ปฐมกาล 31:1-55

ปฐมกาล 31:1-55 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ยาโคบได้ยินบุตรชายของลาบันบ่นว่า <<ยาโคบแย่งทรัพย์ของบิดาเราไปหมด เขาได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้มาจากทรัพย์สมบัติของบิดาเรา>> ยาโคบสังเกตดูลาบันเห็นว่าเขาไม่มองหน้าเอาทีเดียว ไม่เหมือนแต่ก่อน พระเจ้าตรัสสั่งยาโคบว่า <<จงกลับไปยังดินแดนบิดาและญาติพี่น้องของเจ้าเถิด เราจะอยู่กับเจ้า>> ยาโคบก็ให้คนไปเรียกนางราเชลและนางเลอาห์ ให้มาที่ทุ่งนาที่เลี้ยงฝูงสัตว์ แล้วบอกนางทั้งสองว่า <<ฉันเห็นว่าบิดาเจ้าไม่มองหน้าฉันเอาทีเดียว ไม่เหมือนแต่ก่อน แต่พระเจ้าของบิดาฉันสถิตกับฉัน เจ้าทั้งสองรู้แล้วว่า ฉันรับใช้บิดาของเจ้าด้วยเต็มกำลัง บิดาของเจ้ายังบิดพริ้วต่อฉัน และเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเสียสิบครั้งแล้ว แต่พระเจ้ามิได้ทรงอนุญาตให้เขาทำความเสียหายแก่ฉัน เมื่อบิดาบอกว่า <สัตว์ที่ด่างเป็นค่าจ้างของเจ้า> สัตว์ทุกตัวก็มีลูกด่าง เมื่อบิดาบอกว่า <สัตว์ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า> สัตว์ทุกตัวก็มีลูกลายหมด ดังนี้แหละพระเจ้าจึงทรงยกสัตว์ของบิดาเจ้าประทานให้แก่ฉัน ครั้นมาในฤดูที่สัตว์เหล่านั้นอยากติดสัด ฉันแหงนหน้าขึ้นดู ก็เห็นในความฝันว่า แพะตัวผู้ที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้นเป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะลายเป็นแถบๆ ในความฝันนั้นทูตสวรรค์เรียกฉันว่า <ยาโคบเอ๋ย> ฉันตอบว่า <พระเจ้าข้า> ท่านบอกว่า <เงยหน้าขึ้นดู แพะตัวผู้ที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้น เป็นสัตว์ลายด่างและลายเป็นแถบๆ เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่เจ้าเจิมเสาศักดิ์สิทธิ์ไว้และปฏิญาณ บัดนี้จงลุกขึ้นออกจากดินแดนนี้ และกลับไปยังดินแดนที่เจ้าเกิดมา> >> นางราเชลกับนางเลอาห์จึงตอบว่า <<เรายังมีส่วนทรัพย์มรดกในบ้านบิดาเราอีกหรือไม่ บิดานับเราเหมือนแขกเมืองมิใช่หรือ เพราะบิดาขายเรา ทั้งยังกินเงินของเราหมด ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเอามาจากบิดาของเรา นั่นแหละเป็นของของเรากับลูกหลานของเรา บัดนี้พระเจ้าตรัสสั่งท่านอย่างไร ก็ขอให้ทำอย่างนั้นเถิด>> ดังนั้น ยาโคบจึงเตรียมตัวและให้บุตรภรรยาขึ้นขี่อูฐ แล้วต้อนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเขาไป ขนข้าวของทั้งสิ้นที่เขาได้กำไรมา สัตว์เลี้ยงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ที่เขาหามาได้ในเมืองปัดดานอารัม เดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของเขาในแคว้นคานาอัน เวลานั้นลาบันออกไปตัดขนแกะ ฝ่ายราเชลก็ลักรูปเคารพประจำบ้านของบิดาไปด้วย ฝ่ายยาโคบก็เอาเปรียบลาบันคนอารัม ในการที่มิได้บอกให้รู้ว่าตนตั้งใจจะหนี ยาโคบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดหนีข้ามแม่น้ำยูเฟรติสบ่ายหน้า ไปยังถิ่นเทือกเขากิเลอาด ครั้นถึงวันที่สาม มีคนไปบอกลาบันว่ายาโคบหนีไปแล้ว ลาบันก็พาญาติพี่น้องออกติดตามไปเจ็ดวัน ก็ทันยาโคบในถิ่นเทือกเขากิเลอาด แต่ในกลางคืนพระเจ้าทรงมาปรากฏ แก่ลาบันคนอารัมในความฝัน ตรัสแก่เขาว่า <<ระวังอย่าพูดกับยาโคบเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย>> ลาบันตามมาทันยาโคบ ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ที่ถิ่นเทือกเขา ส่วนลาบันกับญาติพี่น้อง ตั้งอยู่ถิ่นเทือกเขากิเลอาด ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า <<ทำไมเจ้าโกงเราอย่างนี้ พาบุตรีของเราหนีมาเหมือนเชลยศึก เหตุไฉนเจ้าจึงหนีเรามาอย่างลับๆ แอบมาโดยไม่บอกให้เรารู้ ถ้าเรารู้เราก็จะจัดส่งเจ้าไปด้วยความร่าเริงยินดี โดยให้มีการขับร้องด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่ ทำไมเจ้าไม่ยอมให้เราจุบลาบุตรชายและบุตรีของเราเล่า นี่เจ้าทำอย่างโง่เขลาแท้ๆ เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว เราจะทำอันตรายแก่เจ้าก็ได้ แต่คืนวานนี้พระเจ้าของบิดาเจ้าตรัสว่า <ระวังอย่าพูดดี หรือร้ายกับยาโคบเลย> บางทีเจ้าหนีมาเพราะคิดถึงบ้านบิดาเจ้ามาก แต่ทำไมเจ้าถึงลักรูปพระของเรามา>> ยาโคบจึงตอบลาบันว่า <<เพราะว่าข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะริบบุตรีของท่านคืน จากข้าพเจ้าเสีย ส่วนพระของท่านนั้นถ้าพบที่คนไหน ก็อย่าไว้ชีวิตผู้นั้นเลย ค้นดูต่อหน้าญาติพี่น้องของเรา ท่านพบสิ่งใดที่เป็นของท่าน ก็เอาไปเถิด>> ยาโคบไม่รู้ว่าราเชลลักรูปเหล่านั้นมา ลาบันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์ของเลอาห์ และเต็นท์สาวใช้ทั้งสองคนนั้น แต่หาไม่พบ จึงออกจากเต็นท์ของเลอาห์ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของราเชล ส่วนราเชลเอารูปเคารพประจำบ้าน เหล่านั้นซ่อนไว้ในกูบอูฐและนั่งทับไว้ ลาบันได้คลำดูทั่วเต็นท์ ก็หาไม่พบ ราเชลก็พูดกับบิดาว่า <<ขอพ่ออย่าโกรธเลย ที่ดิฉันลุกขึ้นต้อนรับไม่ได้ ด้วยว่าดิฉันกำลังลำบากตามธรรมดาของผู้หญิง>> ดังนั้นลาบันก็ค้นดูแล้ว แต่ไม่พบรูปเคารพประจำบ้านเลย ส่วนยาโคบก็โกรธและต่อว่าลาบัน ยาโคบกล่าวกับลาบันว่า <<ฉันทำผิดต่อท่านประการใด ฉันทำบาปอะไร ท่านจึงติดตามฉันมาดังนี้ ท่านคลำดูของของฉันทั้งหมดแล้ว ท่านพบอะไรที่เป็นของมาจากบ้านของท่าน ก็เอามาตั้งไว้ที่นี่ ตรงหน้าญาติพี่น้องทั้งสองฝ่าย ให้เขาตัดสินความระหว่างเราทั้งสอง ฉันอยู่กับท่านมายี่สิบปีแล้ว แกะและแพะมิได้แท้งลูก และแกะตัวผู้ในฝูงของท่าน ฉันก็มิได้กิน ที่สัตว์ร้ายกัดฉีกกินเสีย ฉันก็มิได้นำมาให้ท่าน ฉันเองสู้ใช้ให้ ที่ถูกขโมยไปในเวลากลางวันหรือกลางคืน ท่านก็หักจากฉันทั้งนั้น เวลากลางวันแดดก็เผาฉัน เวลากลางคืนความหนาวก็ผลาญฉัน ฉันนอนไม่หลับ ฉันอาศัยอยู่ในเรือนของท่านยี่สิบปีแล้ว ฉันได้รับใช้ท่านสิบสี่ปีเพื่อได้บุตรีสองคนของท่าน และรับใช้ท่านหกปีเพื่อได้ฝูงสัตว์ของท่าน ท่านยังเปลี่ยนค่าจ้างสิบครั้ง ถ้าพระเจ้าของบิดาฉัน พระเจ้าของอับราฮัมและซึ่งอิสอัคยำเกรง ไม่ทรงสถิตอยู่กับฉันแล้ว ครั้งนี้ท่านคงให้ฉันไปตัวเปล่าเป็นแน่ พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของฉัน และการงานตรากตรำที่มือฉันทำ จึงทรงห้ามท่านเมื่อคืนวานนี้>> แล้วลาบันตอบยาโคบว่า <<บุตรีเหล่านี้ก็เป็นบุตรีของเรา เด็กเหล่านี้ก็เป็นเด็กของเรา ฝูงสัตว์ทั้งฝูงนี้ก็เป็นของเรา ของทั้งสิ้นที่เจ้าเห็นก็เป็นของเรา วันนี้เราจะกระทำอะไรแก่ลูกสาวของเราหรือแก่เด็กๆที่เกิดมาจากเขา มาเถิด