวมองหาพระเยซู และเมื่อพวกเขาอยู่ในบริเวณวิหาร ก็ถามกันว่า “เขาจะมางานนี้หรือเปล่านะ” พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีสั่งผู้คนว่าถ้าใครรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหนก็ให้มาบอกเพื่อว่าพวกเขาจะได้ไปจับพระองค์
ยอห์น 11:28-57 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปและเรียกมารีย์น้องสาวกระซิบว่า “พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า” เมื่อมารีย์ได้ยินแล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในเมือง แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น พวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนและกำลังปลอบโยนเธออยู่ เมื่อเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นและเดินออกไปจึงตามเธอไปพูดกันว่า “เธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์” ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย” ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงคร่ำครวญร้อนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ และตรัสถามว่า “พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน” เขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด” พระเยซูทรงพระกันแสง พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูเถิด พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” และบางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ” พระเยซูทรงคร่ำครวญร้อนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์ฝังศพนั้นเป็นถ้ำ มีศิลาวางปิดปากไว้ พระเยซูตรัสว่า “จงเอาศิลาออกเสีย” มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว” พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้า” พวกเขาจึงเอาศิลาออกเสียจากที่ซึ่งผู้ตายวางอยู่นั้น พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงเปล่งพระสุรเสียงตรัสว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันศพพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงแก้แล้วปล่อยเขาไปเถิด” ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์และได้เห็นการกระทำของพระเยซู ก็เชื่อในพระองค์ แต่พวกเขาบางคนไปหาพวกฟาริสี และเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้ฟัง ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วว่า “เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ทำการอัศจรรย์หลายประการ ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมก็จะมาริบเอาทั้งที่และชนชาติของเราไป” แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย และไม่พิจารณาด้วยว่า จะเป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่งเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปนั้น ให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์เสีย เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่ได้เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และทรงพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวกของพระองค์ ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว เขาทั้งหลายจึงแสวงหาพระเยซู และเมื่อเขาทั้งหลายยืนอยู่ในพระวิหารเขาก็พูดกันว่า “ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ” ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
ยอห์น 11:28-57 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า <<พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า>> เมื่อมารีย์ได้ยินแล้วเธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น เมื่อพวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนกำลังปลอบโยนเธออยู่ เห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป เขาทั้งหลายจึงตามเธอไป นึกว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า <<พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย>> เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ พระองค์ตรัสว่า <<พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน>> เขาทูลพระองค์ว่า <<พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด>> พระเยซูทรงพระกันแสง พวกยิวจึงกล่าวว่า <<ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร>> แต่บางคนก็พูดว่า <<ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ>> พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากไว้ พระเยซูตรัสว่า <<จงเอาหินออกเสีย>> มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า <<พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว>> พระเยซูตรัสกับเธอว่า <<เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า>> พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า <<ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา>> เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงเปล่งพระสุรเสียง ตรัสว่า <<ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด>> ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า <<จงแก้ผ้าที่พันออกเสีย แล้วปล่อยเขาเถิด>> ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ และได้เห็นการกระทำของพระเยซู ก็วางใจในพระองค์ แต่พวกเขาบางคนไปหาพวกฟาริสี