อพยพ 33:11-23
อพยพ 33:11-23 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
พระยาห์เวห์เคยตรัสกับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่ผู้รับใช้หนุ่มของท่าน คือโยชูวาบุตรนูน ไม่ได้ออกไปจากเต็นท์ โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ดูสิ พระองค์ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำประชากรนี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงแจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ใครขึ้นไปกับข้าพระองค์ พระองค์เองยังตรัสว่า ‘เรารู้จักชื่อของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเราด้วย’ และบัดนี้ ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก” แล้วโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย ทำอย่างไรใครๆ จะทราบได้ว่า ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว นอกจากพระองค์จะเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยไม่ใช่หรือ? ดังนั้นข้าพระองค์และประชากรของพระองค์ จึงแตกต่างจากชนชาติอื่นๆ ทั่วโลก” พระยาห์เวห์ตรัสตอบโมเสสว่า “สิ่งที่เจ้าขอนั้นเราจะทำให้ เพราะว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเราแล้ว และเรารู้จักชื่อของเจ้า” โมเสสจึงกราบทูลว่า “ขอทรงสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด” พระองค์จึงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีทั้งสิ้นของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของยาห์เวห์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น” พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้” พระยาห์เวห์ตรัสอีกว่า “ดูสิ มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น แล้วขณะเมื่อพระสิริของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในซอกหิน และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะไม่ได้เห็น”
อพยพ 33:11-23 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสแบบซึ่งๆหน้า เหมือนกับที่คนคุยกับเพื่อนของเขา และเมื่อโมเสสกลับมาที่ค่าย โยชูวาผู้ช่วยของเขา ลูกของนูน ก็จะยังคงอยู่ที่เต็นท์นั้น โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ดูสิ พระองค์บอกกับข้าพเจ้าว่า ‘ให้นำประชาชนเหล่านี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์ไม่ได้เปิดเผยว่าพระองค์จะส่งใครไปกับข้าพเจ้าบ้าง พระองค์พูดว่า ‘เรารู้จักเจ้าดี และเราก็ชื่นชอบเจ้าด้วย’ ตอนนี้ ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของพระองค์ ขอพระองค์เปิดเผยทางของพระองค์ให้ข้าพเจ้าได้รู้จักด้วยเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์ และเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของพระองค์ อย่าลืมว่าประชาชนพวกนี้เป็นชนชาติของพระองค์เอง” พระยาห์เวห์พูดว่า “ตัวเราจะไปกับเจ้า และนำทางเจ้า” โมเสสพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์ไม่ไป ก็ขออย่าได้นำพวกข้าพเจ้าไปจากที่นี่เลย ถ้าพระองค์ไม่ไปกับพวกข้าพเจ้า แล้วจะมีอะไรแสดงให้เห็นว่า พระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้าและคนของพระองค์ แล้วข้าพเจ้าและคนของพระองค์จะแตกต่างจากชนชาติอื่นๆบนพื้นแผ่นดินโลกนี้อย่างไร” พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เราจะทำตามสิ่งที่เจ้าได้พูดมานี้ เพราะเราชอบใจในตัวเจ้า และเรารู้จักเจ้าดี” โมเสสพูดว่า “ขอได้โปรดแสดงรัศมีของพระองค์ให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยเถิด” พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “เราจะทำให้ความดีทั้งหมดของเรา ผ่านไปต่อหน้าเจ้า และเราจะเรียกชื่อพระยาห์เวห์ต่อหน้าเจ้า เราอยากจะทำดีกับใคร เราก็จะทำดีกับคนนั้น เราอยากจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาคนนั้น” พระยาห์เวห์พูดว่า “เจ้าจะไม่สามารถมองหน้าเราได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนที่เห็นหน้าเรา แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้” พระยาห์เวห์พูดว่า “มีที่อยู่แห่งหนึ่งใกล้ๆเรา เจ้าไปยืนอยู่บนก้อนหินนั้นได้ เมื่อรัศมีของเราผ่านไป เราจะเอาเจ้าใส่เข้าไปในซอกหิน และเราจะเอามือเราปิดเจ้าไว้ที่นั่น จนกว่าเราได้ผ่านไป แล้วเมื่อเราเอามือออกจากเจ้า เจ้าก็จะได้เห็นหลังของเรา แต่จะไม่เห็นหน้าของเรา”
