1 ซามูเอล 30:1-25
1 ซามูเอล 30:1-25 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
ดาวิดกับพวกของเขากลับมาถึงเมืองศิกลากในวันที่สาม ปรากฏว่าชาวอามาเลคได้มาปล้นเนเกบและศิกลาก พวกเขาเข้าโจมตีและเผาเมืองศิกลาก และจับผู้หญิงและทุกคนในเมืองไว้ ทั้งเด็กและคนแก่ ชาวอามาเลคไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กวาดต้อนคนทั้งหมดไปตามทางของพวกเขา เมื่อดาวิดและพวกมาถึงเมืองศิกลาก พวกเขาพบว่าเมืองถูกเผาทำลาย ทั้งเมีย ทั้งลูกชายลูกสาวของพวกเขา ถูกจับตัวไปหมด ดังนั้นดาวิดและพวกจึงร้องไห้เสียงดังจนหมดเรี่ยวแรงไม่สามารถร้องต่อไปได้อีก เมียทั้งสองคนของดาวิดคือนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและนางอาบีกายิล เมียม่ายของนาบาลชาวคารเมล ก็ถูกจับไปด้วย ดาวิดตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะผู้คนพูดกันว่าจะเอาหินขว้างเขา แต่ละคนรู้สึกขมขื่นใจ เพราะลูกชายลูกสาวของพวกเขาถูกจับไป แต่ดาวิดก็มีความกล้าขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา ดาวิดพูดกับนักบวชอาบียาธาร์ลูกชายของอาหิเมเลคว่า “เอาเอโฟดมาให้เราหน่อย” อาบียาธาร์ก็เอามาให้เขา และดาวิดก็ร้องถามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าควรจะตามโจรกลุ่มนี้ไปหรือไม่ และข้าพเจ้าจะไล่พวกมันทันหรือเปล่า” พระองค์ตอบว่า “ตามล่ามันไป เจ้าจะไล่พวกมันทัน และช่วยเหลือคนได้สำเร็จ” ดาวิดและชายหนุ่มหกร้อยคน ได้ออกติดตามโจรกลุ่มนั้นไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเบโสร์ ที่นั่นเขาได้ทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้ เพราะมีสองร้อยคนที่เหน็ดเหนื่อยมากจนไม่สามารถข้ามลุ่มแม่น้ำไปได้ จึงหยุดพักอยู่ที่นั่น ส่วนดาวิดและคนอีกสี่ร้อยคนยังคงไล่ตามต่อไป พวกเขาพบคนอียิปต์คนหนึ่งในท้องทุ่ง จึงพามาพบดาวิด เขาให้น้ำกับคนอียิปต์นั้นดื่ม ให้อาหารเขากิน เขาให้ผลมะเดื่อแห้งและเค้กองุ่นแห้งสองชิ้น เมื่อเขากินแล้วเขาก็ดีขึ้น เพราะเขาไม่ได้กินและดื่มอะไรเลยมาสามวันสามคืนแล้ว ดาวิดถามคนอียิปต์นั้นว่า “เจ้าเป็นคนของใคร และเจ้ามาจากไหน” คนอียิปต์ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนอียิปต์ เป็นทาสของคนอามาเลค นายของข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าไว้ เพราะข้าพเจ้าป่วยเมื่อสามวันก่อน พวกเราได้เข้าปล้นเขตแดนเนเกบ ที่คนเคเรธี อาศัยอยู่ และดินแดนที่เป็นของยูดาห์ รวมทั้งเขตแดนเนเกบที่ตระกูลคาเลบอาศัยอยู่ และพวกเราก็เผาศิกลากทิ้ง” ดาวิดถามคนอียิปต์ว่า “เจ้าช่วยพาเราลงไปถึงโจรกลุ่มนี้ได้หรือเปล่า” คนอียิปต์ตอบว่า “สาบานต่อหน้าพระเจ้าก่อนว่า ท่านจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า หรือส่งข้าพเจ้ากลับคืนไปหานายข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะพาท่านลงไปถึงโจรกลุ่มนี้” คนอียิปต์พาดาวิดไปหาอามาเลค และที่นั่น ดาวิดก็ได้พบกับคนเหล่านั้น อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในแถบชนบท กำลังกิน ดื่ม และเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน เพราะได้ปล้นของมาเป็นจำนวนมากจากแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียและจากยูดาห์ ดาวิดสู้รบกับพวกโจรตั้งแต่ตอนค่ำจนถึงเย็นของอีกวันหนึ่ง และไม่มีใครหนีรอดไปได้เลย นอกจากชายหนุ่มสี่ร้อยคนที่ขี่อูฐหนีไปได้ ดาวิดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวอามาเลคยึดมา รวมถึงเมียทั้งสองของเขาด้วย ดาวิดยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาหมด ไม่มีอะไรขาดเลย ทั้งคนหนุ่ม คนแก่ เด็กชายเด็กหญิง ของที่โจรปล้นเอามา หรืออะไรก็ตามที่พวกโจรได้ปล้นเอาไปนั้น ดาวิดเอากลับมาหมด ดาวิดยึดฝูงแพะแกะและฝูงโคมาได้ และคนของเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “นี่คือของที่ดาวิดปล้นมาได้” เมื่อดาวิดมาถึงบริเวณที่คนสองร้อยคน ที่เหนื่อยเกินไปที่จะตามดาวิด และถูกทิ้งไว้ที่ลุ่มแม่น้ำเบโสร์ พวกเขาออกมาพบดาวิดกับพวกที่มากับดาวิด เมื่อดาวิดกับพวกของเขามาถึง พวกนั้นก็ออกมาถามทุกข์สุขของดาวิดและพรรคพวก แต่มีบางคนในพวกที่ติดตามดาวิดไป ที่เป็นคนชั่วร้ายและชอบสร้างปัญหา พูดขึ้นว่า “คนพวกนี้ไม่ได้ออกไปกับพวกเรา