เล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้ฟัง ฉะนั้นพวกมหาปุโรหิต และพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วว่า <<เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ทำสิ่งที่เป็นหมายสำคัญหลายประการ ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา>> แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า <<ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย และไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่ง แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ>> เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้า ที่กระจัดกระจายไปนั้นให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงคิดอ่านจะฆ่าพระองค์เสีย เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่ได้เสด็จออกจากที่นั่น ไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และทรงพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว เขาทั้งหลายพากันมองหาพระเยซู และเมื่อเขาทั้งหลายยืนอยู่ในบริเวณพระวิหาร เขาก็พูดกันว่า <<ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ>> ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
ยอห์น 11:28-57 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
หลังจากทูลดังนั้นแล้วนางก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวและบอกว่า “พระอาจารย์มาที่นี่แล้วและกำลังทรงถามหาเจ้า” เมื่อมารีย์ได้ฟังเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมาหาพระองค์ ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังทรงอยู่ในที่ซึ่งมารธามาพบพระองค์ เมื่อพวกยิวที่คอยปลอบใจมารีย์อยู่ที่บ้านเห็นว่านางรีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามนางมาเพราะคิดว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ เมื่อมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับและเห็นพระองค์ นางก็หมอบลงแทบพระบาทและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย” เมื่อพระเยซูทรงเห็นนางร้องไห้และพวกยิวที่มากับนางร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์และสะเทือนพระทัยยิ่งนัก และตรัสถามว่า “พวกท่านวางเขาไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลว่า “มาทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าข้า” พระเยซูทรงร้องไห้ แล้วพวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ พระองค์ทรงรักเขามากแค่ไหน!” แต่บางคนพูดว่า “พระองค์ผู้ทำให้คนตาบอดเห็นได้ จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?” อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยยิ่งนัก พระองค์เสด็จมาที่อุโมงค์ฝังศพซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินก้อนหนึ่งปิดทางเข้า พระองค์ตรัสว่า “เอาหินออก” มารธาพี่สาวของผู้ตายทูลว่า “แต่พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้คงมีกลิ่นเหม็นแล้วเพราะเขาอยู่ในอุโมงค์มาสี่วันแล้ว” จากนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า “เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า?” ดังนั้นพวกเขาจึงเอาหินออก แล้วพระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นและตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสดับฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์เสมอ แต่ที่ทูลเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของผู้คนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูทรงเรียกด้วยเสียงอันดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด!” ผู้ตายก็ออกมามีแถบผ้าลินินพันมือและเท้าของเขาและมีผ้าผืนหนึ่งคลุมศีรษะเว้นแต่ใบหน้าของเขาไว้ พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาผ้าพันศพออกและปล่อยเขาเถิด” ดังนั้นชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์และได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำก็เชื่อพระองค์ แต่พวกเขาบางคนไปพบพวกฟาริสีและเล่าสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้พวกนั้นฟัง แล้วบรรดาหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสภาแซนเฮดริน พวกเขาถามกันว่า “เราทำอะไรได้บ้าง? ชายคนนี้กำลังทำหมายสำคัญหลายอย่าง ถ้าเราขืนปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อไปทุกคนก็จะพากันเชื่อเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาเอาทั้งพระวิหารและชาติของเราไป” จากนั้นคนหนึ่งในพวกเขาชื่อคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านไม่รู้อะไรเลย! พวกท่านไม่ได้ตระหนักว่า สำหรับพวกท่านแล้ว การให้คนหนึ่งตายเพื่อประชาชนยังดียิ่งกว่าให้ทั้งชาติต้องพินาศ” เขาไม่ได้กล่าวดังนี้ตามความคิดของเขาเองแต่ในฐานะมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น เขาพยากรณ์ว่าพระเยซูจะตายเพื่อชนชาติยิว และไม่เพียงแต่ชนชาตินั้นแต่ยังตายเพื่อบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่เพื่อนำพวกเขาเข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นมาพวกเขาจึงวางแผนจะเอาชีวิตของพระองค์ เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่ชาวยิวอย่างเปิดเผยอีกต่อไปแต่ทรงปลีกตัวไปอยู่ที่หมู่บ้านเอฟราอิมใกล้ถิ่นกันดาร พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นกับเหล่าสาวกของพระองค์ เมื่อใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว ผู้คนมากมายจากชนบทเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมชำระตนตามระเบียบพิธีก่อนเทศกาลปัสกา เขาทั้งหลายเฝ้ามองหาพระเยซู ขณะยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารพวกเขาถามกันว่า “ท่านคิดเห็นอย่างไร? พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้เลยหรือ?” ฝ่ายพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีสั่งไว้ว่าถ้าผู้ใดรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่ไหนให้มารายงาน พวกเขาจะได้ไปจับพระองค์
