2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชา แห่งยูดาห์ เยโฮรัมโอรสของอาหับได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล ณ กรุงสะมาเรียและทรงครองอยู่สิบสองปี พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ไม่เหมือนราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งพระบาอัล ซึ่งราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำไว้เสีย แม้กระนั้นพระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่ กับบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอล ทำด้วยพระองค์หาได้ทรงพรากจากบาปนั้นไม่ ฝ่ายเมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และขนแกะผู้แสนตัวให้แก่พระราชาอิสราเอล แต่อยู่มาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาแห่งโมอับก็กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล กษัตริย์เยโฮรัมจึงกรีธาทัพออกจากสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงเกณฑ์คนอิสราเอลทั้งสิ้น พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า <<พระราชาแห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าได้หรือไม่>> และท่านว่า <<เราจะไป เราก็เป็นดังที่ท่านเป็น และประชาชนของเราก็เป็นดังประชาชนของท่าน บรรดาม้าของเราก็เป็นดังม้าของท่าน>> แล้วท่านว่า <<เราจะขึ้นไปทางใด>> เยโฮรัมทรงตอบไปว่า <<ไปทางถิ่นทุรกันดารเมืองเอโดม>> พระราชาแห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับ พระราชาแห่งยูดาห์ และพระราชาแห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่ติดตามมานั้นไม่ได้ แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า <<อนิจจาเอ๋ย พระเจ้าทรงเรียกสามกษัตริย์นี้ มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ>> และเยโฮชาฟัทตรัสว่า <<ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะให้ทูลถามพระเจ้าหรือ>> แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลจึงทูลว่า <<เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่พระเจ้าข้า เป็นผู้ที่เทน้ำใส่มือเอลียาห์>> และเยโฮชาฟัทตรัสว่า <<พระวจนะแห่งพระเจ้าอยู่กับท่าน>> พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทและ พระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน และเอลีชาทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า <<ข้าพระบาทมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาท เสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ของฝ่าพระบาทเถิด>> แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า <<หามิได้ ด้วยพระเจ้าทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ>> และเอลีชาทูลว่า <<พระเจ้าจอมโยธาซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระบาทมิได้เคารพคารวะต่อเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
โยรัม ลูกชายของอาหับได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบแปดที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทปกครองยูดาห์ โยรัมได้ครองราชย์อยู่สิบสองปี กษัตริย์โยรัมทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งที่พ่อแม่ของเขาทำ คือเขาได้ทำลายหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลที่พ่อของเขาได้สร้างเอาไว้ แต่ว่า เขาได้ทำบาปตามอย่างของเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้ชนชาติอิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย โยรัมไม่ยอมหันเหไปจากสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้เลย ในเวลานั้นกษัตริย์เมชาของโมอับได้เลี้ยงแกะไว้มากมาย และเขาต้องจัดหาลูกแกะหนึ่งแสนตัวและขนแกะตัวผู้หนึ่งแสนผืนให้กับกษัตริย์ของอิสราเอล แต่หลังจากกษัตริย์อาหับตาย กษัตริย์ของโมอับได้กบฏต่อกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์โยรัมจึงยกทัพออกจากเมืองสะมาเรีย ได้รวบรวมพลจากทั่วทั้งอิสราเอลมา กษัตริย์โยรัมยังได้ส่งข่าวนี้ไปถึงกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์ด้วยว่า “กษัตริย์โมอับได้กบฏต่อเราแล้ว ท่านจะไปช่วยเราสู้รบกับพวกโมอับไหม” เยโฮชาฟัทตอบมาว่า “ท่านกับเราก็เป็นหนึ่งเดียวกันทหารของเราก็เป็นทหารของท่าน พวกม้าของเราก็เป็นพวกม้าของท่าน” เยโฮชาฟัทถามว่า “เราจะใช้เส้นทางไหนเข้าโจมตีดี” โยรัมตอบว่า “ผ่านทางทะเลทรายเอโดม” กษัตริย์ของอิสราเอลจึงออกเดินทางไปกับกษัตริย์ของยูดาห์พร้อมกับกษัตริย์ของเอโดม หลังจากที่เดินทางไปได้เจ็ดวัน ในกองทัพก็ไม่มีน้ำเหลืออยู่เลยไม่ว่าสำหรับคนหรือสัตว์ที่มากับกองทัพ กษัตริย์ของอิสราเอลอุทานออกมาว่า “อะไรกันนี่ นี่พระยาห์เวห์เรียกพวกเราที่เป็นกษัตริย์ทั้งสามคนให้มาอยู่ด้วยกันก็เพื่อที่จะมอบพวกเราให้กับพวกโมอับอย่างนั้นหรือ” แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ไม่มีผู้พูดแทนพระยาห์เวห์อยู่ที่นี่สักคนเลยหรือ พวกเราจะได้ถามพระยาห์เวห์ผ่านทางเขาได้” มีข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์อิสราเอลตอบว่า “เอลีชาลูกชายของชาฟัทอยู่ที่นี่ เขาเคยรับใช้เอลียาห์มาก่อน” เยโฮชาฟัทพูดว่า “คำพูดของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” กษัตริย์ของอิสราเอลและเยโฮชาฟัทรวมทั้งกษัตริย์ของเอโดมได้ลงไปพบเอลีชา เอลีชาพูดกับกษัตริย์ของอิสราเอลว่า “ข้าไปเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย ไปหาพวกผู้พูดแทนพระทั้งหลายของพ่อแม่ท่านสิ” กษัตริย์ของอิสราเอลตอบว่า “ไม่ไปหรอก เรามาหาเจ้าก็เพราะเป็นพระยาห์เวห์นั่นแหละ ที่ได้เรียกพวกเราทั้งสามคนที่เป็นกษัตริย์ออกมา เพื่อจะมอบพวกเราให้กับพวกโมอับ” เอลีชาจึงพูดว่า “พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้ที่ข้าพเจ้ารับใช้ มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า หากไม่มีกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์อยู่ด้วย ข้าพเจ้าก็จะไม่มองหรือให้ความสนใจเจ้าแม้แต่นิดเดียว
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
โยรัมพระราชโอรสของอาหับทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย ในปีที่ 18 ของรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ และทรงครองราชย์อยู่ 12 ปี โยรัมทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ไม่ทรงเหมือนพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงรื้อเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล ซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงทำไว้ แม้กระนั้น พระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่กับบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำให้อิสราเอลทำบาปด้วย โยรัมไม่ได้ทรงหันจากบาปนั้น เมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะผู้ 100,000 ตัวแก่พระราชาอิสราเอล ต่อมาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาแห่งโมอับก็กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล กษัตริย์โยรัมจึงทรงออกจากกรุงสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงระดมพลคนอิสราเอลทั้งสิ้น พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า “พระราชาแห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าหรือไม่?” และพระองค์ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น และประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนม้าของท่าน” แล้วตรัสต่อไปว่า “พวกเราจะยกขึ้นไปทางไหน?” โยรัมตรัสตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม” พระราชาแห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับพระราชาแห่งยูดาห์ และพระราชาแห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่มาด้วยไม่ได้ แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า “อนิจจาเอ๋ย พระยาห์เวห์ทรงเรียกสามกษัตริย์นี้มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ” แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพื่อเราจะให้เขาทูลถามพระยาห์เวห์หรือ?” แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ พ่ะย่ะค่ะ เขาเคยเป็นคนรับใช้ของเอลียาห์” และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” พระราชาแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัท และพระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน เอลีชาทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ข้าพระบาทมีอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาทหรือ? เชิญเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของฝ่าพระบาทเถิด” แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า “ไม่ไป เพราะพระยาห์เวห์ทรงเรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” แล้วเอลีชาทูลว่า “พระยาห์เวห์จอมทัพซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระบาทไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองหรือแลดูพระองค์เลย
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮรัมโอรสของอาหับได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล ณ กรุงสะมาเรีย และทรงครองอยู่สิบสองปี พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ แต่ไม่เหมือนราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งพระบาอัล ซึ่งราชบิดาของพระองค์ทรงสร้างนั้นเสีย แม้กระนั้นพระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่กับบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย พระองค์หาได้ทรงพรากจากบาปนั้นไม่ ฝ่ายเมชากษัตริย์แห่งโมอับทรงเป็นผู้ดำเนินกิจการเลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และแกะผู้หนึ่งแสนตัวพร้อมกับขนของมันให้แก่กษัตริย์อิสราเอล แต่อยู่มาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์แห่งโมอับก็กบฏต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอล กษัตริย์เยโฮรัมจึงกรีธาทัพออกจากสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงเกณฑ์คนอิสราเอลทั้งสิ้น พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “กษัตริย์แห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าได้หรือไม่” และท่านว่า “เราจะไป เราก็เป็นดังที่ท่านเป็น และประชาชนของเราก็เป็นดังประชาชนของท่าน บรรดาม้าของเราก็เป็นดังม้าของท่าน” แล้วท่านว่า “เราจะขึ้นไปทางใด” เยโฮรัมทรงตอบไปว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเมืองเอโดม” กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับกษัตริย์แห่งยูดาห์ และกษัตริย์แห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้วก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่ติดตามมานั้นไม่ได้ แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า “อนิจจาเอ๋ย พระเยโฮวาห์ทรงเรียกสามกษัตริย์นี้มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ” และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์ เพื่อเราจะให้ทูลถามพระเยโฮวาห์หรือ” แล้วข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์อิสราเอลจึงทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่พระเจ้าข้า เป็นผู้ที่เทน้ำใส่มือเอลียาห์” และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระวจนะแห่งพระเยโฮวาห์อยู่กับท่าน” กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทและกษัตริย์แห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน และเอลีชาทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพระองค์มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับพระองค์ เสด็จไปหาผู้พยากรณ์ของเสด็จพ่อและผู้พยากรณ์ของเสด็จแม่ของพระองค์เถิด” แต่กษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า “หามิได้ ด้วยพระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” และเอลีชาทูลว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธาซึ่งข้าพระองค์ปรนนิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระองค์มิได้เคารพคารวะต่อพระพักตร์เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชา แห่งยูดาห์ เยโฮรัมโอรสของอาหับได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล ณ กรุงสะมาเรียและทรงครองอยู่สิบสองปี พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ไม่เหมือนราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งพระบาอัล ซึ่งราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำไว้เสีย แม้กระนั้นพระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่ กับบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอล ทำด้วยพระองค์หาได้ทรงพรากจากบาปนั้นไม่ ฝ่ายเมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และขนแกะผู้แสนตัวให้แก่พระราชาอิสราเอล แต่อยู่มาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาแห่งโมอับก็กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล กษัตริย์เยโฮรัมจึงกรีธาทัพออกจากสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงเกณฑ์คนอิสราเอลทั้งสิ้น พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า <<พระราชาแห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าได้หรือไม่>> และท่านว่า <<เราจะไป เราก็เป็นดังที่ท่านเป็น และประชาชนของเราก็เป็นดังประชาชนของท่าน บรรดาม้าของเราก็เป็นดังม้าของท่าน>> แล้วท่านว่า <<เราจะขึ้นไปทางใด>> เยโฮรัมทรงตอบไปว่า <<ไปทางถิ่นทุรกันดารเมืองเอโดม>> พระราชาแห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับ พระราชาแห่งยูดาห์ และพระราชาแห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่ติดตามมานั้นไม่ได้ แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า <<อนิจจาเอ๋ย พระเจ้าทรงเรียกสามกษัตริย์นี้ มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ>> และเยโฮชาฟัทตรัสว่า <<ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะให้ทูลถามพระเจ้าหรือ>> แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลจึงทูลว่า <<เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่พระเจ้าข้า เป็นผู้ที่เทน้ำใส่มือเอลียาห์>> และเยโฮชาฟัทตรัสว่า <<พระวจนะแห่งพระเจ้าอยู่กับท่าน>> พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทและ พระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน และเอลีชาทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า <<ข้าพระบาทมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาท เสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ของฝ่าพระบาทเถิด>> แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า <<หามิได้ ด้วยพระเจ้าทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ>> และเอลีชาทูลว่า <<พระเจ้าจอมโยธาซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระบาทมิได้เคารพคารวะต่อเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
โยรัม โอรสของอาหับขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบแปดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงครองราชย์อยู่สิบสองปี พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ถึงขนาดที่ราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ได้ทรงทำไว้ พระองค์ทรงกวาดล้างหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลซึ่งราชบิดาได้สร้างไว้ แต่โยรัมยังคงยึดมั่นในบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัทซึ่งชักนำอิสราเอลให้ทำตาม โยรัมไม่ได้เลิกทำบาปนั้น ฝ่ายกษัตริย์เมชาแห่งโมอับทรงเลี้ยงแกะ พระองค์ต้องนำลูกแกะหนึ่งแสนตัวและขนแกะตัวผู้หนึ่งแสนตัวมาเป็นบรรณาการแก่กษัตริย์อิสราเอล แต่หลังจากอาหับสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์โมอับก็กบฏต่อกษัตริย์อิสราเอล ครั้งนั้นกษัตริย์โยรัมจึงเสด็จจากสะมาเรีย