ก็ไม่ควรได้รับส่วนแบ่งในของที่เรายึดมาได้ นอกจากลูกเมียของพวกเขาเท่านั้น” ดาวิดพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกท่านต้องไม่ทำอย่างนั้นกับสิ่งที่พระยาห์เวห์ให้กับพวกเรา และได้มอบพวกโจรกลุ่มนี้ที่ได้สู้รบกับพวกเราให้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา ใครจะฟังเจ้าในเรื่องนี้ ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งเท่าๆกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่เฝ้าสัมภาระอยู่ที่นี่ หรือคนที่ลงไปสู้รบ” ดาวิดทำให้เรื่องนี้เป็นกฏระเบียบของชาวอิสราเอล มาจนถึงทุกวันนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับศิกลากแล้ว พวกเขาโจมตีศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ และจับพวกผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กวาดต้อนไปตามทางของพวกเขา เมื่อดาวิดกับพวกของท่านมาถึงเมืองนั้น และดูเถิด เมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย แล้วดาวิดกับพวกทหารที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก นางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และนางอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกจับไปเป็นเชลยด้วย และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะพวกทหารพูดกันว่าจะขว้างท่านให้ตายด้วยก้อนหิน เพราะจิตใจของพวกทหารทุกคนขมขื่น เพราะเรื่องพวกบุตรชายและบุตรหญิงของพวกเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า “นำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า” อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด และดาวิดทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะไล่ตามกองปล้นนี้หรือ? ข้าพระองค์จะไปทันพวกเขาหรือ?” พระองค์ทรงตอบท่านว่า “จงไล่ตามเถิด เพราะเจ้าจะไปทันพวกเขาแน่ และจะช่วยกู้ได้แน่” ดาวิดออกไปพร้อมกับชายที่อยู่กับท่าน 600 คนนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็หยุดอยู่ที่นั่น แต่ดาวิดไล่ตามต่อไป ทั้งตัวท่านและชาย 400 คน ส่วนชาย 200 คนที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่ พวกเขาพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ในทุ่งนา จึงนำเขามาหาดาวิด พวกเขาให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม และให้ขนมมะเดื่อชิ้นหนึ่งกับลูกเกดสองพวง เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว และดาวิดถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนของใคร? และเจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วนายของข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าป่วย พวกเรามาปล้นที่เนเกบของคนเคเรธี และปล้นที่ของยูดาห์ และที่เนเกบของคาเลบ และพวกเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ” ดาวิดถามเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่?” เขาตอบว่า “ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น” เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบพวกเขากระจายกันอยู่เต็มทั่วพื้นดิน ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะของที่ปล้นได้มากมายซึ่งพวกเขาเอามาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดจากพวกเขาไปได้สักคน ยกเว้นพวกคนหนุ่ม 400 คนซึ่งขี่อูฐหนีไป ดาวิดกู้สิ่งของ ที่คนอามาเลขนำไปมาได้ทั้งหมด และดาวิดช่วยกู้ภรรยาทั้งสองของท่านมาได้ ไม่มีอะไรของพวกเขาที่ขาดไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรหญิง ในสิ่งที่ถูกปล้นไปหรือทุกสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเอาไปเป็นของพวกเขา ดาวิดได้คืนมาหมด ดาวิดยังยึดฝูงแพะแกะ ฝูงโคทั้งหมด ซึ่งพวกเขาไล่ต้อนไปข้างหน้าฝูงสัตว์ฝูงอื่น พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดาวิดยึดมา” แล้วดาวิดกลับมายังชาย 200 คนผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาออกไปพบดาวิดและพวกทหารที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้คนหมู่นั้น ท่านก็ทักทายพวกเขา คนอธรรมและคนก่อกวนทั้งสิ้นในพวกคนที่ติดตามดาวิดไปกล่าวว่า “เพราะพวกเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรายึดมาได้แก่พวกเขา