ยอห์น 11:28-57 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
เมื่อเธอพูดเช่นนี้แล้วก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวของเธอ และบอกเธอเป็นการส่วนตัวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่และกำลังตามหาตัวเธออยู่” เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นไปหาพระองค์ ขณะนั้นพระเยซูยังไม่เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังอยู่ที่ที่มาร์ธาพบพระองค์ ชาวยิวที่อยู่กับเธอในบ้านกำลังปลอบโยนเธอ เมื่อเห็นว่ามารีย์รีบลุกขึ้นออกไปจึงตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอกำลังจะไปร้องไห้ที่ถ้ำเก็บศพ มารีย์มายังที่ที่พระเยซูอยู่ เมื่อเธอเห็นพระองค์แล้วก็ทรุดตัวลงหมอบแทบเท้า และพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย” เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้อยู่และชาวยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์เป็นทุกข์และสะเทือนใจมาก จึงกล่าวว่า “เจ้าเอาตัวเขาไปไว้ที่ไหน” คนเหล่านั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดมาดูเถิด” พระเยซูร้องไห้ ชาวยิวจึงพากันพูดว่า “ดูเถิดว่าพระองค์รักเขาเพียงไร” แต่บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วจะกันไม่ให้คนนี้ตายไม่ได้หรือ” พระเยซูยิ่งรู้สึกสะเทือนใจขึ้นอีก พระองค์ไปยังที่เก็บศพ ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินพิงปิดทางเข้าอยู่ พระเยซูกล่าวว่า “จงเลื่อนหินออกเสีย” มาร์ธาพี่สาวของคนตายจึงพูดว่า “พระองค์ท่าน เขาตายไปได้ 4 วันแล้ว ป่านนี้คงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว” พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” เขาเหล่านั้นจึงเลื่อนหินออก พระเยซูแหงนหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “พระบิดา ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ฟังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่เป็นเพราะผู้คนที่กำลังยืนอยู่รอบตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวเช่นนี้เพื่อว่าพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา” เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้ว จึงร้องขึ้นเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด” คนที่ตายไปแล้วก็ออกมา ทั้งมือและเท้ามีริ้วผ้าป่านพันไว้ ที่หน้าก็มีผ้าห่อหุ้มไว้ด้วย พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “จงแก้ริ้วผ้าที่พันออกเสียและปล่อยให้เขาไป” ชาวยิวจำนวนมากที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระองค์ก็เชื่อในพระองค์ แต่ชาวยิวบางคนได้กลับไปหาพวกฟาริสีเพื่อบอกถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเยซูได้กระทำ ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงเรียกประชุมศาสนสภา และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกัน ชายผู้นี้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากมาย ถ้าพวกเราปล่อยให้เขาดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ทุกคนก็จะเชื่อเขา และพวกชาวโรมันจะมายึดเอาบ้านช่องและประเทศชาติของเราไป” คายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตในเวลานั้นพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่รู้อะไรเสียเลย และไม่ได้ระลึกถึงประโยชน์ของตนว่า ให้คนหนึ่งตายแทนคนทั้งปวง ย่อมดีกว่ายอมให้ประเทศชาติพินาศไป” เขาไม่ได้พูดเพราะเจตนาของเขาเอง แต่ในปีนั้นเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตและได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะสิ้นชีวิตเพื่อประเทศชาตินั้น และไม่ใช่เพื่อประเทศชาติแต่เพียงเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปต่างแดนให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย ตั้งแต่วันนั้นมาคนเหล่านั้นก็ร่วมกันวางแผนเพื่อจะฆ่าพระองค์ ดังนั้นพระเยซูจึงไม่แสดงตนอยู่ร่วมกับพวกชาวยิวอย่างเปิดเผย แต่ออกไปยังเมืองเอฟราอิมซึ่งเป็นดินแดนอยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร พระองค์อยู่ที่นั่นกับบรรดาสาวก ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว จึงมีคนจำนวนมากเดินทางมาจากแว่นแคว้นนอกเมือง ไปยังเมืองเยรูซาเล็มก่อนงานเทศกาลเพื่อชำระตน คนเหล่านั้นพยายามตามหาพระเยซู ขณะที่ยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารก็พูดโต้ตอบกันว่า “ท่านคิดว่าพระองค์จะไม่มาในงานเทศกาลเลยหรือ” พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีออกคำสั่งว่า ถ้าผู้ใดทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหนก็จะต้องรายงานให้ทราบ เพื่อพวกเขาจะได้จับกุมพระองค์ไว้