ให้เราทำพันธสัญญาทั้งเจ้ากับเรา ให้พันธสัญญานั้นเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา>> ฝ่ายยาโคบก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้เป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ แล้วยาโคบจึงพูดกับญาติพี่น้องว่า <<เก็บก้อนหินมา>> เขาเก็บก้อนหินมากองสุมไว้ แล้วก็กินเลี้ยงกันที่กองหินนั้น ลาบันจึงตั้งชื่อกองหินนั้นว่า เยการ์สหดูธา แต่ยาโคบตั้งชื่อว่า กาเลเอด ลาบันกล่าวว่า <<วันนี้กองศิลานี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า>> เหตุฉะนี้เขาจึงตั้งชื่อว่า กาเลเอด และมิสปาห์ เพราะเขากล่าวว่า <<พระเจ้าทรงเฝ้าอยู่ระหว่างเจ้ากับเรา เมื่อเราจากกันไป ถ้าเจ้าข่มเหงบุตรีของเรา หรือเจ้าได้ภรรยาอื่นนอกจากบุตรีของเรา แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่กับเราก็จริง แต่จงจำไว้เถิดว่า พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา>> ลาบันบอกยาโคบว่า <<ดูกองหินและเสาหินนี้ ที่เราตั้งไว้ระหว่างเจ้ากับเรา หินกองนี้เป็นพยาน และเสานั้นก็เป็นพยานว่า เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินนี้และเสานี้มาหาเรา เพื่อทำอันตรายกัน ให้พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของนาโฮร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบิดาของเขาทั้งสองทรงตัดสิน ความระหว่างเรา>> ยาโคบก็สาบานโดยอ้างถึงผู้ที่อิสอัคบิดาของตนยำเกรง ยาโคบถวายเครื่องบูชาบนภูเขา และเรียกญาติพี่น้องของตนมารับประทานขนมปัง พวกเขารับประทานขนมปังและอยู่ที่บนภูเขาตลอดคืนวันนั้น ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้ามืด จูบหลานและบุตรีอวยพรแก่เขา แล้วก็ออกเดินทางกลับไปบ้าน

ปฐมกาล 31:1-55 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

ยาโคบ​ได้ยิน​พวกลูกชาย​ของ​ลาบัน​คุย​กัน​ว่า “ยาโคบ​เอา​ทุกสิ่ง​ทุกอย่าง​ที่​เป็น​ของ​พ่อ​พวกเรา​ไป​หมดแล้ว และ​ที่​เขา​ร่ำรวย​อยู่​นี้ ก็​มา​จาก​ของ​พ่อ​พวกเรา​ทั้งนั้น” แล้ว​ยาโคบ​สังเกต​เห็น​สีหน้า​และ​แววตา​ของ​ลาบัน​ที่มี​ต่อ​เขา​นั้น​เปลี่ยน​ไป​ไม่​เหมือนเดิม แล้ว​พระยาห์เวห์​พูด​กับ​ยาโคบ​ว่า “กลับ​ไป​ยัง​แผ่นดิน​ของ​บรรพบุรุษ​เจ้า​และ​ครอบครัว​ของ​เจ้า​ได้​แล้ว เรา​จะ​อยู่​กับ​เจ้า” ยาโคบ​จึง​เรียก​คน​ไป​ตาม​ราเชล​และ​เลอาห์​ให้​มา​เจอกัน​ที่​ฝูงสัตว์​ใน​ท้องทุ่ง ยาโคบ​บอก​กับ​พวกเขา​ว่า “พี่​สังเกต​เห็น​สีหน้า​ของ​พ่อ​พวกน้อง​ที่มี​ต่อ​พี่​นั้น​เปลี่ยน​ไป​ไม่​เหมือนเดิม แต่​พระเจ้า​ของ​พ่อพี่​อยู่​กับ​พี่ น้อง​ก็​รู้​ว่า​พี่​ได้​ทำงาน​ให้​กับ​พ่อ​ของ​น้อง​อย่าง​เต็มที่ แต่​พ่อ​ของ​น้อง​โกงพี่ และ​เปลี่ยน​แปลง​ค่าแรง​ของ​พี่​เป็น​สิบครั้ง​แล้ว แต่​พระเจ้า​ไม่​ปล่อย​ให้​เขา​ทำร้าย​พี่​หรอก ถ้า​ลาบัน​พูด​ว่า ‘สัตว์​ทุกตัว​ที่​เป็นจุด​จะ​เป็น​ค่าจ้าง​ของ​เจ้า’ สัตว์​ทุกตัว​ก็​ออก​ลูก​มา​เป็นจุด ถ้า​เขา​พูด​ว่า ‘สัตว์​ทุกตัว​ที่​เป็นลาย​จะ​เป็น​ค่าจ้าง​ของ​เจ้า’ สัตว์​ทุกตัว​ก็​ออก​ลูก​มา​เป็นลาย พระเจ้า​ได้​เอา​ฝูงสัตว์​ของ​พ่อ​น้อง​ไป และ​เอา​มา​ให้​กับ​พี่ ใน​ช่วง​ฤดู​ที่​สัตว์​ผสมพันธุ์​กัน​นั้น พี่​ได้​ฝัน​เห็น​ฝูงแพะ​ตัวผู้​ที่​กำลัง​ผสมพันธุ์​กัน​นั้น​เป็นจุด เป็นด่าง และ​มี​ลาย​ตามตัว และ​ทูตสวรรค์​ของ​พระเจ้า​พูด​กับ​พี่​ใน​ความฝัน​ว่า ‘ยาโคบ’ แล้ว​พี่​ก็​ตอบ​ว่า ‘ผม​อยู่​นี่​ครับ’ ทูตสวรรค์​พูด​ว่า ‘มอง​ดู​สิ แพะ​ตัวผู้​ทุกตัว​ที่​กำลัง​ผสมพันธุ์​กัน​นั้น​มี​ลาย เป็นจุด​และ​เป็นด่าง เพราะ​เรา​ได้​เห็น​ทุกสิ่ง​ทุกอย่าง​ที่​ลาบัน​ได้​ทำ​กับ​เจ้า เรา​เป็น​พระเจ้า​แห่ง​เบธเอล​ที่​ที่​เจ้า​ได้​เจิม​เสาหิน และ​ที่​ที่​เจ้า​ได้​สาบาน​กับ​เรา บัดนี้ ลุกขึ้น และ​ไป​จาก​ที่นี่​ซะ และ​กลับไป​ยัง​แผ่นดิน​ของ​ครอบครัว​เจ้า’” แล้ว​ราเชล​และ​เลอาห์​ตอบ​ยาโคบ​ว่า “พ่อ​ของ​เรา​ไม่มี​อะไร​เหลือ​ให้​กับ​เรา​ทั้ง​สอง​คน​แล้ว​เมื่อ​เขา​ตาย เขา​ทำ​กับ​เรา​เหมือน​คน​ต่าง​ชาติ เพราะ​เขา​ได้​ขาย​เรา​ให้​กับ​พี่ แล้ว​ใช้เงิน​ที่​ควรจะ​เป็น​ของเรา​ไป​จน​หมด​แล้ว ความ​มั่งคั่ง​ทั้งหมด​ที่​พระเจ้า​ได้​เอา​ไป​จาก​พ่อ​ของ​เรา อันที่จริง​แล้ว​มัน​เป็น​ของเรา​และ​ลูกๆ​ของเรา ตอนนี้​ให้​พี่​ทำ​ทุกอย่าง​ตามที่​พระเจ้า​บอก​พี่​เถิด” แล้ว​ยาโคบ​ก็​ลุกขึ้น และ​ให้​พวกลูกเมีย​ของเขา​ขึ้น​ขี่​อูฐ แล้ว​ยาโคบ​ได้​ต้อน​พวก​สัตว์​เลี้ยง​ทั้งหมด รวมทั้ง​เอา​ทรัพย์สิน​ทั้งหมด​ที่​เขา​หา​ได้​ตอนที่​อยู่​ปัดดาน อารัม เดินทาง​ไป​หา​อิสอัค​พ่อ​ของเขา​ใน​แผ่นดิน​คานาอัน ใน​เวลานั้น​ลาบัน​ได้​ออก​ไป​ตัด​ขนแกะ​จาก​ฝูงแกะ​ของเขา และ​ราเชล​ได้​ขโมย​พวกพระ​ประจำ​ครอบครัว​ของพ่อ​นาง​ไป​ด้วย ยาโคบ​หลอก​ลาบัน​ชาว​อารัม คือ​ไม่ยอม​บอก​ลาบัน​ว่า​เขา​กำลัง​จะ​จาก​ไป ยาโคบ​รีบ​หนี​ไป​พร้อมกับ​ทุกอย่าง​ที่​เขา​มี เขา​เริ่ม​ออก​เดินทาง​และ​ข้าม​แม่น้ำ​ยูเฟรติส มุ่งหน้า​ไป​ยัง​แถบ​เนินเขา​กิเลอาด ใน​วันที่​สาม มี​คน​มา​บอก​ลาบัน​ว่า​ยาโคบ​ได้​หลบหนี​ไป​แล้ว ลาบัน​จึง​พา​ญาติพี่น้อง​ออก​ไล่ตาม​ยาโคบ​ไป​ถึง​เจ็ด​วัน และ​ก็​ตาม​ยาโคบ​ทัน​ที่​แถบ​เนินเขา​กิเลอาด ใน​คืนนั้น​พระเจ้า​ได้​มา​หา​ลาบัน​ชาว​อารัม​ใน​ความฝัน พระองค์​พูด​กับ​ลาบัน​ว่า “ระวัง​ให้ดี อย่า​ได้​ขู่​ทำร้าย​ยาโคบ” ลาบัน​ได้​ไล่​ตาม​ยาโคบ​มา​ทัน ยาโคบ​ตั้ง​เต็นท์​อยู่​ใน​แถบ​เนินเขา และ​ลาบัน​ได้​ตั้ง​เต็นท์​ของเขา​อยู่​ใน​แถบ​เนินเขา​กิเลอาด ลาบัน​พูด​กับ​ยาโคบ​ว่า “นี่​เจ้า​ทำ​อะไร​ลงไป เจ้า​หลอกลวง​ลุง​ทำไม และ​เจ้า​ได้​พา​ลูกสาว​ของ​ลุง​หนี​มา​เหมือน​เชลยศึก ทำไม​เจ้า​ต้อง​หลบหนี​มา และ​หลอกลวง​ไม่ยอม​บอก​ลุง ถ้า​เจ้า​บอก​ลุง ลุง​จะ​ได้​จัด​งานเลี้ยงส่ง​เจ้า​อย่าง​สนุก​สนาน​ครื้นเครง​ด้วย​เสียงเพลง​จาก​กลองรำมะนา​และ​พิณ เจ้า​ยัง​ไม่ให้​ลุง​จูบลา​พวกหลานๆ​และ​ลูกสาว​ของ​ลุง​ด้วย เจ้า​ทำ​ตัว​โง่​จริงๆ ลุง​มี​อำนาจ​ที่​จะ​ทำร้าย​พวกเจ้า แต่​เมื่อคืนนี้​พระเจ้า​ของ​พ่อ​เจ้า​ได้​มา​บอก​กับ​ลุง​ว่า ‘ระวัง​ให้ดี อย่า​ได้​ขู่​ทำร้าย​ยาโคบ’ แต่​ตอนนี้ เจ้า​ก็​ได้​จาก​มา​แล้ว เพราะ​คิดถึง​บ้าน​ของ​พ่อ​เจ้า​มาก แต่​ทำไม​เจ้า​ถึง​ต้อง​ขโมย​พวกพระ​ประจำบ้าน​ของ​ลุง​มา​ด้วย” ยาโคบ​ตอบ​ลาบัน​ว่า “ที่​ผม​ต้อง​หนี​มา​ก็​เพราะ​ผม​กลัว เพราะ​ผม​คิดว่า​ลุง​จะ​ต้อง​ยึด​เอา​ลูกสาว​ทั้ง​สอง​คน​ของ​ลุง​คืน​ไป​จาก​ผม​แน่ แต่​ถ้า​ลุง​เจอ​พระ​ของ​ลุง​อยู่​กับ​ใคร คนๆนั้น​จะ​ต้อง​ตาย ให้​พวกญาติๆ​ของ​ลุง​เป็น​พยาน