นอกจากที่เราช่วยกู้มาให้ชายทุกคน คือภรรยาของเขาและพวกบุตรชายของเขา ให้พวกเขาไปได้” แต่ดาวิดกล่าวว่า “พวกพี่น้องของข้าพเจ้า พวกท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงมอบแก่พวกเรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาพวกเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับพวกเราไว้ในมือของพวกเรา ในเรื่องนี้ใครจะฟังพวกท่าน เพราะคนที่ลงไปในสงครามได้ส่วนแบ่งของพวกเขาอย่างไร คนที่อยู่กับกองสัมภาระก็จะได้รับส่วนแบ่งอย่างนั้นเหมือนกัน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎและหลักปฏิบัติแก่อิสราเอลจนทุกวันนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
ดาวิดกับพวกของเขากลับมาถึงเมืองศิกลากในวันที่สาม ปรากฏว่าชาวอามาเลคได้มาปล้นเนเกบและศิกลาก พวกเขาเข้าโจมตีและเผาเมืองศิกลาก และจับผู้หญิงและทุกคนในเมืองไว้ ทั้งเด็กและคนแก่ ชาวอามาเลคไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กวาดต้อนคนทั้งหมดไปตามทางของพวกเขา เมื่อดาวิดและพวกมาถึงเมืองศิกลาก พวกเขาพบว่าเมืองถูกเผาทำลาย ทั้งเมีย ทั้งลูกชายลูกสาวของพวกเขา ถูกจับตัวไปหมด ดังนั้นดาวิดและพวกจึงร้องไห้เสียงดังจนหมดเรี่ยวแรงไม่สามารถร้องต่อไปได้อีก เมียทั้งสองคนของดาวิดคือนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและนางอาบีกายิล เมียม่ายของนาบาลชาวคารเมล ก็ถูกจับไปด้วย ดาวิดตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะผู้คนพูดกันว่าจะเอาหินขว้างเขา แต่ละคนรู้สึกขมขื่นใจ เพราะลูกชายลูกสาวของพวกเขาถูกจับไป แต่ดาวิดก็มีความกล้าขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา ดาวิดพูดกับนักบวชอาบียาธาร์ลูกชายของอาหิเมเลคว่า “เอาเอโฟดมาให้เราหน่อย” อาบียาธาร์ก็เอามาให้เขา และดาวิดก็ร้องถามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าควรจะตามโจรกลุ่มนี้ไปหรือไม่ และข้าพเจ้าจะไล่พวกมันทันหรือเปล่า” พระองค์ตอบว่า “ตามล่ามันไป เจ้าจะไล่พวกมันทัน และช่วยเหลือคนได้สำเร็จ” ดาวิดและชายหนุ่มหกร้อยคน ได้ออกติดตามโจรกลุ่มนั้นไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเบโสร์ ที่นั่นเขาได้ทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้ เพราะมีสองร้อยคนที่เหน็ดเหนื่อยมากจนไม่สามารถข้ามลุ่มแม่น้ำไปได้ จึงหยุดพักอยู่ที่นั่น ส่วนดาวิดและคนอีกสี่ร้อยคนยังคงไล่ตามต่อไป พวกเขาพบคนอียิปต์คนหนึ่งในท้องทุ่ง จึงพามาพบดาวิด เขาให้น้ำกับคนอียิปต์นั้นดื่ม ให้อาหารเขากิน เขาให้ผลมะเดื่อแห้งและเค้กองุ่นแห้งสองชิ้น เมื่อเขากินแล้วเขาก็ดีขึ้น เพราะเขาไม่ได้กินและดื่มอะไรเลยมาสามวันสามคืนแล้ว ดาวิดถามคนอียิปต์นั้นว่า “เจ้าเป็นคนของใคร และเจ้ามาจากไหน” คนอียิปต์ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนอียิปต์ เป็นทาสของคนอามาเลค นายของข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าไว้ เพราะข้าพเจ้าป่วยเมื่อสามวันก่อน พวกเราได้เข้าปล้นเขตแดนเนเกบ ที่คนเคเรธี อาศัยอยู่ และดินแดนที่เป็นของยูดาห์ รวมทั้งเขตแดนเนเกบที่ตระกูลคาเลบอาศัยอยู่ และพวกเราก็เผาศิกลากทิ้ง” ดาวิดถามคนอียิปต์ว่า “เจ้าช่วยพาเราลงไปถึงโจรกลุ่มนี้ได้หรือเปล่า” คนอียิปต์ตอบว่า “สาบานต่อหน้าพระเจ้าก่อนว่า ท่านจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า หรือส่งข้าพเจ้ากลับคืนไปหานายข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะพาท่านลงไปถึงโจรกลุ่มนี้” คนอียิปต์พาดาวิดไปหาอามาเลค และที่นั่น ดาวิดก็ได้พบกับคนเหล่านั้น อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในแถบชนบท กำลังกิน ดื่ม และเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน เพราะได้ปล้นของมาเป็นจำนวนมากจากแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียและจากยูดาห์ ดาวิดสู้รบกับพวกโจรตั้งแต่ตอนค่ำจนถึงเย็นของอีกวันหนึ่ง และไม่มีใครหนีรอดไปได้เลย นอกจากชายหนุ่มสี่ร้อยคนที่ขี่อูฐหนีไปได้ ดาวิดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวอามาเลคยึดมา รวมถึงเมียทั้งสองของเขาด้วย ดาวิดยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาหมด ไม่มีอะไรขาดเลย ทั้งคนหนุ่ม คนแก่ เด็กชายเด็กหญิง