อพยพ 33:11-23 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ดังนี้แหละพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่โยชูวาผู้รับใช้หนุ่ม ผู้เป็นบุตรชายของนูน มิได้ออกไปจากพลับพลา โมเสสกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ดูเถิด พระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำพลไพร่นี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘เรารู้จักเจ้าตามชื่อของเจ้า และเจ้าก็ได้รับความกรุณาในสายตาของเราด้วย’ ฉะนั้นบัดนี้ ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ถ้าแม้ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ แล้วจะรับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์ และขอทรงถือว่าชนชาตินี้เป็นพลไพร่ของพระองค์” ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า “เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก” ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย ทำอย่างไรจะทราบได้ตรงนี้ว่า ข้าพระองค์และพลไพร่ของพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ก็เมื่อพระองค์เสด็จไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ ดังนี้ เราทั้งหลายทั้งข้าพระองค์และพลไพร่ของพระองค์จึงจะแยกออกจากชนชาติทั้งปวงที่อยู่บนพื้นแผ่นดินโลก” ฝ่ายพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะกระทำสิ่งที่เจ้ากล่าวถึงนี้ด้วยเพราะว่าเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของเราแล้ว และเรารู้จักเจ้าตามชื่อของเจ้า” โมเสสจึงกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดสำแดงสง่าราศีของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด” พระองค์จึงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเราคือ เยโฮวาห์ ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใด เราก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น” พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้” พระเยโฮวาห์ตรัสอีกว่า “ดูเถิด มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น แล้วขณะเมื่อสง่าราศีของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลาและจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะมิได้เห็น”
อพยพ 33:11-23 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ดังนี้แหละพระเจ้าเคยตรัสสนทนากับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่โยชูวาผู้รับใช้หนุ่ม ผู้เป็นบุตรของนูน มิได้ ออกไปจากเต็นท์ โมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า <<นี่แหละพระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า <จงนำประชากรนี้ขึ้นไป> แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า <เรารู้จักเจ้าด้วยนามของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว> เหตุฉะนี้ ถ้าแม้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว ขอพระองค์ทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ แล้วจะรับความเมตตาในสายพระเนตรของพระองค์เสมอไป และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์>> ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า <<เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก>> ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า <<ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย ทำอย่างไรจะทราบได้ว่า ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปราน ของพระองค์แล้ว ก็เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ ดังนี้ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์ จึงแตกต่างกับชนชาติอื่นๆทั่วพื้นแผ่นดินโลก>> ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า <<สิ่งซึ่งเจ้าขอแล้วเราจะกระทำตาม เพราะว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว และเรารู้จักชื่อของเจ้า>> โมเสสจึงกราบทูลว่า <<ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด>> พระองค์จึงตรัสตอบว่า <<เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเราคือ เยโฮวาห์ ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น>> พระองค์จึงตรัสว่า <<เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้>> พระเจ้าตรัสอีกว่า <<นี่แหละมีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น แล้วขณะเมื่อพระสิริของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลา และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะมิได้เห็น>>