และระดมทัพอิสราเอลทั้งหมด และส่งสาส์นไปยังกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ มีใจความว่า “กษัตริย์โมอับกบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับโมอับหรือไม่?” เยโฮชาฟัทตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไปกับท่าน เราเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นม้าของท่าน” กษัตริย์เยโฮชาฟัทถามว่า “ว่าแต่เราจะโจมตีจากทางไหน?” โยรัมตอบว่า “จากถิ่นกันดารเอโดม” ฉะนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงกรีธาทัพออกไปร่วมรบกับกษัตริย์ยูดาห์และกษัตริย์เอโดม หลังจากอ้อมผ่านถิ่นกันดารเป็นเวลาเจ็ดวันก็ไม่มีน้ำเหลือสำหรับคนและสัตว์พาหนะเลย กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “อะไรกันนี่! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราทั้งสามกษัตริย์มาที่นี่เพื่อมอบไว้ในมือของโมอับหรือ?” แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลยหรือ เราจะได้ขอให้ช่วยทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า?” นายทหารคนหนึ่งของกษัตริย์อิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ เขาเคยเป็นผู้ช่วยของเอลียาห์” เยโฮชาฟัทตรัสว่า “เราจะรู้พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากเขาผู้นี้” ฉะนั้นกษัตริย์อิสราเอล กษัตริย์เยโฮชาฟัท และกษัตริย์เอโดมจึงไปพบเอลีชา เอลีชากล่าวกับกษัตริย์อิสราเอลว่า “เรามีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือ? ไปหาผู้เผยพระวจนะของบิดามารดาท่านสิ” แต่กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “ไม่ได้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละทรงเรียกเราทั้งสามกษัตริย์มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” เอลีชาตอบว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ซึ่งเรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ เราจะไม่มองหน้าท่านฉันนั้น ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าท่านอยู่ที่นี่
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-14 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
ในปีที่สิบแปดของเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ โยรัมบุตรอาหับเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์ 12 ปี ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังไม่เท่ากับที่บิดาและมารดาของท่านกระทำ เพราะว่าท่านกำจัดเสาหินเทวรูปบาอัลที่บิดาของท่านได้สร้างไว้ แม้กระนั้น ท่านก็ยังทำบาปทำนองเดียวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัท อันเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป ท่านไม่ได้เลิกจากการทำบาป ส่วนเม-ชากษัตริย์แห่งโมอับเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ ท่านต้องมอบลูกแกะ 100,000 ตัว และมอบขนจากแกะตัวผู้ 100,000 ตัว ให้แก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล แต่เมื่ออาหับสิ้นชีวิตแล้ว กษัตริย์แห่งโมอับจึงแข็งข้อต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอล ในครั้งนั้น กษัตริย์โยรัมจึงยกทัพจากสะมาเรีย โดยรวบรวมกำลังทหารอิสราเอลทั้งหมด และท่านส่งข่าวไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “กษัตริย์แห่งโมอับได้แข็งข้อต่อเรา ท่านจะไปโจมตีโมอับร่วมกับเราไหม” ท่านตอบว่า “เราจะไปด้วย เราก็เป็นเหมือนท่าน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน ม้าของเราก็เป็นเหมือนม้าของท่าน” ท่านถามว่า “แล้วเราจะเดินทัพกันไปทางไหน” โยรัมตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารของเอโดม” ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงไปกับกษัตริย์แห่งยูดาห์และกษัตริย์แห่งเอโดม หลังจากที่ได้เดินจนรอบเป็นเวลา 7 วันแล้ว น้ำสำหรับกองทัพและสัตว์ที่ไปด้วยก็หมด กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าได้เรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มา เพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะได้ปรึกษาพระผู้เป็นเจ้าผ่านท่านหรือ” ผู้รับใช้คนหนึ่งของกษัตริย์แห่งอิสราเอลตอบว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ ท่านเคยเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดของเอลียาห์” เยโฮชาฟัทพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านท่าน” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอล และเยโฮชาฟัท และกษัตริย์แห่งเอโดมจึงไปหาท่าน เอลีชาพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องของท่าน ท่านไปหาบรรดาผู้เผยคำกล่าวของบิดาของท่าน และของมารดาของท่านเถิด” แต่กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับท่านว่า “ไม่หรอก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่เรียกพวกเรากษัตริย์ทั้งสามมาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” เอลีชาพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธามีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้ายืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์ หากว่าข้าพเจ้าไม่ได้เคารพต่อเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่มองท่าน หรือแม้แต่จะสังเกตเห็นท่านเลย