ชี้​เลย​ถ้า​ลุง​เห็น​อะไร​ที่​เป็น​ของ​ลุง​แล้ว​มา​อยู่​ที่นี่​กับ​ผม ลุง​เอา​กลับ​ไป​ได้​เลย” แต่​ยาโคบ​ไม่รู้ว่า​ราเชล​ได้​ขโมย​พระ​พวกนั้น​มา ลาบัน​จึง​เข้า​ไป​ใน​เต็นท์​ของ​ยาโคบ ของ​เลอาห์ และ​ของ​สาวใช้​ทั้ง​สอง​คน​ด้วย แต่​หา​ไม่เจอ แล้ว​ลาบัน​ออก​จาก​เต็นท์​ของ​เลอาห์ แล้ว​เข้า​ไป​ใน​เต็นท์​ของ​ราเชล ตอนนั้น​ราเชล​ได้​เอา​พระ​พวกนั้น​ไป​ซ่อน​ไว้​ใน​อานอูฐ และ​นั่ง​ทับ​พวกมัน​ไว้ ลาบัน​คลำ​หา​ไป​ทั่ว​เต็นท์​แต่​ไม่พบ ราเชล​พูด​กับ​พ่อ​ว่า “อย่า​โกรธ​ฉัน​เลย​นะ​พ่อ ที่​ฉัน​ไม่ได้​ยืน​ขึ้น​มา​ต้อนรับ​พ่อ เพราะ​ฉัน​กำลัง​มี​ประจำเดือน​อยู่” ลาบัน​ได้​ค้นหา​จนทั่ว แต่​ไม่พบ​พระ​ประจำบ้าน​พวกนั้น ยาโคบ​จึง​โกรธ และ​ได้​ต่อว่า​ลาบัน ยาโคบ​ถาม​ลาบัน​ว่า “ผม​ได้​ทำ​ผิด​อะไร​ร้ายแรง​หรือ ผม​ได้​ทำ​บาป​อะไร​ลง​ไป ลุง​ถึง​ได้​ไล่ตาม​ผม​มา​อย่าง​นี้ ถึงแม้​ว่า​ลุง​ได้​คลำ​หา​ของๆ​ผม​จนทั่ว​แล้ว ลุง​ก็​หา​อะไร​ที่​เป็น​ของ​ลุง​ไม่พบ​เลย​สักชิ้น ถ้า​พบ​ก็​เอา​มัน​ออก​มา​วาง​ต่อหน้า​ญาติ​ของ​ผม​และ​ญาติ​ของ​ลุง​เลย แล้ว​ให้​พวกเขา​ตัดสิน​ระหว่าง​เรา​สอง​คน ตลอด​ยี่สิบปี​ที่​ผม​อยู่​กับ​ลุง แกะ​และ​แพะ​ตัวเมีย​สัก​ตัว​ก็​ไม่เคย​แท้ง​ลูก และ​ผม​ก็​ไม่เคย​กิน​แกะ​ตัวผู้​จาก​ฝูง​ของ​ลุง​เลย ทุกครั้ง​ที่​สัตว์​ของ​ลุง​ถูก​สัตว์ป่า​กัดกิน ผม​ก็​ยอม​ชดใช้​ค่าเสียหาย​เอง ไม่เคย​เอา​ซาก​มา​ให้​ลุง​ดู แล้ว​บอก​ว่า​ผม​ไม่ผิด ลุง​ให้​ผม​ต้อง​รับผิดชอบ​อยู่ดี ไม่ว่า​มัน​จะ​ถูก​ขโมย​ไป​จาก​ผม​ตอน​กลางวัน​หรือ​กลางคืน ใน​ตอน​กลางวัน​ผม​ถูก​แสงแดด​แผดเผา​จน​หมดแรง ใน​ตอน​กลางคืน​ผม​ก็​หนาวเหน็บ​จน​นอน​ไม่หลับ ตลอด​ยี่สิบปีนี้​ที่​ผม​อยู่​ใน​บ้าน​ของ​ลุง ผม​ได้​ทำงาน​อย่าง​หนัก สิบสี่ปี​แรก​เพื่อ​แลก​กับ​ลูกสาว​สอง​คน​ของ​ลุง และ​อีก​หกปีหลัง​เพื่อ​ฝูงสัตว์​ของ​ลุง และ​ลุง​ก็​เปลี่ยน​ค่าจ้าง​ของ​ผม​เป็น​สิบครั้ง ถ้า​พระเจ้า​ของ​พ่อ​ผม พระเจ้า​ของ​อับราฮัม พระองค์​ผู้​ที่​อิสอัค​เกรง​กลัว ไม่ได้​อยู่​ฝ่าย​ผม​แล้ว​ละก็ ตอนนี้​ลุง​คง​ส่ง​ผม​กลับไป​มือเปล่า​แน่ๆ พระเจ้า​ได้เห็น​ถึง​ความ​ยาก​ลำบาก​และ​งานหนัก​ที่​ผม​ลงมือ​ทำ พระองค์​ถึง​ได้​เตือน​ลุง​เมื่อคืนนี้” แล้ว​ลาบัน​ตอบ​ยาโคบ​ว่า “พวกลูกสาวนี้​ก็​เป็น​ลูกสาว​ของ​ลุง พวกเด็กนี้​ก็​เป็น​เด็ก​ของลุง ฝูงสัตว์​พวกนั้น​ก็​เป็น​ฝูงสัตว์​ของ​ลุง ทุกสิ่ง​ทุกอย่าง​ที่​เจ้า​เห็น​ก็​เป็น​ของ​ลุง​ทั้งนั้น แต่​วันนี้​ลุง​จะ​ทำ​อะไร​ได้​กับ​ลูกสาว​พวกนี้​ของ​ลุง หรือ​เด็กๆ​ที่​พวกเขา​เกิด​มา มาเถิด ให้​เรา​มา​ทำ​ข้อตกลง​กัน​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ลุง และ​ขอ​ให้​มี​พยาน​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ลุง” ยาโคบ​ได้​เอา​หิน​มา​ก้อน​หนึ่ง​ตั้งขึ้น​เป็น​แท่งหิน แล้ว​ยาโคบ​ก็​พูด​กับ​ญาติๆ​ของเขา​ว่า “ไป​เก็บ​ก้อนหิน​มา​รวมกัน​ที่นี่” แล้ว​พวกเขา​ได้​ไป​เก็บ​ก้อนหิน​มา​รวมกัน​จน​เป็น​กอง แล้ว​พวกเขา​ได้​กิน​อาหาร​กัน​ข้าง​กองหิน​นั้น ลาบัน​จึง​เรียก​สถานที่​นั้น​ว่า “เยการ์สหดูธา” ส่วน​ยาโคบ​เรียก​มัน​ว่า “กาเลเอด” แล้ว​ลาบัน​พูด​ว่า “ใน​วันนี้ กองหิน​นี้​ได้​เป็น​พยาน​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ลุง” ดังนั้น​มัน​จึง​มี​ชื่อ​เรียกว่า “กาเลเอด” และ “มิสปาห์” เพราะ​ลาบัน​พูด​ว่า “ขอ​ให้​พระยาห์เวห์​เฝ้าดู​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ลุง ตอนที่​เรา​แยก​จาก​กัน ถ้า​เจ้า​ทำร้าย​ลูกสาว​ทั้ง​สอง​คน​ของ​ลุง หรือ​ถ้า​เจ้า​เอา​เมีย​อื่น​อีก​นอกเหนือ​จาก​ลูกสาว​ของ​ลุง ถึงแม้​จะ​ไม่มี​ใคร​อยู่​กับ​พวกเรา​ก็​ตาม ให้​จำไว้​ว่า​พระเจ้า​ได้​เป็น​พยาน​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ลุง” ลาบัน​พูด​กับ​ยาโคบ​ว่า “ดู​กองหิน​และ​เสาหิน​ที่​เรา​ได้​ตั้ง​ขึ้นมา​ไว้​ระหว่าง​เรา​สิ กองหิน​นี้​ก็​เป็น​พยาน เสาหิน​นี้​ก็​เป็น​พยาน ว่า​ลุง​จะ​ไม่ข้าม​กองหิน​นี้​ไป​ฝั่ง​เจ้า และ​เจ้า​ก็​จะ​ไม่ข้าม​กองหิน​และ​เสาหิน​นี้​มา​ฝั่ง​ลุง เพื่อ​ทำร้าย​กัน ขอให้​พระเจ้า​ของ​อับราฮัม​และ​พระเจ้า​ของ​นาโฮร์ (พระเจ้า​ของ​บรรพบุรุษ​ของ​พวกเขา) ตัดสิน​ระหว่าง​เรา” ยาโคบ​ได้​สาบาน​ใน​นาม​ของ​ผู้ที่​อิสอัค​พ่อ​ของเขา​เกรง​กลัว แล้ว​ยาโคบ​ได้​ถวาย​เครื่อง​บูชา​บน​ภูเขานั้น และ​เชิญ​ญาติๆ​ของเขา​มา​ร่วม​กิน​อาหาร​กัน พวกเขา​ก็ได้​มา​กิน​อาหาร​กัน และ​ค้างคืน​อยู่​บน​ภูเขานั้น ลาบัน​ตื่นแต่​เช้าตรู่ และ​จูบลา​หลานๆ​และ​ลูกสาว​ทั้ง​สองคน และ​เขา​ก็​อวยพร​ให้​กับ​พวกเขา แล้ว​ลาบัน​ได้​เดินทาง​กลับ​ไป​ยัง​บ้าน​ของตน

ปฐมกาล 31:1-55 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ยาโคบได้ยินบรรดาบุตรชายของลาบันพูดว่า “ยาโคบแย่งทุกอย่างที่เป็นของพ่อเรา เขาได้ความร่ำรวยทั้งหมดนี้จากสิ่งที่เป็นของพ่อเรา” ยาโคบสังเกตดูลาบัน เห็นว่าลาบันไม่ดีต่อท่านเหมือนแต่ก่อน พระยาห์เวห์ตรัสกับยาโคบว่า “จงกลับไปยังดินแดนบิดาและญาติพี่น้องของเจ้าเถิด เราจะอยู่กับเจ้า” ยาโคบก็ให้คนไปเรียกราเชลและเลอาห์ให้มาที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ แล้วบอกนางทั้งสองว่า “ฉันเห็นว่าบิดาเจ้าไม่ดีต่อฉันเหมือนแต่ก่อน แต่พระเจ้าของบิดาฉันทรงอยู่กับฉัน เจ้าทั้งสองรู้แล้วว่า ฉันรับใช้บิดาของเจ้าด้วยเต็มกำลัง บิดาของเจ้ายังบิดพลิ้วต่อฉัน และเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเสียสิบครั้งแล้ว แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงให้เขาทำร้ายฉัน ถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ที่ด่างเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกด่าง และถ้าเขาบอกว่า ‘สัตว์ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกลายหมด ดังนี้แหละพระเจ้าจึงทรงยกฝูงปศุสัตว์ของบิดาเจ้าประทานให้แก่ฉัน เมื่อมาในฤดูที่สัตว์เหล่านั้นอยากติดสัด ฉันแหงนหน้าขึ้นดู ก็เห็นในความฝันว่า พวกแพะผู้ที่ผสมพันธุ์กับฝูงสัตว์นั้นเป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะมีจุด ในความฝันนั้นทูตของพระเจ้าเรียกฉันว่า ‘ยาโคบ’ ฉันตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่’ ท่านบอกว่า ‘เงยหน้าขึ้นดู แพะผู้ทั้งหมดที่ผสมพันธุ์กับฝูงสัตว์นั้น เป็นพวกตัวลาย ตัวด่างและตัวมีจุด เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่เจ้าเจิมเสาศักดิ์สิทธิ์ไว้และปฏิญาณต่อเราไว้ที่นั่น บัดนี้จงลุกขึ้นออกจากดินแดนนี้ และกลับไปยังดินแดนที่เจ้าเกิด’ ” ราเชลกับเลอาห์จึงตอบว่า “เรายังมีส่วนและมีมรดกในบ้านบิดาเราอีกหรือ? บิดานับเราเหมือนแขกเมืองไม่ใช่หรือ? เพราะบิดาขายเรา ทั้งยังใช้เงินของเราหมด ความร่ำรวยทั้งหมดที่พระเจ้าทรงนำไปจากบิดาของเรา นั่นแหละเป็นของเรากับพวกลูกของเรา บัดนี้ท่านจงทำทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับท่าน” ดังนั้น ยาโคบจึงลุกขึ้นและจัดให้บุตรและภรรยาขึ้นขี่อูฐ แล้วต้อนฝูงปศุสัตว์ทั้งหมดของท่านไป ขนข้าวของทั้งสิ้นที่ท่านสะสมมา ฝูงปศุสัตว์ที่ท่านได้มา ที่ท่านสะสมได้ในปัดดานอารัม เพื่อเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของท่านในดินแดนคานาอัน เวลานั้นลาบันออกไปตัดขนแกะ ราเชลจึงขโมยรูปเคารพที่อยู่ในบ้านของบิดาไปด้วย ส่วนยาโคบก็ลักลอบทำต่อลาบันคนอารัม โดยการไม่บอกให้รู้ว่าท่านตั้งใจจะหนี ยาโคบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดหนีข้ามแม่น้ำบ่ายหน้าไปทางเทือกเขากิเลอาด เมื่อถึงวันที่สาม มีคนไปบอกลาบันว่ายาโคบหนีไปแล้ว ลาบันก็พาญาติพี่น้องไปกับเขาไล่ตามยาโคบเป็นระยะทางเจ็ดวันจึงทันยาโคบในถิ่นเทือกเขากิเลอาด แต่ในเวลากลางคืนพระเจ้าเสด็จมาหาลาบันคนอารัมในความฝัน ตรัสแก่เขาว่า “ระวัง อย่าพูดกับยาโคบเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย” ลาบันตามมาทันยาโคบ ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ที่ถิ่นเทือกเขา ส่วนลาบันกับญาติพี่น้อง ตั้งอยู่ถิ่นเทือกเขากิเลอาด ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าทำอะไร? เจ้าหลอกเรา และพาลูกสาวของเราหนีมาเหมือนเชลย ทำไมเจ้าจึงหนีเรามาอย่างลับๆ? แอบมาโดยไม่บอกให้เรารู้ ถ้าเรารู้ เราก็จะจัดส่งเจ้าไปด้วยความร่าเริงยินดี โดยให้มีการขับร้องด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่ ทำไมเจ้าไม่ยอมให้เราจูบลาหลาน และลูกสาวของเราเล่า? นี่เจ้าทำอย่างโง่เขลา เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว เราจะทำร้ายเจ้าก็ได้ แต่เมื่อคืนนี้พระเจ้าของบิดาเจ้าตรัสว่า ‘ระวัง อย่าพูดดีหรือร้ายกับยาโคบเลย’ คราวนี้เจ้าต้องออกมาให้ได้เพราะคิดถึงบ้านบิดาเจ้าจริงๆ แต่ทำไมเจ้าถึงขโมยพระของเรามา?” ยาโคบจึงตอบลาบันว่า “เพราะว่าฉันกลัว ฉันคิดว่าท่านจะยึดลูกสาวของท่านคืนจากฉันเสีย ส่วนพระของท่านนั้น ถ้าพบที่คนไหน ก็อย่าไว้ชีวิตผู้นั้นเลย ค้นดูต่อหน้าญาติพี่น้องของเรา ท่านพบสิ่งใดที่เป็นของท่าน ก็เอาไปเถอะ” ยาโคบไม่รู้ว่าราเชลขโมยพระเหล่านั้นมา ลาบันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์ของเลอาห์ และเต็นท์สาวใช้ทั้งสองคนนั้น แต่หาไม่พบ จึงออกจากเต็นท์ของเลอาห์ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของราเชล ส่วนราเชลเอารูปเคารพเหล่านั้นใส่ไว้ในกูบอูฐและนั่งทับไว้ ลาบันได้คลำดูทั่วเต็นท์ ก็หาไม่พบ ราเชลก็พูดกับบิดาว่า “ขอนายท่านอย่าโกรธเลย ที่ดิฉันลุกขึ้นต่อหน้าท่านไม่ได้ เพราะว่าดิฉันกำลังลำบากตามธรรมดาของผู้หญิง” ดังนั้นลาบันก็ค้นแล้ว แต่ไม่พบรูปเคารพเลย ส่วนยาโคบก็โกรธและต่อว่าลาบัน ยาโคบกล่าวกับลาบันว่า “ฉันทำผิดอะไร? ฉันทำบาปอะไร? ท่านจึงไล่ตามฉันมาอย่างนี้ ท่านคลำดูสิ่งของของฉันทั้งหมดแล้ว ท่านพบอะไรที่เป็นของมาจากบ้านของท่าน ก็เอามาตั้งไว้ที่นี่ ตรงหน้าญาติพี่น้องของเราและของท่าน และให้พวกเขาตัดสินระหว่างเราทั้งสอง ฉันอยู่กับท่านมายี่สิบปีนี้ แกะและแพะไม่ได้แท้งลูก และแกะตัวผู้ในฝูงของท่าน ฉันก็ไม่ได้กิน ที่สัตว์ร้ายกัดฉีกกินเสีย ฉันก็ไม่ได้นำมาให้ท่าน ฉันเองใช้ให้แล้ว ที่ถูกขโมยไปในเวลากลางวันหรือกลางคืน ท่านก็เอาคืนจากฉัน เวลากลางวันแดดก็เผาฉัน เวลากลางคืนก็หนาวเหน็บ ฉันนอนไม่หลับ ฉันอาศัยอยู่ในเรือนของท่านยี่สิบปีแล้ว ฉันรับใช้ท่านสิบสี่ปีเพื่อจะได้บุตรีสองคนของท่าน และรับใช้ท่านหกปีเพื่อจะได้ฝูงสัตว์ของท่าน ท่านยังเปลี่ยนค่าจ้างสิบครั้ง ถ้าพระเจ้าของบิดาฉัน พระเจ้าของอับราฮัมและผู้ซึ่งอิสอัคยำเกรง ไม่ทรงอยู่กับฉันแล้ว ครั้งนี้ท่านคงให้ฉันไปตัวเปล่า พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของฉัน และการงานตรากตรำที่มือฉันทำ จึงทรงห้ามท่านเมื่อคืนนี้” แล้วลาบันตอบยาโคบว่า “บุตรหญิงเหล่านี้ก็เป็นลูกของเรา บุตรชายเหล่านี้ก็เป็นหลานของเรา ฝูงสัตว์นี้ก็เป็นของเรา ของทั้งสิ้นที่เจ้าเห็นก็เป็นของเรา วันนี้เราจะทำอะไรแก่บุตรหญิงของเราหรือแก่เด็กๆ ที่เกิดมาจากพวกนาง? มาเถิด ให้เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า ให้พันธสัญญานั้นเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” ฝ่ายยาโคบก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้เป็นเสา แล้วยาโคบจึงพูดกับญาติพี่น้องว่า “เก็บก้อนหินมา” พวกเขาเก็บก้อนหินมากองสุมไว้ แล้วก็กินเลี้ยงกันที่กองหินนั้น ลาบันจึงตั้งชื่อกองหินนั้นว่า เยการ์สหดูธา แต่ยาโคบตั้งชื่อว่า กาเลเอด ลาบันกล่าวว่า “วันนี้กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อว่า กาเลเอด และมิสปาห์ เพราะเขากล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงเฝ้าอยู่ระหว่างเรากับเจ้า เมื่อเราจากกันไป ถ้าเจ้าข่มเหงบุตรหญิงของเรา หรือเจ้าได้ภรรยาอื่นนอกจากบุตรหญิงของเรา แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่กับเราก็จริง จำไว้ว่า พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” ลาบันบอกยาโคบว่า “ดูกองหินและเสาหินนี้ ที่เราตั้งไว้ระหว่างเรากับเจ้า หินกองนี้เป็นพยาน และเสานั้นก็เป็นพยานว่า เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินและเสานี้มาหาเรา เพื่อทำร้ายกัน ให้พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของนาโฮร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบิดาของเราทั้งสองทรงตัดสินความระหว่างเรา” ยาโคบก็สาบานโดยอ้างถึงพระองค์ที่อิสอัคบิดาของเขายำเกรง ยาโคบถวายเครื่องบูชาบนภูเขา และเรียกญาติพี่น้องของเขามารับประทานขนมปัง พวกเขารับประทานขนมปังและอยู่บนภูเขาคืนวันนั้น ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้ามืด จูบหลานและบุตรหญิง อวยพรพวกเขา แล้วก็ออกเดินทางกลับบ้าน