ของที่โจรปล้นเอามา หรืออะไรก็ตามที่พวกโจรได้ปล้นเอาไปนั้น ดาวิดเอากลับมาหมด ดาวิดยึดฝูงแพะแกะและฝูงโคมาได้ และคนของเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “นี่คือของที่ดาวิดปล้นมาได้” เมื่อดาวิดมาถึงบริเวณที่คนสองร้อยคน ที่เหนื่อยเกินไปที่จะตามดาวิด และถูกทิ้งไว้ที่ลุ่มแม่น้ำเบโสร์ พวกเขาออกมาพบดาวิดกับพวกที่มากับดาวิด เมื่อดาวิดกับพวกของเขามาถึง พวกนั้นก็ออกมาถามทุกข์สุขของดาวิดและพรรคพวก แต่มีบางคนในพวกที่ติดตามดาวิดไป ที่เป็นคนชั่วร้ายและชอบสร้างปัญหา พูดขึ้นว่า “คนพวกนี้ไม่ได้ออกไปกับพวกเรา ก็ไม่ควรได้รับส่วนแบ่งในของที่เรายึดมาได้ นอกจากลูกเมียของพวกเขาเท่านั้น” ดาวิดพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกท่านต้องไม่ทำอย่างนั้นกับสิ่งที่พระยาห์เวห์ให้กับพวกเรา และได้มอบพวกโจรกลุ่มนี้ที่ได้สู้รบกับพวกเราให้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา ใครจะฟังเจ้าในเรื่องนี้ ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งเท่าๆกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่เฝ้าสัมภาระอยู่ที่นี่ หรือคนที่ลงไปสู้รบ” ดาวิดทำให้เรื่องนี้เป็นกฏระเบียบของชาวอิสราเอล มาจนถึงทุกวันนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับศิกลากแล้ว พวกเขาโจมตีศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ และจับพวกผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กวาดต้อนไปตามทางของพวกเขา เมื่อดาวิดกับพวกของท่านมาถึงเมืองนั้น และดูเถิด เมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย แล้วดาวิดกับพวกทหารที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก นางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และนางอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกจับไปเป็นเชลยด้วย และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะพวกทหารพูดกันว่าจะขว้างท่านให้ตายด้วยก้อนหิน เพราะจิตใจของพวกทหารทุกคนขมขื่น เพราะเรื่องพวกบุตรชายและบุตรหญิงของพวกเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า “นำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า” อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด และดาวิดทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะไล่ตามกองปล้นนี้หรือ? ข้าพระองค์จะไปทันพวกเขาหรือ?” พระองค์ทรงตอบท่านว่า “จงไล่ตามเถิด เพราะเจ้าจะไปทันพวกเขาแน่ และจะช่วยกู้ได้แน่” ดาวิดออกไปพร้อมกับชายที่อยู่กับท่าน 600 คนนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็หยุดอยู่ที่นั่น แต่ดาวิดไล่ตามต่อไป ทั้งตัวท่านและชาย 400 คน ส่วนชาย 200 คนที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่ พวกเขาพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ในทุ่งนา จึงนำเขามาหาดาวิด พวกเขาให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม และให้ขนมมะเดื่อชิ้นหนึ่งกับลูกเกดสองพวง เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว และดาวิดถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนของใคร? และเจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วนายของข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าป่วย พวกเรามาปล้นที่เนเกบของคนเคเรธี และปล้นที่ของยูดาห์ และที่เนเกบของคาเลบ และพวกเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ” ดาวิดถามเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่?” เขาตอบว่า “ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น” เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบพวกเขากระจายกันอยู่เต็มทั่วพื้นดิน ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะของที่ปล้นได้มากมายซึ่งพวกเขาเอามาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดจากพวกเขาไปได้สักคน ยกเว้นพวกคนหนุ่ม 400 คนซึ่งขี่อูฐหนีไป ดาวิดกู้สิ่งของ ที่คนอามาเลขนำไปมาได้ทั้งหมด และดาวิดช่วยกู้ภรรยาทั้งสองของท่านมาได้ ไม่มีอะไรของพวกเขาที่ขาดไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรหญิง ในสิ่งที่ถูกปล้นไปหรือทุกสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเอาไปเป็นของพวกเขา