อพยพ 33:11-23 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสต่อหน้าเหมือนเพื่อนคุยกัน หลังจากนั้นโมเสสจะกลับมาที่ค่ายพัก แต่โยชูวาบุตรนูนชายหนุ่มผู้ช่วยของโมเสสยังคงอยู่ในเต็นท์ โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘จงนำประชากรเหล่านี้ไป’ แต่พระองค์ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะทรงส่งผู้ใดไปกับข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่า ‘เรารู้จักชื่อของเจ้าและเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเรา’ หากพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์ ขอทรงสอนทางของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์สืบไป นอกจากนี้ขอทรงระลึกว่าชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เราเองจะไปกับเจ้าและให้เจ้าได้หยุดพัก” โมเสสจึงกราบทูลว่า “หากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ทั้งหลายก็ขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเคลื่อนไปจากที่นี่เลย หากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปด้วย ใครเล่าจะทราบได้ว่าข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปรานและแตกต่างจากประชากรอื่นใดบนพื้นโลก?” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราจะทำตามที่เจ้าขอ เพราะเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเรา และเรารู้จักชื่อของเจ้า” โมเสสจึงกราบทูลว่า “บัดนี้ขอทรงสำแดงพระเกียรติสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะให้ความดีทั้งหมดของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเรา คือพระยาห์เวห์ต่อหน้าเจ้า เราจะเมตตาใครก็จะเมตตาคนนั้น เราจะกรุณาใครก็จะกรุณาคนนั้น แต่เจ้าไม่อาจเห็นหน้าเราเพราะมนุษย์เห็นเราแล้วไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เราซึ่งเจ้าจะยืนบนก้อนหินได้ และเมื่อเกียรติสิริของเราผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในซอกหินและเอามือบังเจ้าไว้จนกว่าเราจะผ่านไป แล้วเราจึงจะเอามือออก เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้”
อพยพ 33:11-23 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
พระผู้เป็นเจ้าสนทนากับโมเสสต่อหน้าเช่นเดียวกับคนหนึ่งพูดกับสหาย แล้วโมเสสกลับไปยังค่ายอีก ส่วนผู้ช่วยหนุ่มของท่านชื่อโยชูวาบุตรของนูนยังอยู่ในกระโจม โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ดูเถิด พระองค์พูดกับข้าพเจ้าไว้ว่า ‘จงพาชนชาติพวกนี้ออกไป’ แต่พระองค์ยังไม่ได้ให้ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะให้ใครไปกับข้าพเจ้า กระนั้นพระองค์ยังกล่าวอีกว่า ‘เรารู้จักเจ้าดีแม้แต่ชื่อของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเราด้วย’ ฉะนั้นบัดนี้หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้าทราบความประสงค์ของพระองค์เถิด ข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ต่อไป ขอพระองค์ระลึกด้วยว่าประชาชาตินี้เป็นชนชาติของพระองค์โดยแท้จริง” พระองค์กล่าวว่า “เราจะไปกับเจ้าเอง และเราจะให้เจ้าได้หยุดพัก” ท่านตอบว่า “ถ้าพระองค์ไม่ไปกับข้าพเจ้า ก็ขออย่าให้พวกข้าพเจ้าต้องออกไปจากที่นี่เลย จะมีใครทราบได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าและชนชาติของพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ นอกจากว่าพระองค์จะไปกับพวกเรา ข้าพเจ้าและชนชาติของพระองค์แตกต่างกับชนชาติอื่นบนพื้นโลกก็เนื่องจากพระองค์ไปกับพวกเรามิใช่หรือ” แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เราจะทำสิ่งที่เจ้าขอมานี้ เพราะเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราและเรารู้จักเจ้าดีแม้แต่ชื่อของเจ้า” โมเสสตอบว่า “ขอพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นพระบารมีของพระองค์เถิด” พระองค์กล่าวว่า “เราจะทำให้คุณความดีของเราทั้งหมดปรากฏต่อหน้าเจ้า และจะประกาศในนามพระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าเจ้า เรามีความเมตตาให้กับผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น และเรามีความสงสารให้กับผู้ใด เราก็จะสงสารผู้นั้น” พระองค์กล่าวว่า “แต่เจ้าจะมองไม่เห็นหน้าเรา เพราะไม่มีผู้ใดที่เห็นเราแล้วจะมีชีวิตอยู่รอด” แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด มีที่ที่เจ้าจะยืนอยู่ใกล้เราได้คือบนหินนั้น และขณะที่พระบารมีของเรากำลังผ่านไป เราจะให้เจ้าอยู่ที่ซอกหิน เราจะบังตัวเจ้าด้วยมือของเราจนกว่าเราจะผ่านไป แล้วเราจะเอามือของเราออก เจ้าก็จะเห็นหลังเรา แต่จะเห็นหน้าเราไม่ได้”