ปฐมกาล 31:1-55 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ยาโคบได้ยินบุตรชายของลาบันพูดว่า “ยาโคบได้​แย่​งทรัพย์ของบิดาเราไปหมด เขาได้​ทรัพย์สมบัติ​ทั้งหมดนี้มาจากบิดาเรา” ยาโคบได้สังเกตดู​สี​หน​้าของลาบัน และดู​เถิด เห​็​นว​่าไม่เหมือนแต่​ก่อน พระเยโฮวาห์ตรั​สส​ั่งยาโคบว่า “จงกลับไปยังแผ่นดินบิดาและญาติ​พี่​น้องของเจ้าเถิด และเราจะอยู่กับเจ้า” ยาโคบก็​ให้​คนไปเรียกนางราเชลและนางเลอาห์​ให้​มาที่​ทุ​่งนาที่เลี้ยงฝูงสัตว์ แล​้วบอกนางทั้งสองว่า “ข้าพเจ้าเห็​นว​่าสี​หน​้าบิดาเจ้าไม่เหมือนแต่​ก่อน แต่​พระเจ้าของบิดาข้าพเจ้าทรงสถิตอยู่กับข้าพเจ้า เจ้​าทั้งสองรู้​แล​้​วว​่าข้าพเจ้ารับใช้​บิ​ดาของเจ้าด้วยเต็มกำลัง บิ​ดาของเจ้ายังโกงข้าพเจ้า และเปลี่ยนค่าจ้างของข้าพเจ้าเสียสิบครั้งแล้ว แต่​พระเจ้ามิ​ได้​ทรงอนุญาตให้เขาทำความเสียหายแก่​ข้าพเจ้า ถ้าบิดาบอกว่า ‘​สัตว์​ที่​มี​จุ​ดจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์​ทุ​กตั​วก​็​มี​ลูกมี​จุด และถ้าบิดาบอกว่า ‘​สัตว์​ตั​วท​ี่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์​ทุ​กตั​วก​็​มี​ลูกลายหมด ดังนี้​แหละพระเจ้าจึงทรงยกสัตว์ของบิดาเจ้าประทานให้​แก่​ข้าพเจ้า ครั้นมาในฤดู​ที่​สัตว์​เหล่​านั้นตั้งท้อง ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นดู ก็​เห​็นในความฝั​นว​่า ดู​เถิด แพะตัวผู้​ที่​สมจรกับฝูงสัตว์นั้นเป็นแพะลาย แพะจุด และแพะลายเป็นแถบๆ ในความฝันนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรียกข้าพเจ้าว่า ‘ยาโคบเอ๋ย’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่​ที่นี่ พระเจ้าข้า’ พระองค์​ตรั​สว​่า ‘เงยหน้าขึ้นดู แพะตัวผู้​ทุ​กตั​วท​ี่สมจรกับฝูงสัตว์​นั้น เป็นสัตว์ลายและมี​จุ​ดและลายเป็นแถบๆ เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่​ลาบ​ันทำกับเจ้า เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอลที่​เจ้​าเจิมเสาสำคัญไว้และปฏิญาณต่อเรา บัดนี้​จงลุกขึ้นออกจากแผ่นดินนี้ และกลับไปยังแผ่นดินพี่น้องของเจ้า’” นางราเชลกับนางเลอาห์จึงตอบเขาว่า “เรายั​งม​ีส่วนทรัพย์มรดกในบ้านบิดาเราอีกหรือไม่ บิ​ดาน​ับเราเหมือนคนต่างด้าวมิ​ใช่​หรือ เพราะบิดาขายเรา ทั้งยั​งก​ินเงินของเราเกือบหมด ทรัพย์สมบัติ​ทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเอามาจากบิดาของเรา นั่นแหละเป็นของของเรากั​บลู​กหลานของเรา บัดนี้​พระเจ้าตรั​สส​ั่งท่านอย่างไร ก็​ขอให้​ทำอย่างนั้นเถิด” ดังนั้น ยาโคบจึงลุกขึ้นให้​บุ​ตรภรรยาขึ้นขี่​อูฐ แล​้วเขาต้อนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเขาไป ขนข้าวของทั้งสิ้​นที​่เขาได้กำไรมา สัตว์​เลี้ยงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ที่​เขาหามาได้ในเมืองปัดดานอารัม เพื่อเดินทางกลับไปหาอิสอั​คบ​ิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน และลาบันออกไปตัดขนแกะ ฝ่ายนางราเชลก็ลั​กรู​ปเคารพของบิดาไปด้วย ฝ่ายยาโคบก็​หลบหนี​ไปมิ​ได้​บอกลาบันชาวซีเรียให้​รู้​ว่าตนจะหนี​ไป ยาโคบเอาทรัพย์​สมบัติ​ทั้งหมดลุกขึ้นหนีข้ามแม่น้ำบ่ายหน้าไปยังถิ่นเทือกเขากิเลอาด ครั้นถึงวั​นที​่​สาม มี​คนไปบอกลาบั​นว​่ายาโคบหนีไปแล้ว ลาบ​ั​นก​็พาญาติ​พี่​น้องออกติดตามไปเจ็ดวั​นก​็ทันยาโคบในถิ่นเทือกเขากิเลอาด แต่​ในกลางคืนพระเจ้าทรงมาปรากฏแก่​ลาบ​ันคนซีเรียในความฝัน ตรัสแก่เขาว่า “จงระวังตัว อย่าพูดดีหรือร้ายแก่ยาโคบเลย” แล​้วลาบันตามมาทันยาโคบ ยาโคบตั้งเต็นท์​อยู่​ที่​ถิ่นเทือกเขา ส่วนลาบั​นก​ับญาติ​พี่​น้องตั้งอยู่ถิ่นเทือกเขากิเลอาด ลาบ​ันกล่าวกับยาโคบว่า “​เจ้​าทำอะไรเล่า หนี​พาบุตรสาวของเรามา ไม่​บอกให้เรารู้ ทำเหมือนเชลยที่​จับได้​ด้วยดาบ เหตุ​ไฉนเจ้าได้​หลบหนี​มาอย่างลับๆและแอบมาโดยไม่บอกให้เรารู้ ถ้าเรารู้เราก็จะจัดส่งเจ้าไปด้วยความร่าเริงยินดี โดยให้​มี​การขับร้องด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่ ทำไมเจ้าไม่​ยอมให้​เราจุบลาบุตรชายและบุตรสาวของเราเล่า นี่​เจ้​าทำอย่างโง่เขลาแท้​ๆ เรามีกำลังพอที่จะทำอันตรายแก่​เจ้​าได้ แต่​ในเวลากลางคืนวานนี้พระเจ้าแห่​งบ​ิดาเจ้ามาตรัสห้ามเราไว้​ว่า ‘จงระวังตัว อย่าพูดดีหรือร้ายแก่ยาโคบเลย’ บัดนี้ แม้ว​่าเจ้าจะไปเพราะคิดถึ​งบ​้านบิดามาก ทำไมจึงลักพระของเรามาด้วยเล่า” ยาโคบจึงตอบลาบั​นว​่า “เพราะว่าข้าพเจ้ากลัว ข้าพเจ้าจึงว่า ‘​บางที​ท่านจะริบบุตรสาวของท่านคืนจากข้าพเจ้าเสีย’ ส่วนพระของท่านนั้นถ้าพบที่คนไหน ก็​อย่าไว้​ชี​วิตผู้นั้นเลย ค้นดูต่อหน้าญาติ​พี่​น้องของเรา ท่านพบสิ่งใดที่เป็นของท่านกับข้าพเจ้า ก็​เอาไปเถิด” เพราะยาโคบไม่​รู้​ว่านางราเชลได้ลั​กรู​ปเหล่านั้นมา ลาบ​ันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์​ของนางเลอาห์และเต็นท์​สาวใช้​ทั้งสองคนนั้น แต่​หาไม่​พบ จึงออกจากเต็นท์ของนางเลอาห์ แล​้วเข้าไปในเต็นท์ของนางราเชล ส่วนนางราเชลเอารูปเคารพเหล่านั้นซ่อนไว้ในกูบอูฐและนั่งทับไว้ ลาบ​ันได้ค้นดูทั่วเต็นท์​ก็​หาไม่​พบ นางราเชลก็​พู​ดก​ับบิดาของตนว่า “ขอนายอย่าโกรธเลยที่ข้าพเจ้าลุกขึ้นต้อนรับไม่​ได้ ด้วยว่าธรรมดาที่​ผู้​หญิงเคยมีกำลังเป็นอยู่กับข้าพเจ้า” ลาบ​ั​นก​็ค้นดู​แล้ว แต่​ไม่​พบรูปเคารพนั้นเลย ส่วนยาโคบก็โกรธและต่อว่าลาบัน ยาโคบกล่าวกับลาบั​นว​่า “ข้าพเจ้าทำการละเมิดต่อท่านประการใด ข้าพเจ้าทำบาปอะไรท่านจึงรีบติดตามข้าพเจ้ามาดังนี้ ท่านค้นดูของของข้าพเจ้าทั้งหมดแล้ว ท่านพบอะไรที่เป็นของมาจากบ้านของท่าน ก็​เอามาตั้งไว้​ที่นี่​ตรงหน้าญาติ​พี่​น้องทั้งสองฝ่าย ให้​เขาตัดสินความระหว่างเราทั้งสอง ข้าพเจ้าอยู่กั​บท​่านมายี่​สิ​บปี​แล้ว แกะตัวเมียและแพะตัวเมี​ยม​ิ​ได้​แท้งลูก และแกะตัวผู้ในฝูงของท่าน ข้าพเจ้าก็​มิได้​กินเลย ที่​สัตว์​ร้ายกัดฉี​กก​ินเสีย ข้าพเจ้าก็​มิได้​นำมาให้​ท่าน ข้าพเจ้าเองสู้​ใช้​ให้ ที่​ถู​กขโมยไปในเวลากลางวันหรือกลางคืน ท่านก็หักจากข้าพเจ้าทั้งนั้น ข้าพเจ้าเคยเป็นเช่นนี้ เวลากลางวัน แดดก็เผาข้าพเจ้า เวลากลางคืนน้ำค้างแข็​งก​็ผลาญข้าพเจ้า แล​้วข้าพเจ้านอนไม่​หลับ ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนของท่านเช่นนี้​ยี​่​สิ​บปี​แล้ว ข้าพเจ้าได้​รับใช้​ท่านสิบสี่​ปี​เพื่อได้​บุ​ตรสาวสองคนของท่าน และรับใช้ท่านหกปีเพื่อได้ฝูงสัตว์ของท่าน ท่านยังได้​เปล​ี่ยนค่าจ้างของข้าพเจ้าสิบครั้ง ถ้าแม้​นพระเจ้าของบิดาข้าพเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมและซึ่​งอ​ิสอัคยำเกรง ไม่​ทรงสถิตอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว ครั้งนี้​ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปตัวเปล่าเป็นแน่ พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของข้าพเจ้าและการงานตรากตรำที่มือข้าพเจ้าทำ จึงทรงห้ามท่านเมื่อคืนวานนี้” แล​้วลาบันตอบยาโคบว่า “​บุ​ตรสาวเหล่านี้​ก็​เป็นบุตรสาวของเรา เด็กเหล่านี้​ก็​เป็นเด็กของเรา ฝูงสัตว์ทั้งฝูงนี้​ก็​เป็นฝูงสัตว์ของเรา ของทั้งสิ้​นที​่​เจ้​าเห็​นก​็เป็นของเรา วันนี้​เราจะกระทำอะไรแก่​บุ​ตรสาวของเราหรือแก่เด็กๆที่​เก​ิดมาจากเขา ฉะนั้นมาเถิด บัดนี้​ให้​เราทำพันธสัญญา ทั้งเรากับเจ้า ให้​เป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” ฝ่ายยาโคบก็เอาศิ​ลาก​้อนหนึ่งตั้งไว้เป็นเสาสำคัญ แล​้วยาโคบจึงพู​ดก​ับญาติ​พี่​น้องว่า “​เก​็​บก​้อนหินมา” เขาเก็​บก​้อนหินมากองสุมไว้ แล้วก็​กินเลี้ยงกั​นที​่กองหินนั้น ลาบ​ันจึงตั้งชื่อกองหินนั้​นว​่า เยการ์สหดูธา แต่​ยาโคบตั้งชื่อว่า กาเลเอด ลาบ​ันกล่าวว่า “​วันนี้​กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” เหตุ​ฉะนี้​เขาจึงตั้งชื่อว่า กาเลเอด และมิสปาห์ เพราะเขากล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเฝ้าอยู่ระหว่างเรากับเจ้า เมื่อเราจากกันไป ถ้าเจ้าข่มเหงบุตรสาวของเรา หรือถ้าเจ้าได้ภรรยาอื่นนอกจากบุตรสาวของเรา ถึงไม่​มี​ใครอยู่กับเราด้วย จงรู้เถิดว่า พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” ลาบ​ันบอกยาโคบว่า “​จงดู​กองหินและเสาหินนี้​ที่​เราได้ตั้งไว้ระหว่างเรากับเจ้า หินกองนี้เป็นพยาน และเสานั้​นก​็เป็นพยานว่า เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินนี้และเสานี้มาหาเรา เพื่อทำอันตรายกัน ให้​พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของนาโฮร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบิดาของท่านทรงตัดสินความระหว่างเรา” ยาโคบก็ปฏิญาณโดยอ้างถึงผู้​ที่​อิสอั​คบ​ิดาของตนยำเกรง แล​้วยาโคบถวายเครื่องบูชาบนถิ่นเทือกเขา และเรียกญาติ​พี่​น้องของตนมารับประทานขนมปัง พวกเขารับประทานขนมปังและอยู่บนถิ่นเทือกเขาตลอดคื​นว​ันนั้น ลาบ​ันตื่นขึ้นแต่​เช้ามืด จุ​บหลานและบุตรสาว อวยพรแก่​พวกเขา แล​้วลาบั​นก​็ออกเดินทางกลับไปบ้าน

ปฐมกาล 31:1-55 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

ยาโคบได้ยินลูกๆ ของลาบันพูดกันว่า “ยาโคบเอาทุกสิ่งที่เป็นของพ่อเราไป ที่เขาร่ำรวยขึ้นมาทั้งหมดนี้ก็ได้มาจากสิ่งที่เป็นของพ่อของเราแท้ๆ” และยาโคบสังเกตว่าลาบันเมินหน้าหนีตนซึ่งต่างไปจากแต่ก่อน แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับยาโคบว่า “จงกลับไปยังดินแดนของบิดาของเจ้า ไปหาญาติพี่น้องของเจ้า และเราจะอยู่กับเจ้า” ยาโคบจึงให้คนไปตามราเชลกับเลอาห์ออกมาพบเขาที่ทุ่งซึ่งเขาเลี้ยงสัตว์อยู่ เขาบอกนางทั้งสองว่า “ฉันเห็นว่าท่าทีของพ่อเธอต่อตัวฉันเปลี่ยนไป แต่พระเจ้าของพ่อฉันสถิตอยู่กับฉัน เธอสองคนก็รู้ว่าฉันพากเพียรทำงานให้พ่อของเธอด้วยสุดกำลัง แต่พ่อของเธอก็ยังบิดพลิ้วผิดสัญญาค่าจ้างของฉันถึงเป็นสิบครั้ง แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้เขาทำอันตรายฉัน ถ้าเขากล่าวว่า ‘สัตว์ลายด่างจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวในฝูงก็จะตกลูกเป็นลายด่าง และถ้าเขากล่าวว่า ‘สัตว์ลายริ้วจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทั้งฝูงก็จะตกลูกเป็นลายริ้ว ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงยึดเอาฝูงสัตว์จากพ่อของเธอมาประทานแก่ฉัน “ครั้งหนึ่งในฤดูผสมพันธุ์ ฉันฝันไปว่าฉันเงยหน้าขึ้นเห็นแพะตัวผู้ที่กำลังผสมพันธุ์มีลายริ้ว ลายด่าง หรือลายจุด ทูตของพระเจ้ากล่าวกับฉันในฝันว่า ‘ยาโคบเอ๋ย’ ฉันตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่’ และทูตนั้นกล่าวว่า ‘จงเงยหน้าขึ้นดูเถิด แพะผู้ที่กำลังผสมพันธุ์นั้นล้วนมีลายริ้ว ลายด่าง หรือลายจุดเพราะเราได้เห็นทุกอย่างที่ลาบันทำกับเจ้า เราคือพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่ซึ่งเจ้าได้เจิมเสาและได้กล่าวปฏิญาณไว้กับเรา บัดนี้เจ้าจงออกจากแผ่นดินนี้ทันทีและกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า’ ” แล้วราเชลกับเลอาห์ตอบว่า “เรายังมีส่วนแบ่งในมรดกของพ่ออีกหรือ? พ่อไม่ถือว่าเราเป็นเหมือนคนต่างชาติหรอกหรือ? พ่อไม่เพียงแต่ขายเรา แต่ยังใช้เงินส่วนที่เป็นค่าตัวของเราจนหมด แน่ทีเดียวทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นที่พระเจ้าทรงเอามาจากพ่อเป็นของเรากับลูกๆ ฉะนั้นเชิญท่านทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าตรัสสั่งเถิด” แล้วยาโคบจึงให้ลูกๆ กับภรรยาขึ้นอูฐ ตัวเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมดไปข้างหน้าเขา พร้อมกับสิ่งของต่างๆ ซึ่งเขาสะสมไว้ได้ที่ปัดดานอารัม ออกเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน เมื่อลาบันออกไปตัดขนแกะ ราเชลก็ขโมยเหล่าเทวรูปประจำบ้านของบิดาติดตัวไปด้วย ยิ่งกว่านั้นยาโคบหลอกลวงลาบันชาวอารัมโดยการไม่บอกว่าเขากำลังจะหนีไป เขาจึงลอบหนีไปพร้อมกับข้าวของทั้งหมดที่มี เมื่อข้ามแม่น้ำยูเฟรติสแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังแดนเทือกเขากิเลอาด สามวันต่อมามีคนบอกลาบันให้รู้ว่ายาโคบหนีไปแล้ว เขาจึงพาญาติพี่น้องตามล่ายาโคบไปเป็นเวลาเจ็ดวัน และตามมาทันที่แดนเทือกเขากิเลอาด คืนนั้นพระเจ้าทรงปรากฏแก่ลาบันคนอารัมในความฝันและตรัสว่า “ไม่ว่าอะไรก็ตาม จงระวัง อย่าพูดจาคุกคามข่มขู่ยาโคบ” ขณะที่ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ที่แดนเทือกเขากิเลอาด ลาบันก็ตามมาทันและลาบันกับญาติพี่น้องก็ตั้งค่ายที่นั่นด้วย แล้วลาบันจึงกล่าวกับยาโคบว่า “ทำไมเจ้าทำอย่างนี้? เจ้าได้หลอกลวงเราและกวาดต้อนลูกสาวของเรามาราวกับเป็นเชลยศึก ทำไมเจ้าต้องแอบหนีมาและหลอกลวงเรา? ทำไมไม่บอกเราเพื่อเราจะได้ส่งเจ้ามาด้วยความยินดีด้วยการร้องเพลงพร้อมกับเล่นพิณและรำมะนา? เจ้าไม่ยอมแม้แต่จะให้เราได้จูบลาลูกหลานบ้างเลย เจ้าได้ทำสิ่งที่โง่เขลา เรามีอำนาจที่จะทำร้ายพวกเจ้า แต่เมื่อคืนนี้พระเจ้าของบิดาเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘ไม่ว่าอะไรก็ตาม จงระวัง อย่าพูดจาคุกคามข่มขู่ยาโคบ’ ที่เจ้าจากมาเพราะอยากจะกลับไปบ้านบิดาของเจ้า แต่ทำไมเจ้าจึงขโมยบรรดาเทวรูปของเราไป?” ยาโคบตอบลาบันว่า “ฉันกลัว เพราะฉันคิดว่าท่านจะใช้กำลังพรากลูกสาวของท่านคืนไปจากฉัน แต่ถ้าท่านเจอเทวรูปของท่านอยู่กับใคร เขาจะต้องตาย ท่านจงค้นดูต่อหน้าญาติพี่น้องของเราเอาเองเถิดว่ามีสิ่งใดที่เป็นของท่านอยู่กับฉันหรือไม่ ถ้ามีก็จงเอาไปเถิด” ยาโคบไม่รู้ว่าราเชลได้ขโมยเทวรูปมา