ดาวิดได้คืนมาหมด ดาวิดยังยึดฝูงแพะแกะ ฝูงโคทั้งหมด ซึ่งพวกเขาไล่ต้อนไปข้างหน้าฝูงสัตว์ฝูงอื่น พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดาวิดยึดมา” แล้วดาวิดกลับมายังชาย 200 คนผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาออกไปพบดาวิดและพวกทหารที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้คนหมู่นั้น ท่านก็ทักทายพวกเขา คนอธรรมและคนก่อกวนทั้งสิ้นในพวกคนที่ติดตามดาวิดไปกล่าวว่า “เพราะพวกเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรายึดมาได้แก่พวกเขา นอกจากที่เราช่วยกู้มาให้ชายทุกคน คือภรรยาของเขาและพวกบุตรชายของเขา ให้พวกเขาไปได้” แต่ดาวิดกล่าวว่า “พวกพี่น้องของข้าพเจ้า พวกท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงมอบแก่พวกเรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาพวกเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับพวกเราไว้ในมือของพวกเรา ในเรื่องนี้ใครจะฟังพวกท่าน เพราะคนที่ลงไปในสงครามได้ส่วนแบ่งของพวกเขาอย่างไร คนที่อยู่กับกองสัมภาระก็จะได้รับส่วนแบ่งอย่างนั้นเหมือนกัน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎและหลักปฏิบัติแก่อิสราเอลจนทุกวันนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงเมืองศิกลากปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นทางภาคใต้กับปล้นศิกลากแล้ว เขาชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็นเชลยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลย แต่กวาดต้อนไปตามทางของเขา เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมือง ดูเถิด เมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรสาวของเขาก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก อาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลภรรยาของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วย และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่าจะขว้างท่านเสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรสาวของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตบุตรชายของอาหิเมเลคว่า “ขอนำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า” อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด และดาวิดทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะขับทันเขาหรือ” พระองค์ตอบท่านว่า “จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทันเขาแน่ และจะเอาสิ่งสารพัดกลับคืนแน่” ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ที่นั่น แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่ เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว และดาวิดถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนพวกไหน และเจ้ามาจากไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วข้าพเจ้าป่วย นายข้าพเจ้าจึงทิ้งข้าพเจ้าไว้ เรามาปล้นที่ถิ่นใต้ของคนเคเรธี และปล้นที่ส่วนของยูดาห์ และที่ถิ่นใต้ของคาเลบ และเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ” ดาวิดถามเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่” เขาตอบว่า “ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น” เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าวของมากมายมาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป ดาวิดได้สิ่งของต่างๆที่คนอามาเลขริบคืนมาทั้งหมด และดาวิดช่วยภรรยาทั้งสองของท่านรอดได้ ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรสาว ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะแกะฝูงวัว และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าท่านกล่าวว่า “นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา” แล้วดาวิดกลับมายังคนสองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิดและต้อนรับประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขาทั้งหลาย คนชั่วและคนอันธพาลทั้งสิ้นในพวกพลที่ติดตามดาวิดไปจึงกล่าวว่า “เพราะเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เราริบมาได้แก่เขาเลย