ดังนั้นลาบันจึงเข้าไปค้นในเต็นท์ของยาโคบ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของเลอาห์ และเต็นท์ของสาวใช้ทั้งสอง แต่เขาไม่พบอะไร หลังจากออกมาจากเต็นท์ของเลอาห์ เขาเข้าไปในเต็นท์ของราเชล ฝ่ายราเชลขโมยเทวรูปประจำบ้านมาไว้ใต้กูบอูฐแล้วนั่งทับไว้ ลาบันค้นจนทั่วเต็นท์แต่ไม่พบอะไร ราเชลพูดกับบิดาของนางว่า “ท่านเจ้าข้า ขออย่าโกรธที่ลูกไม่ได้ยืนขึ้นต้อนรับ เพราะลูกกำลังมีประจำเดือน” ดังนั้นเขาจึงค้นแต่ไม่พบเทวรูปประจำบ้าน ยาโคบก็โกรธและตำหนิลาบันอย่างรุนแรง เขาถามลาบันว่า “ฉันไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือ? ฉันไปทำผิดอะไรมา ท่านจึงไล่ล่าฉันอย่างนี้? เมื่อท่านค้นข้าวของทุกอย่างของฉันแล้ว ท่านพบอะไรที่เป็นของท่านบ้าง? จงเอามาวางต่อหน้าญาติของท่านและของฉันเถิด ให้พวกเขาตัดสินเรื่องระหว่างเราทั้งสอง “ฉันอยู่กับท่านมาจนถึงวันนี้ก็ยี่สิบปีแล้ว ฉันไม่เคยทำให้แพะแกะของท่านแท้งลูก ทั้งฉันก็ไม่เคยกินแกะของท่านเลย ตัวไหนถูกสัตว์ร้ายกัดกิน ฉันก็ไม่ได้เอาไปให้ท่าน ฉันรับผิดชอบความสูญเสียนั้นเอง และท่านก็เรียกร้องให้ฉันชดใช้สัตว์ทุกตัวที่ถูกขโมยไป ไม่ว่าจะหายไปตอนกลางวันหรือกลางคืน ตอนกลางวันก็ถูกความร้อนแผดเผา ตอนกลางคืนก็ต้องทนเหน็บหนาวจนหลับตาไม่ได้ เป็นอย่างนี้ตลอดยี่สิบปีที่ฉันอยู่ในครอบครัวของท่าน ฉันทำงานให้ท่านสิบสี่ปีเพื่อจะได้ลูกสาวสองคนของท่าน และอีกหกปีเพื่อจะได้ฝูงสัตว์ และท่านยังเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเป็นสิบครั้ง ถ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของฉัน คือพระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าที่อิสอัคยำเกรงไม่ได้อยู่กับฉัน ท่านก็คงจะให้ฉันมามือเปล่าเป็นแน่ แต่พระเจ้าทอดพระเนตรความยากลำบากและการตรากตรำของฉัน พระองค์จึงทรงว่ากล่าวท่านเมื่อคืนนี้” ลาบันตอบยาโคบว่า “ผู้หญิงเหล่านี้เป็นลูกสาวของเรา เด็กๆ ก็เป็นลูกหลานของเรา ฝูงสัตว์เหล่านี้ก็เป็นฝูงสัตว์ของเรา และทุกอย่างที่เจ้าเห็นอยู่นี้ล้วนเป็นของเรา แต่เราจะทำอะไรลูกสาวของเรา และลูกๆ ที่พวกนางให้กำเนิดได้เล่า? มาเถิดให้เราทำสนธิสัญญาระหว่างเจ้ากับเรา ให้เป็นพยานหลักฐานระหว่างเราทั้งสอง” ดังนั้นยาโคบจึงเอาหินก้อนหนึ่งตั้งขึ้นเป็นเสา แล้วเขาบอกกับญาติว่า “รวบรวมก้อนหินมา” ดังนั้นพวกเขาก็เอาหินมากองรวมกันเป็นพะเนิน และพวกเขาก็รับประทานอาหารด้วยกันข้างกองหินนั้น ลาบันเรียกกองหินนั้นว่าเยการ์สหดูธา และยาโคบเรียกว่ากาเลเอด ลาบันกล่าวว่า “ในวันนี้กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” นี่เป็นเหตุที่กองหินนั้นได้ชื่อว่ากาเลเอด ทั้งมีชื่อว่ามิสปาห์ด้วย เพราะเขากล่าวว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าดูเรากับเจ้าเมื่อเราจากกันไป ถ้าเจ้าข่มเหงบรรดาลูกสาวของเราหรือมีภรรยาใหม่นอกจากลูกสาวของเรา ถึงแม้ไม่มีใครอยู่กับเรา ก็ขอให้จำไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา” ลาบันกล่าวกับยาโคบด้วยว่า “นี่เป็นกองหินและเสาซึ่งเราตั้งไว้ระหว่างเรากับเจ้า กองหินนี้เป็นพยานและเสานี้เป็นพยานว่า เราจะไม่ล่วงล้ำผ่านกองหินไปทางเขตแดนของเจ้าเพื่อทำร้ายเจ้า และเจ้าก็จะไม่ล่วงล้ำผ่านกองหินและเสานี้มาทางเขตแดนของเราเพื่อทำอันตรายเรา ขอให้พระเจ้าของอับราฮัมและเทพเจ้าของนาโฮร์ คือบรรดาพระของบรรพบุรุษของพวกเขา ทรงตัดสินระหว่างเราและเจ้า” ดังนั้นยาโคบจึงกล่าวปฏิญาณในพระนามพระเจ้าผู้ซึ่งอิสอัคบิดาของตนยำเกรง เขาถวายเครื่องบูชาที่นั่น ที่เทือกเขานั้นและเชิญญาติพี่น้องรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารแล้วก็พักค้างคืนที่นั่น เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ลาบันจูบอำลาและให้พรลูกหลานแล้วก็เดินทางกลับบ้าน

ปฐมกาล 31:1-55 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ยาโคบ​ได้ยิน​มา​ว่า​พวก​บุตร​ชาย​ของ​ลาบัน​พูด​กัน​ว่า “ยาโคบ​เอา​ทุก​สิ่ง​ที่​เป็น​ของ​บิดา​ของ​เรา​ไป และ​ที่​ร่ำรวย​ถึง​ขนาด​นี้​ได้​ก็​เพราะ​เขา​ได้​มา​จาก​บิดา​ของ​เรา” และ​ยาโคบ​เห็น​ว่า​ลาบัน​ไม่​ได้​ใยดี​ต่อ​เขา​เหมือน​ก่อน พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​พูด​กับ​ยาโคบ​ว่า “จง​กลับ​ไป​ยัง​ดินแดน​ของ​บรรพบุรุษ​ของ​เจ้า​และ​ญาติ​พี่​น้อง​ของ​เจ้า และ​เรา​จะ​อยู่​กับ​เจ้า” ดังนั้น ยาโคบ​จึง​ให้​คน​ไป​เรียก​ราเชล​และ​เลอาห์​เข้า​ไป​ใน​ทุ่ง​ที่​มี​ฝูง​สัตว์​ของ​เขา และ​พูด​กับ​นาง​ทั้ง​สอง​ว่า “ฉัน​เห็น​ว่า​บิดา​ของ​เจ้า​ไม่​ได้​ใยดี​ต่อ​ฉัน​เหมือน​แต่ก่อน แต่​พระ​เจ้า​ของ​บิดา​ของ​ฉัน​อยู่​กับ​ฉัน​มา​โดย​ตลอด พวก​เจ้า​ก็​รู้​ว่า​ฉัน​ได้​รับใช้​บิดา​ของ​เจ้า​อย่าง​เต็ม​กำลัง ถึง​กระนั้น บิดา​ของ​เจ้า​ก็​ยัง​โกง​ฉัน เปลี่ยน​ค่า​จ้าง​เป็น​สิบๆ ครั้ง แต่​พระ​เจ้า​ไม่​เคย​ปล่อย​ให้​เขา​ทำ​ร้าย​ฉัน ถ้า​เขา​พูด​ว่า ‘ตัว​มี​จุด​ด่าง​เป็น​ค่า​แรง​ของ​เจ้า’ ทุก​ตัว​ก็​มี​ลูก​เป็น​จุด​ด่าง และ​ถ้า​เขา​พูด​ว่า ‘ตัว​มี​ลาย​เป็น​ค่า​แรง​ของ​เจ้า’ ทุก​ตัว​ก็​มี​ลูก​เป็น​ลาย ด้วย​วิธี​นี้ พระ​เจ้า​ก็​ได้​ส่ง​ปศุ​สัตว์​จาก​บิดา​ของ​เจ้า​มา​ให้​ฉัน ใน​ฤดู​ติด​สัด ฉัน​ฝัน​ว่า​ได้​เงย​หน้า​ขึ้น เห็น​แพะ​ตัว​ผู้​ผสม​พันธุ์​กับ​สัตว์​ใน​ฝูง​เป็น​แพะ​ลาย มี​จุด​และ​แต้ม แล้ว​ใน​ฝัน​นั้น​ทูต​สวรรค์​ของ​พระ​เจ้า​ได้​เรียก​ฉัน ‘ยาโคบ’ ฉัน​ได้​ตอบ​ว่า ‘ข้าพเจ้า​อยู่​นี่’ พระ​องค์​กล่าว​ว่า ‘เงย​หน้า​ดู​สิ แพะ​ทุก​ตัว​ที่​ผสม​พันธุ์​เป็น​แพะ​ลาย มี​จุด​และ​แต้ม เพราะ​เรา​เห็น​ทุก​สิ่ง​ที่​ลาบัน​ทำ​กับ​เจ้า เรา​เป็น​พระ​เจ้า​ที่​ปรากฏ​แก่​เจ้า​ที่​เบธเอล เจ้า​ได้​เจิม​เสา​หลัก และ​ได้​สาบาน​กับ​เรา​ไว้ บัดนี้​จง​ลุก​ขึ้น เจ้า​จง​ไป​จาก​ดินแดน​นี้ กลับ​ไป​ยัง​ดินแดน​ที่​เจ้า​เกิด’” แล้ว​ราเชล​และ​เลอาห์​ตอบ​เขา​ว่า “ไม่​มี​มรดก​ที่​บ้าน​บิดา​ของ​เรา​เหลือ​ไว้​ให้​พวก​เรา​อีก​แล้ว บิดา​นับ​ว่า​พวก​เรา​เป็น​คน​ต่าง​ชาติ​มิ​ใช่​หรือ เพราะ​ท่าน​ขาย​เรา​แล้ว โดย​ใช้​เงิน​ที่​จ่าย​เป็น​ค่า​ตัว​เรา​หมด​แล้ว ทรัพย์​สมบัติ​ทั้ง​หมด​ที่​พระ​เจ้า​เอา​มา​จาก​บิดา​ของ​เรา​ก็​เป็น​ของ​พวก​เรา​และ​ลูกๆ ของ​เรา มา​บัดนี้ อะไร​ที่​พระ​เจ้า​ได้​สั่ง​ให้​ท่าน​ทำ ก็​ทำ​ไป​เถิด” ดังนั้น ยาโคบ​จึง​ลุก​ขึ้น ให้​บุตร​และ​ภรรยา​ขึ้น​ขี่​อูฐ เขา​ไล่​ต้อน​ปศุสัตว์ และ​ขน​ทรัพย์​สมบัติ​ที่​สะสม​ได้ ปศุ​สัตว์​ที่​เขา​เป็น​เจ้า​ของ ซึ่ง​หา​มา​ได้​จาก​ปัดดานอารัม