นอกจากให้ต่างคนมาพาภรรยาและบุตรของเขาไปก็แล้วกัน” แต่ดาวิดกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้ และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับเราไว้ในมือของเรา ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน เพราะคนที่ลงไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระอยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้งหลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎแก่อิสราเอลจนทุกวันนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึง เมืองศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับปล้นศิกลากแล้ว เขาชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็น เชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลยแต่กวาดต้อนไปตามทางของเขา เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมือง ก็เห็นว่าเมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของเขาก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียง ดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก อาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย ด้วย และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่า จะขว้างท่าน เสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรหญิงของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า <<ขอนำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า>> อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด และดาวิดทูลถามพระเจ้าว่า <<สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะขับทันเขาหรือ>> พระองค์ตอบท่านว่า <<จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทันเขาแน่ และจะช่วยได้แน่>> ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ที่นั่น แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่ เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือ ดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว และดาวิดถามเขาว่า <<เจ้าเป็นคนพวกไหน และเจ้ามาจากไหน>> เขาตอบว่า <<ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลข คนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วข้าพเจ้าป่วยนายข้าพเจ้าจึงทิ้งข้าพเจ้าไว้ เรามาปล้นที่ถิ่นใต้ของคนเคเรธี และปล้นที่ส่วนของยูดาห์ และที่ถิ่นใต้ของคาเลบ และเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ>> ดาวิดถามเขาว่า <<เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่>> เขาตอบว่า <<ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น>> เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าว ของมากมายมาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลา เย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป ดาวิดได้สิ่งของต่างๆ ที่คนอามาเลขริบคืนมาทั้งหมด และดาวิดช่วยภรรยาทั้งสองของท่านมาได้ ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรหญิง ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะ แกะ ฝูงโค และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้า ท่านกล่าวว่า <<นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา>> แล้วดาวิดกลับมายังคน สองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิด และต้อนรับประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขาทั้งหลาย คนอธรรมและคนถ่อยทั้งสิ้น ในพวกพลที่ติดตามดาวิดไปจึงกล่าวว่า <<เพราะเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรากู้มาได้แก่เขาเลย นอกจากให้ต่างคนมาพาภรรยาและบุตรของเขาไปก็แล้วกัน>> แต่ดาวิดกล่าวว่า <<พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่ง มาต่อสู้กับเราไว้ในมือของเรา ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน เพราะคนที่ลงไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระอยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้งหลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน>> ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ อิสราเอลจนทุกวันนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