เพื่อ​ไป​หา​อิสอัค​บิดา​ของ​เขา​ที่​ดินแดน​คานาอัน ขณะ​ที่​ลาบัน​ออก​ไป​ตัด​ขน​แกะ ราเชล​ก็​ขโมย​เอา​เทว​รูป​ประจำ​บ้าน​ของ​บิดา​ของ​ตน​ไป​ด้วย ส่วน​ยาโคบ​ทำ​ให้​ลาบัน​ชาว​อารัม​ตายใจ โดย​ไม่​บอก​ให้​เขา​รู้​ว่า​ตน​ตั้งใจ​จะ​หนี​ไป เขา​เอา​ทุก​สิ่ง​ที่​เป็น​ของ​เขา​หอบ​หนี​ไป โดย​ข้าม​แม่น้ำ​ยูเฟรติส และ​ตั้งหน้า​เดินทาง​ไป​ยัง​เทือก​เขา​กิเลอาด สาม​วัน​ต่อ​มา มี​คน​บอก​ลาบัน​ว่า​ยาโคบ​หนี​ไป​แล้ว เขา​จึง​พา​พวก​ญาติ​ออก​ไป​ตระเวน​ตาม​จับ​ตัว​ยาโคบ​เป็น​เวลา​ถึง 7 วัน ตาม​จน​เข้า​ไป​ใกล้​บริเวณ​เทือก​เขา​กิเลอาด และ​คืน​วัน​หนึ่ง​พระ​เจ้า​ปรากฏ​แก่​ลาบัน​ชาว​อารัม​ใน​ฝัน และ​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “จง​ระวัง เจ้า​จง​อย่า​พูด​กับ​ยาโคบ​เลย ไม่ว่า​เรื่อง​ดี​หรือ​ร้าย” ลาบัน​ตาม​มา​ทัน​ยาโคบ ขณะ​นั้น​ยาโคบ​ตั้ง​กระโจม​อยู่​ที่​แถบ​เทือก​เขา และ​ลาบัน​กับ​พวก​ญาติ​ของ​เขา​ก็​ตั้ง​ค่าย​พัก​อยู่​ที่​แถบ​เทือก​เขา​ใน​กิเลอาด ลาบัน​พูด​กับ​ยาโคบ​ว่า “เจ้า​ทำ​อะไร เจ้า​หลอก​ฉัน แล้ว​ยัง​พา​ลูก​สาว​ของ​ฉัน​หนี​มา​เหมือน​เป็น​เชลย​ศึก ทำไม​เจ้า​จึง​แอบ​เดินทาง​มา แถม​ยัง​หลอก​ฉัน​โดย​ไม่​บอก​กล่าว​กัน​เลย ถ้า​บอก​ให้​รู้ ฉัน​พร้อม​จะ​ส่ง​เจ้า​ไป​ด้วย​ความ​ยินดี พร้อม​กับ​เสียง​เพลง​จาก​รำมะนา​และ​พิณ ทำไม​เจ้า​จึง​ไม่​ยอม​ให้​ฉัน​จูบ​แก้ม​ลา​ลูก​หลาน​ของ​ฉัน เจ้า​ทำ​สิ่ง​โง่ๆ แบบ​นี้ ฉัน​มี​กำลัง​จะ​ทำ​ร้าย​เจ้า​ก็​ได้ แต่​พระ​เจ้า​ของ​บิดา​ของ​เจ้า​กล่าว​กับ​ฉัน​เมื่อ​คืน​ว่า ‘จง​ระวัง เจ้า​จง​อย่า​พูด​กับ​ยาโคบ​เลย ไม่ว่า​เรื่อง​ดี​หรือ​ร้าย’ และ​บัดนี้​เจ้า​ก็​จาก​มา​แล้ว เพราะ​เจ้า​อยาก​ไป​บ้าน​บิดา​ของ​เจ้า​เหลือเกิน แต่​ทำไม​เจ้า​จึง​ขโมย​เทว​รูป​ของ​ฉัน” ยาโคบ​ตอบ​ลาบัน​ว่า “เพราะ​ว่า​ฉัน​กลัว ฉัน​คิด​ว่า​ลุง​จะ​ชิง​ตัว​ลูก​สาว​ของ​ลุง​ไป​จาก​ฉัน ถ้า​ลุง​พบ​ว่า​เทว​รูป​อยู่​กับ​ใคร​ก็​ตาม ผู้​นั้น​ต้อง​ตาย ลุง​ชี้​ให้​เห็น​ต่อ​หน้า​ญาติๆ ได้​ว่า​สิ่ง​ไหน​ที่​ฉัน​มี​เป็น​ของ​ลุง แล้ว​ลุง​ก็​ยึด​ไป​ได้​เลย” ขณะ​นั้น​ยาโคบ​ไม่​ทราบ​ว่า​ราเชล​ได้​ขโมย​เทว​รูป​มา ดังนั้น ลาบัน​จึง​เข้า​ไป​ใน​กระโจม​ของ​ยาโคบ ของ​เลอาห์ และ​ของ​หญิง​รับใช้ 2 คน แต่​ก็​ไม่​พบ จึง​ออก​ไป​จาก​กระโจม​ของ​เลอาห์ แล้ว​เข้า​ไป​ใน​กระโจม​ของ​ราเชล ราเชล​ได้​เอา​เทว​รูป​ไป​ซ่อน​ไว้​ใน​อาน​อูฐ​และ​นาง​ก็​นั่ง​ทับ​ไว้ ลาบัน​คลำ​หา​ทั่ว​กระโจม แต่​ก็​ไม่​พบ นาง​พูด​กับ​บิดา​นาง​ว่า “ขอ​พ่อ​อย่า​โกรธ​เลย​ที่​ลูก​ลุก​ขึ้น​ยืน​ต้อน​รับ​พ่อ​ไม่​ได้ เพราะ​ลูก​กำลัง​มี​ปัญหา​ที่​ผู้​หญิง​เป็น​ทุก​เดือน” ลาบัน​ค้น​หา แต่​ก็​ไม่​พบ​เทว​รูป​ประจำ​บ้าน​เลย ยาโคบ​จึง​โกรธ​และ​ต่อว่า​ลาบัน พร้อม​กับ​พูด​ว่า “ฉัน​มี​ความ​ผิด​ข้อหา​อะไร​หรือ ฉัน​ทำ​อะไร​ที่​เป็น​บาป​จน​ลุง​ต้อง​ร้อนรน​ตาม​จับ​ตัว​ฉัน​อย่าง​นี้ ลุง​ได้​ค้น​ทุก​สิ่ง​ที่​ฉัน​มี​จน​ทั่ว​แล้ว ลุง​พบ​ของ​ใช้​ประจำ​บ้าน​อะไร​บ้าง​ที่​เป็น​ของ​ลุง เอา​มา​วาง​ไว้​ต่อ​หน้า​ญาติ​ของ​ฉัน​และ​ญาติ​ของ​ลุง ให้​พวก​เขา​ตัดสิน​ระหว่าง​เรา​สอง​คน ฉัน​เคย​อยู่​กับ​ลุง​เป็น​เวลา 20 ปี แกะ​สาว​และ​แพะ​ตัว​เมีย​ของ​ลุง​ไม่​เคย​แท้ง​ลูก และ​ฉัน​ไม่​เคย​กิน​แกะ​ตัว​ผู้​จาก​ฝูง​ของ​ลุง​เลย ตัว​ไหน​ถูก​สัตว์​ป่า​ขม้ำ ฉัน​ก็​ไม่​เคย​เอา​มา​ให้​ลุง​ดู ฉัน​รับ​เป็น​ฝ่าย​เสีย​แทน สัตว์​ที่​ถูก​ลัก​ขโมย​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​เวลา​กลาง​วัน​แสกๆ หรือ​ค่ำ​คืน ลุง​ก็​ให้​ฉัน​ชดใช้​แทน ฉัน​นั่น​แหละ​ที่​ทน​ทุกข์ กลาง​วัน​ที่​ร้อน​แทบ​ตาย กลาง​คืน​ที่​หนาว​เจียน​ตาย​ทั้ง​ยัง​ไม่​ได้​หลับ​ได้​นอน ใช่​แล้ว 20 ปี​ที่​ฉัน​อยู่​ที่​บ้าน​ลุง ฉัน​รับใช้​ลุง 14 ปี​เพื่อ​ได้​ลูก​สาว 2 คน​ของ​ลุง และ 6 ปี​เพื่อ​ได้​ฝูง​แพะ​แกะ​ของ​ลุง แถม​ลุง​เปลี่ยน​ค่า​จ้าง​ของ​ฉัน​เป็น​สิบๆ ครั้ง ถ้า​พระ​เจ้า​ของ​บิดา​ฉัน พระ​เจ้า​ของ​อับราฮัม และ​พระ​เจ้า​ที่​อิสอัค​เกรง​กลัว​ไม่​ได้​เป็น​ฝ่าย​ฉัน ลุง​คง​จะ​ให้​ฉัน​จาก​ไป​ตัว​เปล่า​เป็น​แน่ พระ​เจ้า​เห็น​ความ​ทุกข์​ของ​ฉัน และ​แรง​งาน​จาก​มือ​ของ​ฉัน​เอง พระ​องค์​จึง​ได้​ห้าม​ลุง​ไว้​เมื่อ​คืน​วาน​นี้” ลาบัน​ตอบ​ยาโคบ​ว่า “หญิง​เหล่า​นี้​เป็น​ลูก​สาว​ของ​ฉัน เด็กๆ ก็​เป็น​หลาน​ฉัน ฝูง​สัตว์​ก็​เป็น​ของ​ฉัน และ​ทุก​สิ่ง​ที่​เจ้า​เห็น​เป็น​ของ​ฉัน วัน​นี้​ฉัน​จะ​ทำ​อะไร​เพื่อ​พวก​เขา หรือ​เพื่อ​ลูกๆ ของ​เขา​ที่​เขา​ให้​กำเนิด​มา​ได้​บ้าง​เล่า มา​เถิด เจ้า​กับ​ฉัน เรา​มา​ทำ​พันธ​สัญญา​กัน​เพื่อ​เป็น​พยาน​ระหว่าง​เรา​สอง​คน” ยาโคบ​จึง​หยิบ​หิน​ก้อน​หนึ่ง​ให้​เป็น​เสา​หลัก แล้ว​ยาโคบ​พูด​กับ​ญาติ​ของ​ตน​ว่า “จง​หยิบ​ก้อน​หิน​มา” พวก​เขา​ก็​หยิบ​ก้อน​หิน เอา​มา​รวม​กัน​ไว้​เป็น​กอง แล้ว​ก็​รับประทาน​อาหาร​กัน​ใกล้​กอง​หิน​ที่​นั่น ลาบัน​ตั้งชื่อ​กอง​หิน​นั้น​ว่า เยการ์สหดูธา แต่​ยาโคบ​ตั้งชื่อ​ว่า กาเลเอด ลาบัน​พูด​ว่า “หิน​กอง​นี้​เป็น​พยาน​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ฉัน​ใน​วัน​นี้” เขา​จึง​เรียก​ชื่อ​ว่า กาเลเอด ลาบัน​พูด​ต่อ​ไป​ว่า “ขอ​ให้​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​คอย​เฝ้า​พวก​เรา​ไว้​ขณะ​ที่​เรา​อยู่​ห่าง​จาก​กัน” สถาน​ที่​นั้น​จึง​มี​อีก​ชื่อ​ว่า มิสปาห์ ลาบัน​พูด​ต่อ​อีก​ว่า “ถ้า​เจ้า​ทำ​ไม่​ดี​ต่อ​ลูก​สาว​ของ​ฉัน หรือ​ถ้า​เจ้า​มี​ภรรยา​อื่น​นอกเหนือ​จาก​ลูก​สาว​ของ​ฉัน​แล้ว แม้ว่า​ฉัน​จะ​ไม่​รู้ แต่​จง​จำ​ไว้​ว่า พระ​เจ้า​เป็น​พยาน​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ฉัน” แล้ว​ลาบัน​พูด​กับ​ยาโคบ​ว่า “ดู​หิน​กอง​นี้​และ​เสา​หลัก​ที่​ฉัน​ได้​ตั้ง​ไว้​ระหว่าง​เจ้า​กับ​ฉัน หิน​กอง​นี้​เป็น​พยาน และ​เสา​หลัก​ก็​เป็น​พยาน​ว่า ฉัน​จะ​ไม่​ข้าม​หิน​กอง​นี้​ไป​หา​เจ้า และ​เจ้า​จะ​ไม่​ข้าม​หิน​กอง​นี้​มา​หา​ฉัน​เพื่อ​ทำ​ร้าย​กัน ให้​พระ​เจ้า​ของ​อับราฮัม และ​พระ​เจ้า​ของ​นาโฮร์ คือ​พระ​เจ้า​ของ​บิดา​ของ​ท่าน​ทั้ง​สอง​ตัดสิน​ระหว่าง​เรา” ดังนั้น ยาโคบ​จึง​สาบาน​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า​ที่​อิสอัค​บิดา​ของ​ตน​เกรง​กลัว แล้ว​ยาโคบ​ถวาย​เครื่อง​สักการะ​ที่​แถบ​เทือก​เขา และ​เรียก​บรรดา​ญาติ​มา​รับประทาน​ขนมปัง พวก​เขา​ก็​รับประทาน​และ​อยู่​ที่​แถบ​เทือก​เขา​นั้น​ตลอด​คืน ลาบัน​ลุก​ขึ้น​แต่​เช้าตรู่ จูบ​แก้ม​ลา​หลานๆ และ​บุตร​หญิง​ของ​เขา อวยพร​พวก​เขา​เสร็จ​แล้ว​ก็​เดิน​ทาง​กลับ​บ้าน​ไป