ดาวิดและพรรคพวกมาถึงศิกลากในวันที่สาม ฝ่ายชาวอามาเลขได้มาปล้นเนเกบและเมืองศิกลาก พวกเขาโจมตีและเผาเมืองศิกลาก จับผู้หญิงและทุกคนที่อยู่ในเมืองทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปเป็นเชลยโดยไม่ได้ฆ่าใคร แต่กวาดต้อนไปพร้อมกับพวกเขาด้วย เมื่อดาวิดกับพวกมาถึงก็พบว่าเมืองศิกลากถูกเผาวอดวาย และภรรยากับบุตรชายบุตรสาวถูกจับตัวไปเป็นเชลย ทั้งดาวิดและพวกก็ร้องไห้เสียงดังจนไม่เหลือแรงที่จะร้องไห้อีก ภรรยาทั้งสองคนของดาวิดก็ตกเป็นเชลยด้วยคืออาหิโนอัมแห่งยิสเรเอล และอาบีกายิลภรรยาม่ายของนาบาลแห่งคารเมล ดาวิดทุกข์ใจมากเพราะพรรคพวกพูดกันว่าจะเอาหินขว้างดาวิด พวกเขาต่างก็ขมขื่นรันทดใจด้วยเรื่องบุตรชายบุตรสาว แต่ดาวิดได้รับกำลังในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา ดาวิดจึงพูดกับปุโรหิตอาบียาธาร์บุตรอาหิเมเลคว่า “โปรดนำเอโฟดมา” อาบียาธาร์ก็นำมา ดาวิดทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ควรไล่ตามกองโจรนี้ไปหรือไม่? จะตามทันหรือไม่?” พระเจ้าตรัสว่า “จงตามพวกเขาไปเถิด เจ้าจะตามทันและช่วยผู้คนได้สำเร็จ” ดาวิดกับพรรคพวกหกร้อยคนมาถึงลำธารเบโสร์ ซึ่งบางคนหยุดพักอยู่ที่นั่น เพราะมีสองร้อยคนหมดแรง ข้ามลำธารไปไม่ไหว แต่ดาวิดกับอีกสี่ร้อยคนยังคงตามล่าต่อไป พวกเขาพบชายอียิปต์คนหนึ่งกลางทุ่ง จึงนำตัวมาพบดาวิด พวกเขาเอาน้ำดื่มและอาหารมาให้คนนั้น คือมะเดื่ออัดจำนวนเล็กน้อยและขนมลูกเกดสองก้อน เขารับประทานแล้วค่อยมีกำลังวังชาขึ้นเพราะไม่ได้กินดื่มอะไรมาสามวันสามคืนแล้ว ดาวิดถามว่า “เจ้าเป็นคนของใครและมาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวอียิปต์ เป็นทาสของชาวอามาเลขคนหนึ่ง นายทิ้งข้าพเจ้าไว้สามวันแล้วเพราะข้าพเจ้าไม่สบาย เราได้ปล้นเนเกบของพวกเคเรธีกับพรมแดนที่เป็นของยูดาห์ และเนเกบของคาเลบ แล้วเราเผาเมืองศิกลาก” ดาวิดถามว่า “เจ้านำทางเราลงไปถึงกองโจรนั้นได้หรือไม่?” เขาตอบว่า “หากท่านสาบานในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้าหรือส่งตัวกลับไปให้นาย ข้าพเจ้าจะนำทางท่านไปหาพวกนั้น” เขานำดาวิดลงไปที่นั่น พวกอามาเลขกระจายกันอยู่เต็มทุ่ง กินดื่มกันอย่างสนุกสนาน และชื่นชมกับทรัพย์มากมายที่ยึดมาได้จากแดนฟีลิสเตียและจากยูดาห์ เย็นวันนั้นดาวิดสู้รบกับพวกเขาจนถึงเย็นวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครหนีรอดไปได้เว้นแต่ชายหนุ่มสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป ดาวิดได้ของทุกอย่างที่พวกอามาเลขริบไปคืนมาทั้งหมด รวมทั้งภรรยาสองคน ไม่มีสิ่งใดขาดหายไป ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กชายเด็กหญิง ของที่ถูกปล้นหรือสิ่งที่ถูกริบไป ดาวิดได้คืนมาทั้งหมด เขายึดฝูงสัตว์ทั้งหมดและคนของเขาก็กวาดต้อนมาข้างหน้าอีกฝูงหนึ่งบอกว่า “นี่เป็นของที่ดาวิดยึดมา” แล้วดาวิดกลับมาหาสองร้อยคนที่หมดแรงติดตามไปไม่ไหว ซึ่งรออยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาออกมาพบดาวิดกับพวก แต่บรรดาอันธพาลและคนชั่วในหมู่ผู้ติดตามของดาวิดกล่าวว่า “เราจะไม่แบ่งของที่ยึดคืนมาได้ให้พวกเขา เพราะเขา ไม่ได้ไปกับเรา แต่ให้เขาเอาภรรยาเอาลูกคืนไป แล้วไปเสีย” ดาวิดตอบว่า “อย่าเลยพี่น้องเอ๋ย พวกท่านอย่าทำเช่นนั้นกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา พระองค์ทรงปกป้องเราและทรงมอบกองกำลังต่างๆ ที่มาโจมตีเรานั้นแก่เรา ใครจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูด? เราจะแบ่งให้เท่าๆ กัน ทั้งคนที่ออกรบและคนที่คอยดูแลสัมภาระ” ดาวิดจึงตั้งเป็นกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติสำหรับอิสราเอลตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้
1 ซามูเอล 30:1-25 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
พอวันที่สามดาวิดและพรรคพวกมาถึงศิกลาก ชาวอามาเลขได้มาโจมตีในแถบเนเกบและศิกลาก ชนะศิกลาก และเผาเมืองเสีย พวกเขาจับตัวบรรดาผู้หญิงและทุกคนที่อยู่ในเมืองไปเป็นเชลย ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน และไม่ได้ฆ่าผู้ใด เพียงแต่มาเอาตัวไป แล้วก็ไปตามทางของเขา เมื่อดาวิดและพรรคพวกมาถึงเมือง ก็พบว่าถูกไฟเผา ส่วนพวกภรรยาและบุตรชายบุตรหญิงถูกจับไปเป็นเชลย ดาวิดและคนที่อยู่กับท่านส่งเสียงดังร้องไห้จนกระทั่งไม่มีแรงร้องไห้อีกต่อไป อาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลชาวคาร์เมลแม่ม่ายของนาบาลภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกจับไปเป็นเชลย ดาวิดเป็นทุกข์ยิ่งนัก เพราะพรรคพวกพูดกันว่าจะขว้างก้อนหินใส่ท่าน เนื่องจากทุกคนขมขื่นเรื่องบุตรชายบุตรหญิงของตน แต่ดาวิดมีกำลังขึ้นได้จากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ดาวิดพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า “เอาชุดคลุมมาให้เรา” อาหิเมเลคนำชุดคลุมมาให้ดาวิด และดาวิดถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะตามล่ากองปล้นนี้ หรือควรจะไปตามจับพวกเขาหรือไม่” พระองค์ตอบว่า “ไปตามล่า เพราะเจ้าจะไปตามจับกองปล้นและจะช่วยชีวิตเชลยได้อย่างแน่นอน” ดาวิดจึงออกติดตาม มีชาย 600 คนที่ไปด้วย เมื่อมาถึงธารน้ำเบโสร์ในหุบเขา คนจำนวนหนึ่งหยุดพักอยู่ที่นั่น แต่ดาวิดกับชาย 400 คนตามล่าต่อไป และ 200 คนที่หมดเรี่ยวแรงเกินที่จะข้ามธารน้ำเบโสร์ในหุบเขาก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ มีคนพบชาวอียิปต์ผู้หนึ่งที่นอกเมืองจึงพาเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังเขา เขาก็รับประทาน ให้น้ำเขาดื่ม และให้ขนมมะเดื่อ 1 ก้อนกับขนมลูกเกด 2 ก้อน เมื่อเขารับประทานเสร็จแล้ว เขามีเรี่ยวแรงมากขึ้น เพราะไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมา 3 วัน 3 คืนแล้ว ดาวิดพูดกับเขาว่า “เจ้าเป็นคนของใคร และมาจากไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มจากอียิปต์ เป็นผู้รับใช้ของชาวอามาเลขผู้หนึ่ง เจ้านายข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าไว้ เพราะข้าพเจ้าป่วย 3 วันมาแล้ว พวกเราได้โจมตีในแถบเนเกบของชาวเคเรธ โจมตีอาณาเขตของยูดาห์ รวมทั้งแถบเนเกบที่เป็นของตระกูลคาเลบ และพวกเราเผาเมืองศิกลาก” ดาวิดพูดกับเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปที่กองปล้นนี้ได้ไหม” เขาตอบว่า “สาบานกับข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่า ท่านจะไม่ฆ่าหรือมอบตัวข้าพเจ้าให้แก่นายข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะพาท่านลงไปที่กองปล้นนี้” เมื่อเขาพาดาวิดลงไปแล้ว ดูเถิดพวกกองปล้นแผ่กระจายไปทั่วแผ่นดิน กำลังดื่มกินและเต้นรำทำเพลง เพราะข้าวของมากมายที่ริบมาได้จากดินแดนของชาวฟีลิสเตียและของยูดาห์ และดาวิดก็ฆ่าฟันคนเหล่านั้นตั้งแต่พลบค่ำจนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีผู้ใดรอดไปได้สักคนเดียว ยกเว้นชายหนุ่ม 400 คนที่ขี่อูฐหนีไปได้ ดาวิดได้ขนทรัพย์สิ่งของทั้งหมดที่ชาวอามาเลขริบ กลับคืนมา และดาวิดช่วยชีวิตภรรยาทั้งสองได้ ไม่มีสิ่งใดขาดหาย ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน บุตรชายหรือบุตรหญิง ดาวิดเอาทุกสิ่งที่ถูกปล้นหรือสิ่งใดก็ตามที่ถูกยึดไป กลับคืนหมด ดาวิดยึดฝูงแพะแกะและฝูงโค พรรคพวกของท่านต้อนฝูงปศุสัตว์ไปข้างหน้าท่าน และพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ริบมาได้สำหรับดาวิด” แล้วดาวิดก็ไปหาชาย 200 คนที่หมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะติดตามดาวิด และถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ธารน้ำเบโสร์ในหุบเขา ชายเหล่านั้นออกไปพบกับดาวิดและคนอื่นๆ ที่มากับท่านด้วย เมื่อดาวิดเข้าไปใกล้พวกเขาแล้วก็ทักทาย ฝ่ายพรรคพวกบางคนที่ใจดำและเลวร้ายที่ติดตามดาวิดไปก็พูดขึ้นว่า “เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ไปกับพวกเรา เราจะไม่แบ่งปันสิ่งที่ริบกลับมา นอกจากจะรับภรรยาและลูกๆ และไปเสีย” แต่ดาวิดพูดว่า “พี่น้องเอ๋ย พวกท่านจะกระทำต่อสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่เราอย่างนั้นไม่ได้ พระองค์ไว้ชีวิตพวกเรา และได้มอบกองปล้นที่ต่อสู้กับเราไว้ในมือเรา ใครจะฟังพวกท่านในเรื่องนี้ คนที่ไปรบได้ส่วนแบ่งเช่นไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระ ก็จะได้รับส่วนแบ่งเช่นนั้น ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งเหมือนกัน” ดาวิดจึงตั้งให้เป็นกฎเกณฑ์และคำสั่งสำหรับอิสราเอลตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้